ได้ฟังคำพูดของเฉิงฉือแล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าเบื้องหน้าของนางมีกล่องเครื่องประดับทองชุบส่องประกายระยิบระยับมลังเมลืองฝังเพชรพลอยหลากร้อยชนิดเอาไว้กล่องหนึ่ง ที่แม้นยังไม่ได้เปิดออกก็จินตนาการได้ถึงเครื่องประดับมุกและอัญมณีมีค่าที่บรรจุอยู่ด้านในคอยล่อตาล่อใจนางอยู่
นางลังเลแล้วลังเลอีก ยื่นมือออกไปแล้วก็ดึงกลับมาใหม่
ครู่ใหญ่กว่าจะยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้ ก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ…”
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่เฉิงฉือคาดเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เขาไม่มีภรรยาคอยดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน การที่เสาจิ่นติดตามเขาไปเช่นนี้จะหมายความว่าอย่างไร
เฉิงฉือยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกบื้อใบ้ไปเล็กน้อย
ท่านน้าฉือ…จะปล่อยนางไปเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
จะไม่เกลี้ยกล่อมนางสักหน่อยเลยหรือ
แล้วก็จะไม่ถามนางสักหน่อยว่าเพราะอะไรเลยหรือ
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงนั้น ชั่วขณะหนึ่งนั้นดูเหม่อลอยเล็กน้อย ประหนึ่งลูกแกะหลงทาง
เฉิงฉือมองแล้วหัวใจอ่อนยวบ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าก็ต้องเร่งเดินทางกลับไปแล้ว เจ้าฉลองปีใหม่อยู่ที่เป่าติ้งให้สบายใจ มีเรื่องอะไรให้บอกซางมามา หรือไม่ก็รอข้ากลับมาค่อยว่ากันอีกที หากได้รับความอยุติธรรมก็ไม่จำเป็นต้องไปโต้แย้งอะไรกับพวกเขา อย่างไรเสียก็มีข้าอยู่!”
“อะไรนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง “ท่าน…ท่านจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้หรือเจ้าคะ ทั้งลมแรงและหิมะตกหนักขนาดนี้ ถ้าหากไม่สบายระหว่างทางขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือไม่ หรือไม่…ท่านอยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านของพวกข้าดีหรือไม่” ขณะที่นางกล่าว ก็ร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำไปหมด “เซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นก็ยังหาตัวไม่พบ ถ้าหากเขาทำอะไรท่านขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือเห็นท่าทางจะร้องไห้ของนางแล้ว ในใจพลันสั่นสะท้าน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเชิญคนจากสำนักคุ้มกันมาคุ้มกันข้าเดินทางกลับ เดินทางทางบกตลอดทั้งทาง ไม่มีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ มองเฉิงฉือทว่าไม่เอ่ยอะไร
เฉิงฉือถูกมองจนหัวใจรู้สึกบีบรัดขึ้นมา จำต้องก้าวออกไปลูบเส้นผมดุจไหมสีดำของนางเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “เด็กดี จงเชื่อฟัง! ข้าไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นยังคงไม่เอ่ยอะไรเช่นเดิม
เฉิงฉือกล่าวอย่างไร้ทางเลือกว่า “หรือไม่ ข้าจะเชิญคนจากสำนักคุ้มกันชังโจวมาคุ้มกันข้าเดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ ดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นนึกขึ้นได้ว่าจี๋อิ๋งเป็นคนชังโจว นึกถึงคนที่พาฝานฉีไปกลับระหว่างจิงเฉิงกับจินหลิงอย่างปล่อยภัยตลอดทางแล้ว นางถึงได้ฝืนพยักหน้าให้
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาแต่ใจจริงๆ! ข้าไม่ยอมลงให้เจ้า เจ้าก็ไม่ยอมพยักหน้าให้”
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว ฝืนกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ก็เพราะข้าเป็นห่วงท่าน” แล้วก็ยกกระโปรงวิ่งหนีไป
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น
ไหวซานที่ยืนอยู่ตรงทางเดินหางตากระตุกไม่หยุด
ครุ่นคิดว่าอารมณ์ของเฉิงฉือน่าจะสงบลงมาแล้ว ถึงได้เดินเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสี่ ยังไม่ได้ข่าวคราวของเซียวเจิ้นไห่เลยขอรับ…”
วันนั้นพวกเขาหาตัวเซียวเจิ้นไห่พบที่โรงเตี๊ยมโกโรโกโสแห่งหนึ่ง จับตัวผู้อาวุโสหลายท่านของตระกูลเซียวได้แล้ว ทว่าเซียวเจิ้นไห่กลับหนีไปได้
เฉิงฉืออารมณ์ดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “แจ้งข่าวให้อวี๋มู่ของกลุ่มจินซาพาคนมาที่นี่ ล้อมเมืองเป่าติ้งเอาไว้ให้ข้า พวกเรากลับบ้านไปฉลองปีใหม่กันก่อน รอให้ผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟแล้วค่อยกลับมาจัดการพวกเขาก็ยังไม่สาย”
ไหวซานรับคำ รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
โชคดีที่มีคุณหนูรองช่วยสร้างเสียงหัวเราะอยู่ตรงกลาง ไม่อย่างนั้นหากเฉิงฉือไล่สืบสวนขึ้นมา ทุกคนอย่าได้คิดจะได้ฉลองปีใหม่เลย
อย่าคิดว่าคุณหนูรองอ่อนโยนนุ่มนวลอย่างเดียว นางยังเป็นคนที่ดีมากอีกด้วย
เขาตัดสินใจนัดซางมามาออกไปซื้อของฝากท้องถิ่นสักหน่อย เอากลับไปฝากผู้อื่น
***
ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นพลิกหีบคว่ำกล่องอยู่ในห้องพร้อมกับเร่งชุนหว่านกับปี้เถาว่า “รีบหาเร็วเข้าว่าตกลงผ้าโพกศีรษะสีเขียวมรกตกับผ้าโพกศีรษะสีกรมท่าสองเส้นนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ ทั้งๆ ที่ข้าวางพวกมันไว้กับเสื้อผ้าทารกที่จะมอบให้ท่านพี่ แต่เหตุใดถึงหาไม่เจอแล้ว หรือว่าจะรวมอยู่ในกองเสื้อผ้าทารกที่ส่งไปให้ท่านพี่เรียบร้อยแล้ว? แต่ถ้าท่านพี่ได้รับแล้วก็น่าจะบอกข้าสักคำนี่นา…”
ชุนหว่านรีบกล่าว “คุณหนูรองท่านอย่าร้อนใจไปเลย หากมิใช่อยู่ในหีบนี้ก็คงจะอยู่หีบอื่นสักใบ พวกเราค่อยๆ หาก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้าท่านน้าฉือจะเดินทางกลับไปแล้ว” ภายในห้องจุดตะเกียงเอาไว้ โจวเสาจิ่นร้อนใจ หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าท่านน้าฉือจะอยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านของพวกเรา ตอนนี้ไม่เพียงต้องเตรียมของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านยายเท่านั้น ยังต้องเตรียมของขวัญให้ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนและพี่สะใภ้เก้าอีกด้วย หากว่าหาผ้าโพกศีรษะนี้ไม่เจอ จะทำอย่างไรดี”
จริงด้วย!
ของขวัญของผู้อื่นไปหาซื้อให้ได้ แต่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวน โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ไม่ว่าจะให้เงินหรือให้ทองก็เทียบไม่ได้กับการให้ผ้าโพกศีรษะหนึ่งเส้นที่ทำขึ้นมาด้วยตัวเองได้
เสี่ยวถานเองก็ช่วยหาด้วย
ยิ่งอยู่การเคลื่อนไหวของคนหลายคนนั้นก็ยิ่งเชื่องช้าลง
กระเป๋าใส่กระจกลายเมฆา ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมเทียนเซียง ถุงเงินผ้าแพรสีขาวหิมะ ยังมีลูกตุ้มเผาเครื่องหอมทำจากทองชุบฝังทับทิม ตลับแป้งไข่มุก ขวดน้ำหอมแก้ว…มากมายเต็มไปหมด ทุกชิ้นล้วนประณีตและงดงาม แม้แต่เสี่ยวถาน เห็นแล้วยังชอบจนไม่ยอมวางมือ อยากจะมองเพิ่มอีกสักสองครั้ง
ชุนหว่านนึกถึงตอนที่พวกนางเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่เรือนหานปี้ซานใหม่ๆ คุณหนูรองมีกล่องใส่สมบัติและของมีค่าเล็กๆ เพียงใบหนึ่งเท่านั้น ทว่าวันนี้กลับต้องใช้หีบมาบรรจุของแล้ว…นางจึงรู้สึกว่าจวนหลักไม่มีทางปล่อยคุณหนูรองไปลำพังโดยไม่สนใจอย่างแน่นอน
ขณะที่คนสองสามคนช่วยกันหาอย่างละเอียดอยู่ตรงนั้น ฝานหลิวซื่อก็เดินเข้ามา ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นี่พวกเจ้ากำลังหาของอะไรกันอยู่หรือ”
ในมือของนางถือรังนกตุ๋นน้ำตาลกรวดเอาไว้ถ้วยหนึ่ง
เป็นของที่หลี่ซื่อส่งมาให้
บอกว่าเป็นของที่ตระกูลหลี่ส่งมาให้ตอนเทศกาลมอบของขวัญ โจวเสาจิ่นปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก ทว่าหลี่ซื่อกลับยืนกรานว่าต้องการมอบให้นางบำรุงร่างกาย ต่อมาโจวเจิ้นออกคำสั่ง โจวเสาจิ่นถึงได้รับเอาไว้ ฝานหลิวซื่อเห็นว่าสองวันนี้นางมีอาการระคายเคืองที่คอ จึงนำน้ำตาลกรวดไปตุ๋นรังนกมาให้นางดื่มให้คอชุ่มชื้น
ชุนหว่านรีบกล่าว “ผ้าโพกศีรษะสองผืนที่คุณหนูรองทำขึ้นมาด้วยตัวเองเมื่อหลายวันก่อนนั้นหาไม่เจอแล้วเจ้าค่ะ”
ฝานหลิวซื่อวางรังนกตุ๋นน้ำตาลกรวดลงบนโต๊ะ กวักมือเรียกให้โจวเสาจิ่นมาดื่มรังนกไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ใช่ผ้าโพกศีรษะสองผืนที่วางรวมกับเสื้อผ้าทารกของคุณหนูใหญ่ ที่ผืนหนึ่งเป็นสีเขียวมรกต อีกผืนหนึ่งเป็นสีกรมท่านั้นหรือไม่…”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ” ชุนหว่านและคนอื่นๆ ต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีขึ้นมา มองฝานหลิวซื่อตาไม่กระพริบ
ฝานหลิวซื่อหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “วันนั้นข้าเห็นผ้าโพกศีรษะสองผืนนั้นวางรวมอยู่กับเสื้อผ้าทารกของคุณหนูใหญ่ จึงเอามันไปวางรวมกับงานเย็บปักที่คุณหนูรองทำเป็นประจำทุกวันเหล่านั้นแทน…”
เสียงพูดของนางยังไม่ทันจบลง ชุนหว่านกับเสี่ยวถานก็กอดแขนของนางเอาไว้แน่นคนละข้าง ยิ้มพลางกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “มามาทำให้พวกข้าตกใจเกือบตายไปแล้วเจ้าค่ะ…”
พวกนางจำได้แม่นว่าเก็บไว้ในหีบแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่ามันจะหายไป
แต่คนที่เก็บของไปคือฝานหลิวซื่อ พวกนางจึงไม่อาจว่ากล่าวอะไร
ฝานหลิวซื่อได้ยินแล้วก็ร้อง “เพ้ย” ใส่ทั้งสองคนไปครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ห้ามเอ่ยคำพูดเช่นนี้เป็นอันขาด!”
ทั้งสองคนเอียงศีรษะยิ้มๆ ท่าทางแก่นแก้วยิ่งนัก
ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ฝานหลิวซื่อเอ่ยกับโจวเสาจิ่นอย่างขออภัยว่า “คุณหนูรอง ต่อไปข้าจะระวังเอาไว้ ไม่เคลื่อนย้ายสิ่งของตามใจชอบอีกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกเสียใจ
ชาติก่อน ข้างกายของนางมีฝานหลิวซื่อเพียงคนเดียว ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนเป็นนางที่เป็นคนจัดการให้ นางจึงดูมีชีวิตชีวาทุกวัน แต่ตอนนี้คนข้างกายนางทุกคนล้วนเป็นคนมีความสามารถ ฝานหลิวซื่อจึงไม่ได้แสดงตัวโดดเด่น ทุกๆ วันล้วนไม่มีอะไรให้ทำ จึงมักจะพยายามหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำอยู่เสมอ
นางครุ่นคิด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ต่อไปหากท่านรู้สึกว่าตรงไหนไม่ดี ก็บอกให้พวกชุนหว่านแก้ไขเสียก็ได้แล้ว คาดว่าคงเป็นข้าเองที่วางของไม่เป็นที่ ท่านเห็นแล้วรู้สึกไม่เหมาะสมถึงได้ช่วยเก็บให้ข้า”
ฝานหลิวซื่อรู้สึกเป็นเกียรติใบหน้าเปล่งรัศมีออกมา ยิ้มพร้อมกับไปหยิบผ้าโพกศีรษะสองผืนนั้นออกมา
ซางมามามองด้วยความซาบซึ้งใจเล็กน้อย เชิญฝานหลิวซื่อไปดื่มชาเป็นการส่วนตัว กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองค่อยๆ เติบโตขึ้นทุกๆ วันแล้ว แต่สุดท้ายแล้วฮูหยินก็มิใช่มารดาแท้ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างเรื่องของคุณชายเหมียวได้ เดิมทีข้าเป็นมามาทำงานหยาบทั่วไปของนายท่านสี่ นายท่านสี่ให้ข้ามาที่นี่ ด้วยกลัวว่าตอนที่คุณหนูรองออกไปข้างนอกจะไม่มีคนให้รองมือรองเท้า ทว่าท่านไม่เหมือนกัน ท่านเป็นคนเลี้ยงดูคุณหนูรองมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งคุณหนูรองยังให้ความเคารพท่าน ต่อไปสิ่งของส่วนตัวของคุณหนูรองเหล่านั้นยังต้องให้ท่านช่วยจัดการดูแลถึงจะถูก”
ฝานหลิวซื่อพยักหน้าหงึก ค่อยๆ สนิทสนมใกล้ชิดกับซางมามาขึ้นมา
นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา
แต่เวลานี้เมื่อโจวเสาจิ่นได้รับผ้าโพกศีรษะทั้งสองผืนแล้ว ใช้ผ้าไหมสีพื้นไร้ลวดลายห่อแล้ววางไว้ข้างๆ เตรียมมอบให้เฉิงฉือนำกลับไปด้วยในวันพรุ่งนี้
หลี่ซื่ออุ้มโจวโย่วจิ่น เดินนำหลี่มามาเข้ามา
เห็นชุนหว่านและคนอื่นๆ กำลังจัดเก็บหีบใส่ของกันอยู่ รีบถามขึ้นว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ”
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ได้เล่าอะไรมาก เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าพรุ่งนี้ท่านน้าฉือต้องเดินทางกลับไปแล้ว ข้าเอาผ้าโพกศีรษะที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาให้นายท่านน้าฉือช่วยนำกลับไปด้วย ถือเป็นการอวยพรวันปีใหม่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านยายเจ้าค่ะ”
โจวโย่วจิ่นเป็นคนไม่ชอบพูดเท่าไร แต่ชอบเล่นเครื่องประดับของโจวเสาจิ่นเป็นพิเศษ เมื่อเห็นแสงเรืองรองระยิบระยับของตุ้มหูอัญมณีไพฑูรย์บนหูของโจวเสาจิ่นแล้ว นางก็โน้มกายพุ่งเข้าหาอ้อมกอดของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับรับนางมาอุ้ม
นางยื่นมือไปจับตุ้มหูของโจวเสาจิ่น
หลี่ซื่อคว้ามือของโจวโย่วจิ่นเอาไว้ เอ่ยตำหนินางว่า “หากเจ้ายังจับเครื่องประดับเล่นอีก ต่อไปจะไม่พาเจ้ามาหาพี่สาวของเจ้าอีกแล้ว”
โจวโย่วจิ่นซุกศีรษะลงไปในอ้อมอกของโจวเสาจิ่นไม่เอ่ยอะไร
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี วางโจวโย่วจิ่นลงบนตั่งอิฐ กล่าวกับนางอย่างจริงจังว่า “ของอย่างอื่นให้เจ้าเล่นได้ แต่เครื่องประดับนั้นหากกินลงท้องไปคงไม่ได้การแน่แล้ว”
โจวโย่วจิ่นมองนางอย่างงุนงง
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าสนใจนางเลย เจ้าพูดอะไรนางก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก”
โจวเสาจิ่นยังคงหันไปยิ้มให้โจวโย่วจิ่น จากนั้นถึงได้เชิญหลี่ซื่อนั่งลง
“ข้าไม่นั่งแล้วก็แล้วกัน” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “เมื่อครู่นายท่านบอกข้าว่า พรุ่งนี้นายท่านสี่ฉือจะกลับจินหลิงแล้ว นายท่านกลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วงเรื่องจัดเตรียมของขวัญ จึงให้ข้ามาบอกเจ้าสักคำเป็นพิเศษว่า ของที่จะส่งไปให้ซอยจิ่วหรูนั้นพวกข้าล้วนเตรียมเอาไว้หมดแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจอีก” จากนั้นหยิบกระดาษรายการของขวัญแผ่นหนึ่งมาให้นาง เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นของที่จะส่งไปให้ในนามของเจ้า เจ้าลองดูว่าต้องเพิ่มหรือลดอะไรหรือไม่”
ทั้งหมดล้วนเป็นของฝากท้องถิ่นของเป่าติ้ง โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าดีมากแล้ว กล่าวขอบคุณหลี่ซื่อยิ้มๆ
หลี่ซื่อคุยกับนางอีกสองสามประโยค จากนั้นอุ้มโจวโย่วจิ่นที่ไม่ยอมกลับเดินจากไป
ชุนหว่านและคนอื่นๆ ต่างไม่ค่อยเข้าใจที่หลี่ซื่ออุ้มโจวโย่วจิ่นมาด้วย เป็นซางมามาที่สรุปได้อย่างตรงประเด็นในหนึ่งประโยคว่า “โดยมากแล้วคาดว่าฮูหยินคงจะกลัวว่าคุณหนูรองจะโกรธนางด้วยเรื่องของคุณชายเหมียว เพราะฉะนั้นจึงอุ้มคุณหนูสามมาด้วย ด้วยหวังว่าเมื่อคุณหนูรองเห็นหน้าของคุณหนูสามแล้วจะไม่อยากคิดบัญชีกับนาง”
ชุนหว่านเห็นโจวเสาจิ่นยิ้มทว่าไม่เอ่ยอะไร จึงถามขึ้นว่า “คุณหนูรอง ซางมามากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ทว่าในใจกลับรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ความจริงแล้วหลี่ซื่อไม่จำเป็นต้องเกรงใจนางถึงเพียงนี้ก็ได้
ที่นี่ก็เป็นบ้านของนาง
โจวโย่วจิ่นก็เป็นน้องสาวของนางเช่นกัน
***
หลังจากส่งเฉิงฉือกลับไปแล้ว ภายในบ้านก็เริ่มปัดกวาดเช็ดถู
ฮูหยินหวงมาหาครั้งหนึ่ง พาแม่ชีมาด้วยสองท่าน บอกว่าเป็นพระอาจารย์ของวัดผู่อันอะไรสักอย่าง ไม่เพียงทำนายดวงชะตาได้อย่างแม่นยำเท่านั้น ยังรักษาคนป่วยได้ด้วย ที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือรักษาโรคของเด็กกับโรคของสตรี
หลี่ซื่อได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี
ตอนนางอยู่บ้านเดิมก็เคยเห็นแม่ชีที่เดินไปตามบ้านต่างๆ ประเภทนี้เหมือนกัน มักจะรับเงินมาเพื่อกระทำเรื่องน่าละอายอะไรบางอย่าง แม้แต่บ้านเดิมของนางก็ยังไม่ให้คนประเภทนี้เข้าบ้านเลย
หลี่ซื่อพูดไม่กี่คำแล้วก็ไล่คนออกไป นั่งเอามือกุมขมับอยู่ตรงนั้นกว่าครู่ใหญ่ถึงได้ค่อยๆ หายใจคล่องขึ้นมา