บทที่ 153 ชุดขนหงส์
พระพันปีทรงกริ้ว: “อยู่ดีๆทั้งสองตำหนักเกิดเรื่องอันใดขึ้น? แล้วเหตุใดหลังจากเกิดเรื่องแล้วอ๋องเย่ถึงเป็นผู้รับผิดชอบงานในราชสำนัก? พฤติกรรมอันแข็งกร้าวของเขาย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ฝ่าบาทเกิดเรื่องเขากระทำการเคลื่อนไหวอันใหญ่หลวงเช่นนี้ก็ไม่ได้ผิดปกติ แต่การเคลื่อนไหวใหญ่หลวงเช่นนี้ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงตื่นตระหนก การกระทำของเขากล่าวน่าฟังเป็นการแบ่งปันความทุกข์ของฝ่าบาท หากกล่าวไม่น่าฟังก็คือยึดอำนาจ
ก่อนเกิดเรื่องทั้งสองตำหนักมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเขา เค้าลางนี้คือเจาะจงกับพวกเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้จักคิดไปข้างหน้านะ? ”
“เสด็จแม่……” ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจและเดินไปเดินมา นางเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดพระพันปีถึงส่งคนไปรับนางมา
ในการณ์นี้ก็เพื่อปกป้องบุตรชาย
กล่าวตรงๆก็คือ ตามืดบอดนั้นถูกบีบบังคับจากสถานการณ์และนางต้องการปกป้องหนานกงเย่มิให้ถูกทำร้าย
“อย่าวิตกให้ข้าคิดทบทวนและค้นหาเบาะแสให้แน่ชัด” พระพันปียกมือขึ้นหยุดความกังวลของฉีเฟยอวิ๋น
นางครุ่นคิดอย่างสงบนิ่งแล้วถามว่า: “ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดแตกต่างไปหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าจักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ใช่คนธรรมดา อันที่จริงผู้ที่สามารถนำถุงหอมของฮองเฮาไปได้เขาเป็นผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด
หากเขาต้องการกำจัดอ๋องเย่ออกไปให้พ้นจริงๆ การทำเช่นนี้ก็เป็นไปได้
แต่ว่าจักรพรรดิอวี้ตี้และหนานกงเย่มีความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอย่างแน่นแฟ้น จะโหดร้ายเช่นนี้ได้จริงหรือถึงได้ลงมือกับหนานกงเย่?
หรือว่าเรื่องราวในครั้งนี้เป็นเพียงแค่การทดสอบหนานกงเย่
“ลูกรีบร้อนเลยไม่ทันไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ฉีเฟยอวิ๋นทูลตามความจริง
เกิดความวิตกกังวลผ่านพระเนตรของพระพันปี
“เสด็จแม่เดิมทีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ควบคุมดูแลทั้งหกกรม การโยกย้ายกำลังทหารและทำให้พระราชวังทั้งภายในและภายนอกมีเสถียรภาพก็เป็นเรื่องปกติหรือว่ายังมีสิ่งใดผิดปกติ?”
“ให้อ๋องเย่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่อ๋องเย่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในพระหัตถ์ของฝ่าบาท หากฝ่าบาทต้องการให้เขาโยกย้ายกำลังทหารเขาก็ต้องโยกย้ายกำลังทหาร หากว่าฝ่าบาทไม่ต้องการให้เขาเคลื่อนพลเขาก็ทำได้เพียงแค่ไม่เคลื่อนพลเท่านั้น
เขาเป็นข้าราชบริพารซึ่งข้าราชบริพารก็ต้องมีท่าทีของข้าราชบริพารด้วย
ดังคำกล่าวที่ว่า กษัตริย์ต้องการให้ข้าราชริพารตาย ข้าราชบริพารก็ต้องตาย
เขาเป็นข้าราชบริพาลนี่คือโชคชะตา
หากเวลาของวันนี้เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท เข่นนั้นทุกสิ่งก็พูดง่าย หากเวลาของวันนี้เป็นความประสงค์ของเขาเองเช่นนั้นทุกอย่างล้วนผิดทั้งสิ้น ”
พระพันปีทรงขมวดพระขนง: “ใครกันช่างกล้าเช่นนี้ถึงกล้าลงมือในวังเพื่อทำร้ายจวนอ๋องเย่ หากข้ารู้จะไม่อภัยให้เป็นแน่”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง: “เสด็จแม่ ทำร้ายจวนอ๋องเย่หรือ?”
พระพันปีปล่อยพระหัตถ์และยื่นข้อพระหัตถ์ให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรีบดูให้พระพันปี: “เสด็จแม่ทรงคับข้องพระทัยขออย่าได้ทรงคิดมากไปเลย ลูกมียาโอสถเม็ดคลายกังวลขอเสด็จแม่ทรงเสวยซะก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นวุ่นอยู่กับการนำขวดยาเล็กๆออกมาจากร่างกาย แล้วหยิบเม็ดยาสีดำขนาดเท่าเมล็ดงาออกมาสามเม็ดมอบให้กับพระพันปี
พระพันปีทรงระแวงตลอดอยู่แล้ว หากว่าไม่มีผู้ใดทดลองยานั่นพระนางไม่เสวยอยู่แล้ว
พระพันปีเงยพระพักตร์ขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมาหนึ่งเม็ดแล้ววางไว้ใต้ลิ้น: “นี่เป็นสิ่งที่ลูกใช้ตานเซิน พิมเสนและชาดแดงสกัดออกมา ไม่ควรใช้เป็นเวลานานแต่หากอาการป่วยกำเริบให้ใส่ไว้ใต้ปลายพระชิวหาจะช่วยชีวิตคนได้ในทันที เวลาใช้จำนวนมากๆก็สิบเม็ดเวลาใช้น้อยๆอย่างเช่นเสด็จแม่นี้ใช้สองเม็ดถึงสี่เม็ดก็ทุเลาแล้ว”
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นทานแล้วพระพันปีก็ใส่ไว้ใต้พระชิวหา แล้วรู้สึกว่าเย็นสดชื่นขึ้นมากจากนั้นจึงทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายตามว่า: “โอสถนี้ไม่ใช้การกลืนลงไปเลยจะเป็นอันตรายต่อพระอามาสัยและอันตะ หลังจากทรงใช้แล้วเสด็จแม่สามารถบ้วนพระโอษฐ์ได้”
“อืม” พระพันปีรู้สึกเย็นสดชื่นขึ้นในพระทัยและก็ทรงสงบลง
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “ก่อนเกิดเรื่องกับสองตำหนักนั้นได้พบเจ้าก่อน เกิดเรื่องขึ้นก็เป็นการมุ่งเป้าไปยังเจ้า แม้ว่าเจ้าจะช่วยชีวิตคนใกล้ตายให้ฟื้นกลับมาได้เจ้าก็หลีกเลี่ยงปัญหาเข้าตัวไม่ได้
อ๋องเย่ต่อสู้อย่างห้าวหาญเช่นนี้ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เพื่อฝ่าบาทซะทั้งหมด ยังมีเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในนั้น
ข้าได้ยินว่าเรื่องของเฉาเหม่ยเหรินนั้นทำให้เขาเร่งเข้าวังในชั่วข้ามคืนเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทำเพียงเพื่อระบายอารมณ์โกรธให้กับเจ้า ฝ่าบาทมาหาข้าแล้วทรงรายงานเรื่องนี้ต่อข้า พระองค์บอกว่าอ๋องเย่ถูกเจ้าทำให้หลงไหลไร้ซึ่งสติ”
“เสด็จแม่ ลูกหวาดกลัว คำพูดนี้ของฝ่าบาททำให้ลูกหวาดกลัว เมื่อไม่นานมานี้อ๋องเย่ปฏิบัติต่อลูกดีขึ้นมาบ้างจริง แต่ลูกก็ถูกเขาโยนเข้าไปในเรือนที่ทรุดโทรมและลูกก็หิวจนเป็นลมไปเลย
เหตุผลที่ลูกทำให้อ๋องเย่ปฏิบัติต่อลูกดีขึ้นมากนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะลูกเชื่อฟังขึ้นมาก
ข้อหนึ่งเนื่องจากว่าลูกไม่ได้ออกไปสร้างปัญหาและเชื่อฟังคำของเขา อีกข้อลูกได้รับความโปรดปรานจากเสด็จแม่ซึ่งเขาก็ดีใจยิ่งนักเลยดีกับลูกขึ้นมาบ้าง
เรื่องที่ฝ่าบาททรงตรัส ลูกไม่สามารถยอมรับได้”
“โง่เง่า!”
เสด็จแม่จ้องพระเนตรมองอย่างทรงพระพิโรธฉีเฟยอวิ๋นเลยหุบปากทันที!
พระพันปีทรงระงับโทสะแล้วจึงตรัสว่า: “คำกล่าวเช่นนี้คราวหน้าอย่าได้กล่าวอีก พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิ แม้ว่าจะทรงตรัสไม่ถูกต้องเจ้าก็ควรต้องคิดว่าถูก เจ้าเป็นพวกเดียวกับพ่อของเจ้ามีสิ่งใดก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ข้าไม่สนว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ ครั้งนี้เจ้ากับอ๋องเย่สองสามีภรรยาจะต้องลงเรือลำเดียวกัน หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจริงเจ้าต้องรู้ว่าควรทำเช่นไร ”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจทันทีว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จุดประสงค์เดียวของพระพันปีก็เพื่อช่วยหนานกงเย่ให้ปลอดภัย
สำหรับตัวนางจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเสียสละ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวทันทีว่า: “เสด็จแม่อทรงวางพระทัย ลูกจะทำเพื่ออ๋องเย่จนตัวตาย”
รู้ก็ดีแล้ว เจ้าสามารถเข้าใจได้ข้าก็พอใจแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ากับอ๋องเย่เกิดเรื่อง เจ้ามีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว
มาสิ! “พระพันปีทรงเรียกหาคนแล้วไห่กงกงก็รีบเข้ามาจากด้านนอกประตู
“พระพันปี”
“นำชุดขนหงส์ตัวนั้นของข้ามา ร่างกายของชายาเย่อ่อนแอลงทุกวันและข้าก็กลัวว่านางจะเป็นหวัดเลยให้นางใช้บังลมและความหนาวเย็นก็ยังดี”
ไห่กงกงได้รับคำสั่งให้เป็นผู้จัดการและกลับมาพร้อมกับชุดคลุมลายนกยูงสีน้ำเงินในมือ เสื้อคลุมถูกวางไว้ในถาดจากนั้นไห่กงกงก็คลุมลงบนร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นด้วยตัวเขาเอง
พระพันปีไม่ประสงค์จะตรัสสิ่งใดอีกจึงโบกมือ: “ไปเถอะ ที่พระสนมเอกเซียวนั้นต้องดูแลเป็นอย่างดีอย่าได้มีอุบัติเหตุอันใดเกิดขึ้น ฝ่าบาทไม่มีทายาทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เมื่อเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ข้าจะไปยังศาลบรรพชนเพื่อขอพรให้ฮองเฮาและสนมเอกเซียว ไห่กงกงเจ้าส่งชายาเย่ไปหาพระสนมเอกเซียวด้วยตัวเอง กลับมาค่อยติดตามไปกับข้าและแต่งองค์ให้ข้า”
“พะย่ะค่ะ”
ไห่กงกงวุ่นอยู่กับการเชิญฉีเฟยอวิ๋นออกไป ทำราวกับว่าแผ่นดินเมืองต้าเหลียงเกิดลมพายุฝนฟ้ากระหน่ำเช่นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นถอยออกจากตำหนักเฉาเฟิ่งอย่างจนใจ
ออกจากตำหนักเฉาเฟิ่งไห่กงกงไม่ได้กล่าวตลอดทางและส่งฉีเฟยอวิ๋นไปถึงยังตำหนักจิ่นซิ่ว
แต่พอนางปรากฏตัวขึ้นผู้คนในตำหนักจิ่นซิ่วก็คุกเข่าลงทีละคนๆ: “บ่าวทั้งหลายขอต้อนรับเสด็จพระพันปี ขอพระพันปีอายุยืนหมื่นปี”
ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าประหลาดใจ พระพันปี?
มองย้อนกลับไปเพื่อจะดูแล้วไห่กงกงก็รีบตักเตือน ไห่กงกงส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า: “พระชายาเย่เชิญพะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ข้อมือของไห่กงกงแล้ววางมือลงไปบนนั้น
ตามไปยังตำหนักจิ่นซิ่ว ผู้คนตลอดทางคุกเข่าลงส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็มองดูตรงหน้าซะจนเลือนลาง
สัมผัสได้ว่าชุดขนหงส์นั้นทรงพลังยิ่งนัก สวมใส่แล้วเสมือนว่าพระพันปีเสด็จมาด้วยตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถึงตำหนักจิ่นซิ่ว หนานกงเย่และจักรพรรดิอวี้ตี้ซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาทั้งสองก็อดตกใจไม่ได้
ผู้คนในตำหนักจิ่นซิ่วคุกเข่าลงทีละคนๆ: “บ่าวทั้งหลายขอคารวะพระพันปี ขอพระนางอายุยืนหมื่นปี”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังหน้าพระพักตร์จักรพรรดิอวี้ตี้ทำท่าคารวะย่อกายแต่ถูกจักรพรรดิอวี้ตี้ขวางไว้: “ชุดขนหงส์อยู่ในร่างดังเช่นเสด็จแม่เสด็จมาเอง ชายาเย่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ให้ระวังฐานะตนเองด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เนื่องจากนางเป็นตัวแทนของพระพันปีงั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเรียบง่าย
หมายเหตุ
พระชิวหา เป็นคำราชาศัพท์หมายถึงลิ้น
พระมาลาสัย เป็นคำราชาศัพท์หมายถึงกระเพาะอาหาร
พระอันตะ เป็นคำราชาศัพท์หมายถึงลำไส้ใหญ้