ตอนที่ 7 - 3 ความอ่อนโยนของคนลึกลับ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

มือของจิ่งเหิงปัวชะงักอีกครั้งแล้วหดกลับมาอย่างรวดเร็ว คราวนี้นางไม่อยากถามแม้แต่ราชครูคนไหน หันกายทันทีแล้วกล่าวว่า “นอนเถิด ง่วงเหลือเกิน”

“เหตุใดเจ้าผู้นี้ถึงไม่มีความอยากรู้อยากเห็นบ้างเลย” เหอหว่านง้างหัวไหล่ของนางอย่างหดหู่ เอ่ยว่า “ไม่ถามข้าด้วยซ้ำว่าราชครูคนใดกันแน่…”

จิ่งเหิงปัวกรนอย่างรวดเร็ว

“เจ้านี่แปลกจริง” เหอหว่านยิ้มแย้มพลางกระซิบกระซาบอยู่ข้างหลังนางว่า “สตรีนางใดในต้าฮวงเอ่ยถึงสองราชครูผู้ยิ่งใหญ่ หากมิใช่เพราะรักใคร่ลุ่มหลง ฟังข่าวสารของพวกเขาให้มากสักหน่อยคงไม่เสียหาย ด้วยนิสัยนี้ของเจ้า เจ้าคงไม่เงี่ยหูคอยฟังอย่างเงียบเชียบหรอกกระมัง? เหอะๆ เช่นนั้นข้าจะแอบบอกให้เจ้าฟัง ผู้ที่ข้าเคารพนับถือน่ะคือราชครูฝ่ายขวากงอิ้น…”

จิ่งเหิงปัวอยากคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะนางไว้เหลือเกิน คลุมนางให้สิ้นชีพเสียเลย

“ควบคุมอำนาจทางการเมืองด้วยฐานะสามัญชน อำนาจล้นฟ้าในระยะเวลาไม่กี่ปี อวี้จ้าวคั่งหลงยอมศิโรราบ เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ยอมสวามิภักดิ์” แววตาของเหอหว่านเปล่งประกาย เอ่ยว่า “พลังอันน่าเกรงขามเอย ไอดุร้ายเอย…ทว่า…” นางส่ายหน้า เอ่ยสืบต่อว่า “หมู่นี้ความประทับใจที่ข้ามีต่อเขาลดน้อยลงไปหน่อย เขาเนรเทศราชินีได้อย่างไร? คู่รักหวานชื่นคู่หนึ่งจะแยกร้างลาจากเช่นนี้ได้อย่างไร? ต่อให้โลกหล้าสำคัญมากเพียงใด โฉมสะคราญข้างกายก็ไม่สำคัญหรือ? ทว่าคราวนี้พวกเสด็จพ่อข้ามีความเห็นตรงข้ามกับข้าอีกครั้ง เอ่ยว่ากงอิ้นร้ายกาจมากขึ้นทุกวัน บุรุษดุจเหล็กกล้า แว่นแคว้นสำคัญอะไรเช่นนั้น…เฮอะ! นี่คือโลกหล้าของเหล่าบุรุษ พี่ชายน้องชายดุจมือเท้า ภรรยาดั่งอาภรณ์ สตรี สตรีนับเป็นสิ่งใดกัน!”

นางคล้ายนึกถึงตนเอง โกรธแค้นมากยิ่งขึ้น กำปั้นน้อยกระแทกจนไม้พื้นเตียงดังตุบตับ

จิ่งเหิงปัวแกล้งนอนหลับอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่หันหน้ากลับไปด้วยซ้ำ

“คนดีเฉกเช่นราชินีนั้น เขาหักใจทอดทิ้งนางได้อย่างไร…” เหอหว่านครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แววตาแข็งทื่อ พึมพำว่า “ข้ามักรู้สึกว่าไม่ควรเลย ข้าอยากถามเขาต่อหน้าเสมอ ทว่าอีกไม่นาน ข้าคงได้ถามเขาต่อหน้าแล้ว…”

จิ่งเหิงปัวหันกลับมาทันที ร้องว่า “อะไรนะ?”

“ฮ่า บอกแล้วว่าเจ้าต้องสนใจราชครูสินะ?” เหอหว่านลำพองใจ ชี้ไปที่นางพลางหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “ดูท่าทางร้อนรนคราวนี้ของเจ้าสิ”

จิ่งเหิงปัวตั้งสติแล้วกล่าวว่า “วาจาประโยคสุดท้ายของเจ้าเมื่อครู่เอ่ยว่าอะไร?”

เหอหว่านบิดขี้เกียจแล้วนอนลง ความง่วงจู่โจมเข้ามา นางเอ่ยด้วยเสียงคลุมเครือว่า “…พิธีหมั้นหมายของแคว้นเซียงสำคัญยิ่งกว่าพิธีสมรส เสด็จพ่อข้าส่งกำหนดการไปยังตี้เกอแล้ว ราชครูตอบรับว่าจะมาเข้าร่วมพิธี นี่เป็นครั้งแรกในประวัตศาสตร์ต้าฮวงโดยแท้…”

เสียงนางค่อยๆ เบาลง ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงลมหายใจหนักหน่วงก็แว่วมา

นางนอนหลับแล้ว จิ่งเหิงปัวนอนไม่ได้แล้ว

นางนอนแข็งทื่ออยู่ครู่ใหญ่ถึงย่อยข่าวสารนั้นเสร็จสิ้น นอนอยู่อีกครู่ใหญ่ถึงทำให้หัวใจเต้นได้ดังเดิม จากนั้นนอนอยู่อีกครู่ใหญ่…นอนไม่ได้แล้ว

ลุกขึ้นสะบัดม่านโปร่งออก ข้างนอกคือแสงจันทร์กระจ่างดั่งสายธาร สาดส่องบนระเบียงยาวที่ทำจากไม้ประหนึ่งเสี้ยวเงิน

นางเดินเท้าเปล่าไปยังระเบียงทางเดินอย่างแผ่วเบา ฉวยมือหยิบผ้าคลุมมาคลุมร่าง นั่งลงบนระเบียงยาวอย่างเงียบเชียบ เหอหว่านสมเป็นบุตรสาวที่กษัตริย์โปรดปรานเป็นที่สุด ทั่วทั้งพระราชวังรวมทั้งระเบียงยาวนอกตำหนักบรรทมมีตี้หลง[1] อบอุ่นดั่งวสันต์

จิ่งเหิงปัวแหงนหน้าขึ้นมองจันทร์กระจ่างกลางขอบฟ้า ขณะเคลิบเคลิ้มนึกได้ว่าใกล้จะถึงเทศกาลหยวนเซียว[2]แล้ว ผ่านไปอีกครึ่งเดือนก็ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว

ค่ำคืนเหมันต์แสงจันทร์เย็นยะเยือก มองแวบเดียวก็พลันเหน็บหนาวถึงก้นบึ้งของหัวใจ ดั่งอุ้มหยกเย็นไว้ในอ้อมแขน อุณหภูมิร่างกายหัวใจเต้นไม่อาจซึมซับให้อบอุ่น

ไม้พุ่มเตี้ยภายในพระราชวังผลิใบตลอดทั้งปี เขียวชอุ่มแน่นขนัดตรงจุดสิ้นสุดแสงจันทร์ กล่อมกลืนเป็นสีมรกตที่แยกชั้นเป็นลำดับผืนหนึ่ง

ภายในพระราชวังจะไม่ปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้มือสังหารซ่อนตัว ส่วนจิ้งถิงแตกต่างออกไป ที่นั่นมีต้นหงเฟิงทอดยาวเหยียด ซ้ำยังมีไม้ยืนต้นใบเขียวชอุ่ม คล้ายไม่สนใจใยดีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามือสังหาร

ด้วยเพราะเจ้านายของจิ้งถิงแข็งแกร่งดั่งหินผา หยามเหยียดโลกหล้า ไม่จำเป็นต้องโค่นต้นไม้สูงใหญ่เพื่อป้องกันตนเอง

เรือนร่างดุจกระเบื้อง จิตใจดั่งเพชร ใช้ไอหนาวจากหิมะน้ำแข็งแห่งฟ้าดินเป็นดวงเนตร

นางเหน็บหนาวสั่นระริกขึ้นมากะทันหัน รู้สึกแค่ว่าในใจเจ็บปวด ปราณเปลวไฟลุกโชนหอบหนึ่งแล่นผ่านแขนขาน่าตื่นตะลึง ครึ่งร่างเหน็บชาทันที

นางมีสีหน้าซีดเผือด แอบร้องในใจว่าแย่แน่…พิษกำเริบแล้ว!

นางเหลียวซ้ายแลขวา ระเบียงยาวนี้เป็นแบบเว้าเข้าข้างใน เป็นชานระเบียงของตำหนักบรรทมองค์หญิง รอบด้านมีไม้ดอกไม้ประดับพุ่มหนา เหล่านางกำนัลนอนอยู่ข้างตำหนักอีกฝั่งหนึ่ง ไร้คนใกล้ชิด

ไร้คนใกล้ชิดแสดงว่าปลอดภัย เท่ากับแสดงว่าไร้คนช่วยเหลือด้วย

ภายในเสื้อนอกของนางมียาที่เจ็ดสังหารมอบให้นาง สามารถปกป้องหัวใจเวลาพิษกำเริบ ไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจนถึงเส้นเลือดหัวใจ แต่ว่าตอนนี้นางยากจะขยับเขยื้อนจากระเบียงทางเดินไปกินยาภายในห้อง

การตะโกนลั่นจะทำให้คนอื่นรู้ตัวได้ แต่สภาพอ่อนแอของตนเองไม่ควรถูกคนอื่นพบเข้าไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ใครจะรู้ว่าแถวนี้จะมีคนที่มีเจตนาร้ายหรือไม่?

หากนั่งอยู่บนชานระเบียงนี้ต่อไปรอให้ยาพิษกำเริบสักระลอกหนึ่งคงไม่ได้ แม้ว่าข้างล่างชานระเบียบจะอบอุ่น แต่อย่างไรก็ตามที่นี่อยู่ข้างนอก ลมหนาวพัดผ่านมาทีละระลอก พอเวลานานผ่านไปนาน ด้วยสภาพร่างกายอ่อนเพลีย นางจะเหน็บหนาวจนเกิดปัญหาเช่นกัน

ในใจของนางแอบเกลียดตนเอง เกลียดตนเองที่ยังคงไม่อาจจัดการอารมณ์ให้ดีได้ ไม่อาจทำให้สภาพจิตใจแข็งแกร่งไม่โดนกัดกร่อนได้อย่างแท้จริง

ไม่ได้! นั่งรอความตายอยู่ตรงนี้ไม่ได้! นางจะต้องกลับไปหยิบยา

นางค้ำยันร่างกายไว้ด้วยมือข้างเดียว ฝืนใจขยับเขยื้อนหวังลุกขึ้นยืน

นิ้วมือของนางแข็งทื่อกะทันหัน

ข้างปลายนิ้วพลันมีรองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งเพิ่มเข้ามา

รองเท้าหุ้มข้อสีทองม่วงของบุรุษประชิดติดกับนิ้วมือของนาง หากเพียงยกขึ้นอย่างแผ่วเบาเล็กน้อยก็จะเหยียบบนนิ้วมือของนางได้

จิ่งเหิงปัวไม่ได้เงยหน้าขึ้นในทันที คล้ายกับยังไม่รู้ตัว ซ้ำยังคล้ายกับกำลังตั้งใจพิจารณานิ้วมือของตนเอง

‘ยามฝ่ายศัตรูไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ตนเองก็อย่าได้ประมาทเลินเล่อจะดีที่สุด หลอกล่ออีกฝ่ายได้จะดีที่สุด ยามอีกฝ่ายยังไม่รู้แน่ชัดว่าเจ้าคิดจะทำสิ่งใด เขาจะรอคอยเช่นกัน ระหว่างการรอคอยจะเป็นโอกาสที่ดีในการช่วยเหลือตนเองของเจ้า’

ตอนพบเจอศัตรูโจมตีมักมีวาจาที่เขาเคยสอนเหล่านี้กะพริบวูบผันผ่านเสมอ อยากจะขัดขวางก็ขัดขวางไว้ไม่ได้

นางกัดฟันอย่างเชื่องช้า

กวาดสายตาออกไปจากในขอบเขตสายตาของนาง มองเห็นลูกสาลี่แช่แข็งอ่างหนึ่งบนขอบหน้าต่างได้

ปกติแล้วลูกสาลี่ที่ตั้งใจวางไว้แช่แข็งนอกห้องจะแข็งมาก

นางใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยวจนหมดสิ้น ความคิดกะพริบวูบ ลูกสาลี่ที่อยู่ข้างบนสุดของอ่างลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

ช้ากว่าธรรมดา เมื่อนางอยู่ในสภาพพิษกำเริบ พลังเคลื่อนย้ายสู้เวลาปกติไม่ได้จริงด้วย

หน้าผากนางมีเหงื่อซึมออกมารำไร

รองเท้าหุ้มข้อคู่นั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย ชายผ้าคลุมสีทองม่วงสยายอย่างเงียบเชียบอยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายคล้ายเป็นคนที่มีความอดทนอย่างยิ่ง

ลูกสาลี่มาถึงบนศีรษะของคนผู้นั้นแล้ว

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า อากาศในค่ำคืนฤดูหนาว เหงื่อท่วมศีรษะไหลรินร่วงแหมะๆ ลงบนพื้นแผ่นไม้

คนผู้นั้นคล้ายชะงักงัน เอ่ยว่า “เจ้า…”

ครู่หนึ่งนี้เอง!

นางสะบัดมือเพียงครั้ง

ลูกสาลี่กระแทกลงมาปานสายฟ้าแลบ!

คนผู้นั้นยกมือเพียงครั้ง

มือหนึ่งคว้าลูกสาลี่ไว้ มองดูแล้วกัดคำหนึ่ง

จิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ

อยากจะกระอักเลือดในพริบตาเดียว

“เจ้าดูสิ” คนผู้นั้นกินลูกสาลี่ไปพลาง เอ่ยกับนางอย่างสุภาพเรียบร้อยเปี่ยมมารยาทว่า “คืนนี้แสงจันทร์สว่างไสวยิ่งนัก”

จิ่งเหิงปัวเข้าใจทันทีว่าเกิดความผิดพลาดตรงไหน

แสงจันทร์สว่างไสวสะท้อนเงาละเอียดอ่อน เมื่อลูกสาลี่ลอยไปบนศีรษะเขาจะทอดเงาชัดเจน

ขอแค่เขาไม่ได้โง่เหมือนหมู ย่อมจะพบเงาดำที่เคลื่อนไปเคลื่อนมากลุ่มนั้นได้

จิ่งเหิงปัวเหนื่อยล้าอ่อนแรง หมอบลงบนพื้นอย่างเกียจคร้านเสียเลย

“เอาเถิด” นางกล่าวว่า “จะเฉือนจะฆ่าก็แล้วแต่เจ้าเลย”

คนผู้นั้นยิ้มแย้ม นั่งขัดสมาธิตรงข้างกายนาง ชายผ้าสีทองม่วงสยายลงมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“เมื่อครู่เจ้าใช้วรยุทธ์ใด” เขาถาม

“ทะลวงภูผาทุบตีสุนัข” นางกล่าว

เขาไม่ได้โกรธเคือง คล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง แล้วเอ่ยว่า “พลังควบคุมสิ่งของเป็นวรยุทธ์จากภายในที่ลึกซึ้งสูงส่งยิ่งนัก มองไม่ออกเลยว่าเจ้าผู้อ่อนวัยจะมีกําลังภายในเช่นนี้ด้วย”

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ ไม่ถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย กล่าวว่า “พรสวรรค์น่ะเข้าใจหรือไม่?”

เขามองดูสีหน้านาง เอ่ยว่า “เจ้าถูกยาพิษ”

“เหลวไหล”

“ยาพิษพิเศษยิ่งนัก มาจากพระราชวัง น่าจะเป็นยาพิษที่สุดยอดและลึกลับที่สุดด้วย คนธรรมดาอยากถูกพิษยังทำไม่ได้เลย” เขาเอ่ยว่า “ฐานะของเจ้าต้องไม่เรียบง่ายเป็นแน่ คนเช่นเจ้านี้ปะปนเข้ามาข้างกายองค์หญิงเพื่อสิ่งใดกัน”

“หวังสังหารนาง” นางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

เขาคล้ายหัวเราะสั้นๆ ครั้งหนึ่ง แล้วส่ายหน้า เอ่ยว่า “เจ้าสังหารนางไม่ได้ และเจ้าก็ไม่ได้คิดจะสังหารนางด้วย”

จิ่งเหิงปัวเพ่งมองเขา เขานั่งหันหลังให้แสงจันทร์ ผมดำขลับโปรยสยายดุจแพรต่วน ท่ามกลางความเลือนรางคือท่าทางนุ่มนวลหน้าตาหล่อเหลา นางคล้ายเข้าใจขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้ติดตามพวกเรามาตลอดหรอกกระมัง?”

เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “อาศัยวาสนาของเจ้า ข้ายังได้รู้เป็นครั้งแรกว่าองค์หญิงมีบุรุษสตรีที่เคารพชื่นชมเช่นกัน นึกไม่ถึงว่านางจะห่วงใยราษฎรตั้งแต่อายุยังน้อย”

จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าเฝ้าอยู่บนหลังคาตำหนักมาโดยตลอด? เจ้าปกป้องนางอยู่ตลอดเวลา? เจ้า…” ในใจนางดุจมีสายฟ้ากะพริบวูบ ร้องว่า “เจ้าคือยงซีเจิ้ง!”

เขายิ้มแย้มทว่าไม่เอ่ยวาจา

จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบไปเสียแล้ว

เห็นเหอหว่านต่อต้านขนาดนี้ เดิมทีนึกว่าเป็นแค่การแต่งงานทางการเมืองครั้งหนึ่ง แต่ค่ำคืนเหมันต์เหน็บหนาวเข้ากระดูกแบบนี้ ยงซีเจิ้งเฝ้าอยู่บนตำหนักบรรทมของนางด้วยตนเองเพียงเพื่อชมจันทร์บนหลังคาตำหนักของคู่หมั้นจริงหรือ?

การเฝ้าปกป้องและความรู้สึกลึกซึ้งรูปแบบหนึ่ง ไร้หนทางเอ่ยวาจา เพียงกลายเป็นดอกไม้เพลิงท่ามกลางความนิ่งเงียบ

นางตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที…หญิงชายผู้ลุ่มหลงอยู่ในความรักบนโลกนี้ ความรักใคร่โกรธเคืองโง่เขลาเคียดแค้นยากคาดการณ์ ด้ายแดงผูกพันผิดพลาดเพียงครั้ง ว้าวุ่นความสุขสันต์โศกเศร้าบนแดนมนุษย์มากเพียงใด

ยงซีเจิ้งจ้องมองนาง แววตาของบุรุษผู้นี้มีพลังยิ่งยวด เอ่ยวาจาเชื่องช้าแลชัดเจนยวดยิ่ง มองปราดเดียวย่อมรู้ว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งเป็นพิเศษเช่นนั้น คนประเภทนี้มีความสามารถมากล้น ความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ และยากจะสั่นคลอนยิ่งนัก

จิ่งเหิงปัวลอบถอนหายใจ รู้สึกว่าเรื่องราวของเหอหว่านกับจี้อีฝานเลือนรางมากยิ่งขึ้นแล้ว

 

 

[1] ตี้หลง วิธีการทำให้อากาศอบอุ่นในสมัยโบราณ ภายในพระราชวังหลายแห่งมีอุโมงค์ความร้อนใต้ดิน เมื่อจุดไฟบนปากอุโมงค์ความร้อนที่อยู่บนพื้นดิน ความร้อนจะไหลผ่านอุโมงค์เข้าสู่ตำหนัก

[2] เทศกาลหยวนเซียว หรือเทศกาลชมโคมไฟในวันพระจันทร์แรกของเดือน ในวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ