ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 95 ต่อสู้กับในจิงตู (2)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ที่ทั่วทั้งเมืองจิงตูปฏิบัติต่อสำนักฝึกหลวง หากจะกล่าวให้ถูก ที่ปฏิบัติต่อหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นั้นด้วยเจตนาร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร? นั่นเป็นเพราะหนังสือสมรสฉบับนั้นบนตัวเขา

ในจิงตู สวีโหย่วหรงเป็นชื่อที่ไม่สามารถถูกสบประมาทได้

นอกจากมีฐานะเป็นผู้สืบทอดเทพธิดาทิศใต้ มีสายเลือดหงส์กลับชาติมาเกิด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รักใคร่โปรดปราน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นางงดงามอย่างมาก…อย่างน้อยในสายตาของคนต้าโจวนั้นนางก็งดงามสมบูรณ์แบบ เป็นธรรมดาที่จะมีคนหนุ่มสาวทุ่มเทความรักเลื่อมใสศรัทธา แม้กระทั่งหญิงสาวด้วยกันก็ตาม

ทว่าเพราะนางสมบูรณ์แบบเกินไป ด้วยเหตุนี้การทุ่มเทความรักจำนวนมากสุดท้ายแล้วจึงแปรเปลี่ยนเป็นเคารพ หรืออาจจะกล่าวว่าเลื่อมใสศรัทธา ผู้คนจึงกล้าทำได้เพียงเพ้อฝันอยู่ในที่รโหฐานยามดึกดื่นค่ำคืน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนกลับไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ เพราะว่าจะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเท่านั้นเอง

นั่นเป็นการสบประมาทอย่างหนึ่ง

จนกระทั่งเรื่องราวการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนั้นแพร่กระจายทั่วทั้งจิงตู สถานการณ์เช่นนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง ผู้ที่มีอายุมากหน่อยสามารถรักษาอาการสงบนิ่งได้ ทว่าบุรุษที่รักใคร่ชื่นชมสวีโหย่วหรงเหล่านั้นกลับไร้หนทางยับยั้งอารมณ์ในจิตใจได้ พวกเขาตัดสินใจไปสำนักฝึกหลวงเพื่อแสดงความโกรธแค้นของตนเอง

หลายปีก่อน ไม่มีผู้ใดไปก่อกวนตำหนักคณะเจรจาทางทิศใต้ที่อยู่ในจิงตู และยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าจะมีใครด่าทอชิวซานจวินไม่หยุดหย่อน เพราะเหตุใดกัน นั่นเป็นเพราะชิวซานจวินก็เป็นผู้ที่งดงามสมบูรณ์แบบเช่นกัน รัศมีแสงส่องสว่างหมื่นจั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขาและสวีโหย่วหรงได้รับการยอมรับจากราชสำนักเงียบๆ ปวงประชาก็ต่างเห็นพ้องต้องกัน

สภาพจิตใจชนิดนี้มีบ้างที่ซับซ้อน ยากที่จะอธิบาย อาจจะเป็นเพราะว่าการมีอยู่ของเฉินฉางเซิงและหนังสือสมรส ทำให้สวีโหย่วหรงมิได้งดงามสมบูรณ์แบบเท่าแต่ก่อน ชิวซานจวินก็ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ดังนั้นบรรดาบุรุษหนุ่มน้อยจึงเริ่มหยิบยืมความโกรธแค้นไม่พอใจ ประกาศสิ่งที่มีอยู่ของตนเอง

สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือหนุ่มน้อยที่ถือหนังสือสมรสผู้นั้นนามว่าเฉินฉางเซิง ผู้คนไม่ได้ล่วงรู้ จึงสอบถามข่าวคราวถึงรู้สาเหตุว่าคือนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง เป็นบุคคลที่ธรรมดาอย่างยิ่ง สอบถามอีกถึงได้รู้ว่าคาดไม่ถึงจะยังมิได้ฝึกบำเพ็ญเพียร เป็นเพียงสิ่งของไร้ประโยชน์

เช่นนี้จะอดกลั้นได้อย่างไร ชิวซานจวินพวกเราไม่สามารถเปรียบได้ แต่หนุ่มน้อยนามว่าเฉินฉางเซิงนับว่าเป็นอะไร

หากจะกล่าวอย่างง่ายดาย ในความเป็นจริงประโยคนั้นของนักพรตเต๋าล้วนแต่จับต้องได้ แล้วเหตุใดข้าจะจับต้องบ้างมิได้

หนุ่มน้อยนักพรตเต๋าที่มาจากซีหนิงปรารถนาจะสมรสกับคุณหนูตระกูลสวี

ก็เหมือนเวลานี้ประโยคที่ก่นด่ามากที่สุดด้านนอกสำนักฝึกหลวงก็คือ คางคกปรารถนาจะกินเนื้อหงส์

ถุย!

เสียงก่นด่าและคำหยาบคายยิ่งนานยิ่งดังขึ้น ดังจากประตูสำนักไปจนถึงกลางหอตำรา ยังคงชัดเจนยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงถือตำราฝ่าหัวด้วยมือทั้งสองข้างตั้งใจอ่านเงียบๆ ราวกับว่าเดิมทีไม่ได้ยินเสียงของด้านนอก และก็ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

ถังซานสือลิ่วจะสงบนิ่งเช่นเขาได้อย่างไร กระบี่เวิ่นสุ่ยออกจากฝักนานแล้ว ถูกเขาจับอยู่ในมือ ส่องแสงสะท้อนกับท้องฟ้าสีครามยามฤดูใบไม้ร่วง เอ่ยไม่ออกว่าเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยวทำให้ผู้คนหวาดกลัว

เซวียนหยวนผ้อก็เดินลงขั้นบันไดหินนานแล้ว เตรียมที่จะยกแผ่นกระดานประตูขึ้นมาอีกครั้ง

ตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดท้ายเห็นว่าเฉินฉางเซิงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ถังซานสือลิ่วจึงกล่าวอย่างมีโทสะ “เช่นนี้ยังสามารถทนได้ ถ้าหากเจ้าไม่ทำสิ่งใด หลังจากวันนี้ เจ้าจะกลายเป็นคางคกผู้โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วสำนักฝึกหลวงจะนับเป็นอะไรไปกว่าสระน้ำที่เลี้ยงคางคกได้เล่า”

เซวียนหยวนผ้อกล่าวด้วยความไร้เดียงสา “ใช่แล้ว หรือว่าพวกเราก็ล้วนแต่เป็นคางคกเหมือนกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงจ้องมองถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “หรือว่าพวกเขาด่าทอข้าอะไร ข้าก็จะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าหากข้าด่าทอเจ้าไม่กี่ประโยคว่าเป็นสัตว์ เจ้าก็จะมีปีกงอกออกมาจริงๆ แล้วแผดเสียงร้องโผบินไปยังพระราชวังหรือ”

“เรื่องตลกขบขันนี้มิได้ตลกเอาเสียเลย อีกทั้งถ้าหากถูกด่า ข้ายินยอมถูกด่าเป็นสัตว์ แต่ไม่ยินยอมถูกด่าเป็นคางคก เป็นสัตว์ถึงอย่างไรก็จะทำเรื่องของสัตว์ แล้วเจ้าเล่า แม้แต่หน้าของสวีโหย่วหรงยังไม่เคยพบเจอ ในมือมีหนังสือสมรส แล้วยังจะถูกผู้คนด่าทอ”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ ก็คร้านจะสนใจเขาต่อ ยกกระบี่เวิ่นสุ่ยขึ้นมามุ่งไปยังประตูของสำนักฝึกหลวง

เซวียนหยวนผ้อเห็นเหตุการณ์นี้ รีบแบกประตูสำนักที่สูงเท่าคนสองคนขึ้นมา เอ่ยเสียงอู้อี้จึงเดินตามออกไป

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน รีบวางม้วนตำราในมือ ยืดตัวลุกขึ้นเตรียมออกไปดูยังประตูสำนัก นี่แท้จริงแล้วนับเป็นเรื่องของตน

“ส่งคนแซ่เฉินออกมา!”

“ขับเขาออกจากจิงตู!”

“คิดไม่ถึงกล้าปลอมแปลงหนังสือสมรส ช่างกล้าอย่างยิ่ง!”

“ก็ไม่ส่องกระจกเสียหน่อย มองตนเองว่าเป็นสิ่งของอะไร เอ่ยวาจาโป้ปด ไม่เกรงกลัวฟ้าผ่าหรือ”

“จวนขุนพลตงอวี้มิได้คิดเล็กคิดน้อย พวกเราทั้งหลายเป็นเพราะทำนองคลองธรรม กลับต้องโต้เถียงขาวดำกับเจ้า”

ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ที่ประตูของสำนักฝึกหลวงยิ่งนานยิ่งมากขึ้น เมื่อถึงหลังเวลาเที่ยง ในที่สุดผู้คนก็มีจำนวนนับพันคน ทั่วทั้งผืนแน่นขนัดมืดฟ้ามัวดิน จ้องมองพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ คำสบถด่ายังมิได้ขาด เสียงก่นด่าไม่หยุดดังในหู บรรยากาศในที่เกิดเหตุยิ่งนานยิ่งดุเดือดรุนแรง

เมื่อเวลาเช้าตรู่ ตระกูลเทียนไห่ให้คนมาพังประตูสำนัก บนขั้นบันไดพังทลายเสียหาย เดิมทีก็มิอาจขัดขวางผู้คนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่ร้องตะโกนต่อสำนักฝึกหลวง ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายไร้ผู้คนโต้ตอบ มีคนหนุ่มสาวบางคนไร้หนทางควบคุมอารมณ์ เลือดร้อนจนถึงบนศีรษะ ตะโกนลั่น “พวกเราเข้าไปแล้วจับคนต่ำทรามผู้นั้นออกมา”

สิ่งที่เรียกว่าพลังโกรธแค้นและเร่าร้อนของมวลชน เรียกร้องสั่นสะเทือนใจจะขาด คนหนุ่มสาวสามารถนำอาการเลือดร้อนออกมาได้อย่างง่ายดายที่สุด หยิบยืมเสียงร้องตะโกนลั่น เสียงฮือจากฝูงชนแน่นขนัดพุ่งชนไปยังสำนักฝึกหลวง

เวลาต่อมา เสียงโครมดังขึ้น

พลังแข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ที่ประตูสำนักฝึกหลวงแพร่กระจายออกมา

น้ำฝนที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนพื้น ได้รับลมปราณลากห่างออกไปจากพื้น ราวกับลูกธนูนับไม่ถ้วนหลุดออกจากสาย ยิงออกไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างตรอกมีแผลนับพันมีรอยนับร้อย

บรรดาบุรุษที่กำลังพุ่งชนสำนักฝึกหลวง ร้องตะโกนเจ็บปวดหกคะมำลงพื้นพร้อมเพรียงกัน ฝ่ามือยันไว้กับพื้น มีรอยแผลแตกจำนวนมาก คนที่วิ่งเร็วสุดก็ไปปะทะกับผู้คนอยู่ด้านในประตูสำนักฝึกหลวง ยิ่งถูกทำให้กระเด็นออกด้านนอกไปสิบกว่าจั้ง สลบไสลไม่ฟื้น ทั่วทั้งร่างกายคือโลหิต มีชีวิตหรือเสียชีวิตก็ไม่อาจรู้ได้

เสียงร้องตะโกน เสียงก่นด่าที่ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาพักใหญ่อยู่ด้านนอกประตูสำนักฝึกหลวงหยุดลดฉับพลัน

ทั่วทั้งผืนเงียบสนิท ได้ยินเพียงแค่เสียงร้องเจ็บปวดของนักเรียนหนุ่มน้อยเหล่านั้น

จินอวี้ลวี่ที่สวมใส่อาภรณ์ของคนมีฐานะค่อยๆ เดินออกมาจากห้องเล็กด้านข้างประตูสำนักฝึกหลวง

มือซ้ายของเขาถือกาดินเผาจากอี๋จวิ้นอันล้ำค่า มือขวากำลังถูลูกหยกสองลูกในมือ ท่าทางกล่าวมิได้ว่าผ่อนคลายเพียงใด

เขายืนอยู่บนบันไดหิน แหงนศีรษะจ้องมองฟากฟ้า ส่งเสียงชื่นชมคราหนึ่ง

ฝนฤดูใบไม้ร่วงหยุดลง ท้องฟ้าราวกับว่าได้รับการชะล้าง งดงามอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นเขาชักสายตากลับ จ้องมองไปยังกลุ่มฝูงชนมืดฟ้ามัวดินที่อยู่ด้านหน้าประตูสำนัก พลางเอ่ยว่า “อยากตายหรือ”

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้มิได้ขับเคลื่อนพลังปราณแท้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนในที่เกิดเหตุเมื่อได้ยินจึงไม่ได้รู้สึกราวกับว่าฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิแล้วพลันแตกฮือ ทว่าด้านหน้าประตูสำนักที่เงียบเชียบ ราวกับว่าเกิดฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ เพราะว่าความน่าเวทนาของคำทั้งสามคำมีอยู่เต็มพื้น

“อย่างน้อยมีหลายสิบคนที่ศีรษะแตกเลือดไหลออกมา มีคนจำนวนมากทั่วทั้งกายเป็นเลือดแล้วสลบไสล ทั่วทั้งผืนน่าเวทนา”

“เจ้าเป็นใคร”

มีคนหนุ่มที่กล้าหาญเล็กน้อยในกลุ่มผู้คน เสียงสั่นเทากล่าวว่า “คาดไม่ถึงเจ้าจะกล้าทำร้ายสังหารผู้คน”

มีคนที่เป็นผู้นำ หากเปรียบกับคนที่กล้าหาญก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสบาย มีเสียงดังขึ้นตามมากมาย มองเห็นสหายที่มาด้วยกันได้รับความเวทนา เสียงตะโกนก้องถามยิ่งนานยิ่งดังขึ้น ผู้คนยิ่งนานยิ่งโกรธเคือง ความเงียบนิ่งถูกทำลาย บรรยากาศในที่เกิดเหตุแปรเปลี่ยนเป็นดุเดือดอีกครา

“มือสังหาร”

“รีบไปแจ้งความ”

วันนี้ตรอกไป่ฮวาถูกกลุ่มผู้คนเบียดเสียดจนน้ำก็มิอาจซึมออกมาได้ ยินคำพูดที่มาจากด้านหน้า กลุ่มผู้คนด้านหลังสิบกว่าคนจึงจากไปจริงๆ คงจะไปแจ้งข้อหาที่กรมจิงตู หลังจากนั้น ผู้คนที่กระตือรือร้นรีบพยุงผู้บาดเจ็บขึ้นมา มีคนที่รู้เรื่องการแพทย์เล็กน้อยเริ่มรักษาผู้คนที่สลบไสลเหล่านั้น

ถ้าหากไม่คิดว่าผู้คนเหล่านี้กำลังโอบล้อมโจมตีสำนักฝึกหลวง ภาพสถานการณ์ตอนนี้กลับทำให้ซาบซึ้งว่าผู้คนจิงตูนั้นมีความสามัคคีกันอะไรเช่นนี้

สามัคคีก็คือพลัง มีคนไปแจ้งความแล้ว อีกชั่วครู่ทางราชสำนักจะต้องส่งคนมาลงโทษมือสังหารที่สวมใส่เสื้อผ้าเศรษฐีผู้นี้ นี่ยืนยันว่าเป็นพลังอย่างหนึ่ง ผู้คนจึงไม่เกรงกลัวดังเช่นก่อนหน้า พรั่งพรูเข้าไปที่ประตูสำนักอย่างกล้าหาญยิ่งใหญ่อีกครา

จินอวี้ลวี่ไม่รู้ว่าย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่มาจากแห่งใด นั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย ถือถ้วยน้ำชาไว้ จิบน้ำชาอึกหนึ่ง หลังจากนั้นเหลือบตามองกลุ่มผู้คน

มีบางคนมาถึงห่างจากขั้นบันไดหินไม่กี่จั้ง เมื่อเขาเหลือบตามอง จึงตกใจรีบถอยหลังกลับสุดชีวิต เหยียบโดนเท้าของคนข้างหลัง และไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดสิ่งใด ผู้คนที่แน่นขนัดเพียงชั่วพริบตาทั่วทั้งผืนก็แตกกระเซ็นกระจัดกระจาย

พลังของสายตามีฤทธิ์ร้ายแรงถึงเพียงนี้

จินอวี้ลวี่มิได้ลำพองใจเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จ้องมองกลุ่มผู้คนใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “ข้าเป็นเวรยามของสำนักฝึกหลวง สำนักฝึกหลวงเป็นสถานที่สำคัญในการศึกษาหาความรู้ ไม่อนุญาตให้เข้าไป หากมีผู้ใดกล้าเหยียบเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว ผู้คนเหล่านั้นก็จะเป็นเหมือนดังตัวอย่างนี้”

ผู้คนถึงนึกออก บุรุษวัยกลางคนที่ราวกับเป็นเศรษฐีผู้นี้ ก่อนหน้านี้ออกจากห้องเล็กๆ ข้างประตู

เพียงแค่จะมีสำนักใดที่เวรยามเก่งกาจเช่นนี้ สำนักเทียนเต้าก็คงจะไม่มีกระมัง

ตั้งแต่เมื่อวานจึงถึงยามอรุณวันนี้ สายฝนของฤดูใบไม้ร่วงตกต่อเนื่องไม่ขาดสาย อุณหภูมิลดต่ำลง ความเย็นค่อยๆ เพิ่มขึ้น

ผู้คนจ้องมองสหายเหล่านั้นร้องโอดครวญ โดยเฉพาะสหายที่สลบไสลไม่กี่คน แล้วมองบุรุษวัยกลางคนที่เรียกตนเองว่าเวรยามผู้นั้นอีกที เพียงแวบเดียวก็รู้สึกถึงความเยือกเย็น มีเพียงคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านในถึงกล้าตะโกนด่าทอออกมาสองสามประโยค แล้วจะมีคนกล้าเดินหน้าอีกสักก้าวได้อย่างไร

ตอนนี้เอง ในสถานที่เกิดเหตุมีสายลมอุ่นๆ โจมตีเข้ามา ความแห้งที่ชัดเจนอย่างยิ่งตามมาติดๆ กัน

ลำต้นของต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงยื่นออกมาด้านนอกกำแพงสำนัก ใบไม้เหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เพียงชั่วพริบตาก็เหี่ยวเฉา

เมฆสีแดงทั่วทั้งผืนเลื่อนต่ำลงมาจากท้องฟ้า

กิเลนเมฆแดงลอยลงมาไร้สุ้มไร้เสียง เท้าทั้งสี่ร่วงหล่นยังพื้นหิน บริเวณรอบๆ เป็นแอ่งน้ำกลม เพียงชั่วพริบตาระเหยกลายเป็นหมอก

บนหลังกิเลนมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ร่างกายสวมใส่เสื้อเกราะสีโลหิต ท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขาม

เมื่อเห็นคนผู้นี้ จินอวี้ลวี่พลันยืดตัวลุกขึ้น นำถ้วยชาวางบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ประสานมือขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ

เมื่อผู้คนมองเห็นคนผู้นี้ จึงเดาได้ว่ามีฐานะอย่างไร จึงคารวะพร้อมเพรียง เคารพนอบน้อมหาสิ่งใดเปรียบ

เซวียสิ่งชวน ขุนพลเทพของกองทัพอวี้เทียนแห่งต้าโจว ขี่กิเลนเมฆแดง ถือกระบี่เทวาส่องแสงสีโลหิต

ในขุนพลเทพทั้งสามสิบแปดคนของต้าลู่ เขาอยู่อันดับที่สอง

คนผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ควบคุมกองทัพต้าโจวมานานหลายปี ทั่วทั้งเมืองจิงตูไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นเขาก็มีสิทธิ์ดูแลจัดการ แน่นอนว่าเขามีความสามารถในการจัดการ

เมื่อเห็นเซวียนสิ่งชวนมายังที่เกิดเหตุ มีคนรู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย ถึงแม้จะมีคนไปแจ้งความที่กรมจิงตูก็คงจะไม่สามารถมาได้รวดเร็วเพียงนี้ และกรมจิงตูจะมีความสามารถอันใดเชิญผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้มาได้เล่า

ทว่าเมื่อคิดไปถึงชื่อเสียงที่ซื่อตรงละเอียดรอบคอบของขุนพลเทพเซวียสิ่งชวน ผู้คนล้วนก่อเกิดความหวังขึ้นมากมาย ต่างร้องตะโกนพร้อมเพรียงกัน

“สำนักฝึกหลวงทำร้ายสังหารคน!”

“ขุนพลเทพโปรดให้ความเป็นธรรม!”

หลังจากนั้นเพียงครู่ พลทหารก็เข้ามายังตรอกไป่ฮวา แยกกลุ่มผู้คนออก มาถึงยังด้านหน้าประตูสำนัก

ภายใต้การจ้องมองของสายตาเกินพันคู่ เซวียสิ่งชวนเดินขึ้นบันไดเชื่องช้า มาถึงด้านหน้าของจินอวี้ลวี่

เวลานี้ เฉินฉางเซิงและทั้งสองก็มาถึงแล้ว