ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 280 เขาคือหลี่มู่?

จอมศาสตราพลิกดารา

เดิมทีโลกใบนี้ไม่ได้ตัดขาดจากดาราสมุทรจริงๆ ยังสามารถติดต่อกับชนเผ่าจักรวาลในดาราสมุทรได้?

ไม่ใช่บอกว่าดาวนี้เป็นดาววิถียุทธ์ระดับล่างที่แยกออกมาเดี่ยวๆ หรือ?

มารดามันเถอะ ซินแสเฒ่าหลับหูหลับตาพูดโม้แล้ว

หรือตาเฒ่าอยู่บนโลกตั้งนานแสนนานเกินไป แท้จริงตัดขาดจากก้าวย่างแห่งยุคสมัยไปแล้วกันแน่?

หลี่มู่รู้สึกมึนงงนิดหน่อย

แต่ว่าพอกลับมาคิดดู ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินนี้ที่ตนเองรู้มา เหมือนจะไม่ค่อยมีขั้วอำนาจดาราสมุทรรุกล้ำเข้ามาเลย ดังนั้นการอัญเชิญอย่างที่องค์ชายสองทำจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยนัก อารมณ์ประมาณใช้โทรศัพท์ดาวเทียมโทร แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสัญญาณของ ‘โทรศัพท์ดาวเทียม’ ด้วย…เกิดขึ้นได้น้อยมาก?

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของหลี่กังแล้ว สิ่งที่องค์ชายสองทำเหมือนจะเป็นเรื่องต้องห้ามในโลกนี้ซะแล้ว

แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไร ใช้เลือดเนื้อประชาชนสังเวยเพื่อเปิดประตูมิติ ดูแล้วก็เหมือนวิชาชั่วร้ายประเภทหนึ่ง ไม่ใช่วิชาสายธรรมะ

ดวงตาของหลี่มู่จับจ้องอยู่ที่หลุมดำสีเลือดกว้างประมาณสามฉื่อ

ห้วงดาราสมุทรไร้ขอบเขตที่อยู่อีกฝั่ง กลุ่มดาวสีสันสวยงามกับดวงดาวที่กะพริบอยู่ไกลๆ เต็มไปด้วยสีสันแห่งความลึกลับ และดวงตาราวกับทะเลเลือดที่ลอยอยู่กลางดาราสมุทรนั้นก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย คอยดูดเอาเลือดเนื้อของชาวเมืองฉางอันที่ตายไปไม่หยุด

“สะบั้น!”

หลี่กังฟันกระบี่ออกไปหนึ่งครั้ง จิตแห่งกระบี่ท่วมฟ้า

ทว่าลึกเข้าไปในหลุมดำสีเลือด แสงชั่วร้ายบางๆ สีแดงคล้ำชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างขององค์ชายสองไว้ด้านใน เมื่อจิตกระบี่ธุลีแดงฟาดฟันถูกแสงนั้นกลับไม่มีอาการใดเกิดขึ้น เหมือนวัวดินจมลงสมุทร ถูกสลายไปทันที

“ข้าทาสผู้ต่ำต้อย เจ้าต้องการอะไร?” เสียงชั่วร้ายดังลอดออกมาจากอีกฝั่งของหลุมดำสีเลือด

องค์ชายสองเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบ้าคลั่ง “เทพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ โปรดมอบพลังขั้นเทวะให้กับข้าเถิด รวมทั้ง ‘ยอดวิชาแพะทมิฬ’ ขั้นที่สอง…”

“พลังแห่งเลือดเนื้อที่สังเวยไม่เพียงพอ” เสียงเทพแพะเมฆาดำอันชั่วร้ายดังมา เรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์

“นี่…” องค์ชายสองคับแค้นใจอย่างมาก

สามปีก่อนหน้า หลังจากที่เขาได้รับรูปปั้นผลึกเลือดของเทพแพะเมฆาดำมา เขาดีใจแทบคลั่ง ยกมันเป็นสมบัติล้ำค่า ลักลอบติดต่อกันมาหลายต่อหลายครั้ง และแอบจัดเตรียมอย่างลับๆ เดิมทีเขาต้องการรวบรวมเลือดสดสังเวยให้เพียงพอเพื่อแลกกับพลังและวิชาที่แกร่งขึ้น แต่ครั้งนี้เขากลับถูกบีบจนจนตรอก การอัญเชิญสูญเปล่าเพราะเตรียมการมาไม่พอ จึงไม่อาจได้รับสิ่งที่ใจเฝ้ารอมากที่สุดมา

“เช่นนั้นขอท่านมอบพลังขั้นเทวะให้กับข้าก็แล้วกัน” องค์ชายสองเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดุร้าย

เมื่อมีพลังขั้นเทวะ เขาก็สามารถกวาดล้างเมืองฉางอัน จัดการสังหารพวกหลี่กังหลี่มู่ จากนั้นบดขยี้ทั้งเมืองให้เป็นผุยผง สังหารผู้คนให้หมดสิ้น ถึงตอนนั้นก็โยนความผิดฐานติดต่อกับเทพปีศาจนอกพิภพให้หลี่กังเสีย ส่วนตัวเองเอาตัวรอดไปได้

“การสังเวยเลือดเนื้อครั้งนี้ของเจ้าน้อยนิดเกินไป อีกทั้งร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินไปเช่นกัน ข้ามอบให้ได้เพียงพลังดาวบริวารหนึ่งในพันเท่านั้น…” เสียงเฉยชาของเทพแพะเมฆาดำดังก้อง

ต่อมา ด้านในของหลุมดำสีเลือดมีมวลพลังขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งทะลักออกมา ดูคล้ายเลือดสดพุ่งเข้ามายังโลกใบนี้ในพริบตา อักขระจำนวนมากด้านในเลือดส่องกระพริบ จากนั้นกลายเป็นหยดเลือดหยดหนึ่งขนาดราวนิ้วมือ เสียงติ๋งดังขึ้น หยดเลือดร่วงลงมาบนหน้าผากขององค์ชายสอง แล้วไหลซึมลงไปเหมือนน้ำซึมดิน แทรกซึมเข้าไปสู่ใต้เนื้อหนังของเขา

“อ๊าก…” องค์ชายสองแหงนหน้าตะโกนราวกับเจ็บปวด เหมือนยินดีอย่างบ้าคลั่ง ลวดลายสีแดงเป็นสายดุจอสรพิษร้ายดำผุดดำว่ายจากหน้าผากลงไปที่ใบหน้า ต้นคอ ก่อนขยายไปทั่วทั้งร่าง มองแล้วทั้งน่ากลัวและน่าประหลาด

“ผสานพลังของเทพปีศาจนอกพิภพ รับการส่งพลังจากปีศาจแบบนี้…เจ้ามันบ้าไปแล้ว…” สีหน้าของหลี่กังสลับอารมณ์ไปมา

บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว การสมคบคิดกับปีศาจมารนอกพิภพมีโทษถึงตาย

เป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

ไม่รู้ว่ามีราชวงศ์และสำนักเรืองอำนาจในช่วงยุคหนึ่งหรือคนใหญ่คนโตมากมายเท่าใดที่ถูกลุกฮือโจมตีด้วยสาเหตุนี้ ตำนานเล่าว่าเมื่อพันปีก่อน แผ่นดินใหญ่เสินโจวมีสิบสำนักเทพ ต่อมาหนึ่งในนั้นข้องเกี่ยวกับปีศาจนอกพิภพ จึงถูกรุมล้อมโจมตี และถูกลบหายไปจากแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์

องค์ชายสองที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับปีศาจนอกพิภพ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะต้องก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่เป็นแน่

เขาไม่มีทางไม่รู้ถึงจุดนี้ แต่กลับยังทำ คงบ้าไปแล้วจริงๆ

สถานการณ์เกินกว่าขอบเขตที่หลี่กังคาดการณ์เอาไว้ไปแล้ว

แต่ไม่ใช่ว่าใครก็รับความเมตตาจากปีศาจนอกพิภพไว้ได้ องค์ชายสองไปได้รับผลึกโลหิตเก็บวิญญาณของปีศาจนอกพิภพมาได้อย่างไร?

“หลี่กัง!”

องค์ชายสองเอ่ยขึ้น น้ำเสียงมีความชั่วร้ายสะท้อนก้อง ราวกับปีศาจก็ไม่ปาน

เมื่อสิ้นสุดการรับพลังปีศาจ ดวงตาทั้งคู่ของเขากลายเป็นสีเลือด ไม่แยกเป็นตาขาวตาดำ ภายในเบ้าตามีเพียงสีแดงฉานเท่านั้น บนหน้าผากปรากฏเขาแพะสีแดงเลือดคู่หนึ่ง ม้วนเป็นวงอย่างดุร้าย กลิ่นอายปีศาจชั่วร้ายเข้มข้นพันล้อมอยู่รอบกาย และยังไม่ต่อต้านปราณแท้มังกรทะยานบนตัวเขาอีกด้วย แต่เหมือนอยู่ในสภาวะผสมผสานกันอย่างน่าประหลาด ทำให้ปราณแท้มังกรทะยานที่เดิมทีเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามแห่งราชวงศ์ทั้งชั่วร้ายและเหี้ยมเกรียม เปี่ยมด้วยความปรารถนาจะสังหาร ประหนึ่งราชามารที่ผุดออกมาจากปรโลก

“หลี่กัง เจ้าทำลายเรื่องที่ข้าสร้างเอาไว้ เจ้าสมควรตาย!”

องค์ชายสองยกมือซัดออกมา กรงเล็บมังกรแดงพลันปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า กลิ่นอายพลังสีเลือดที่ทรงพลังอำนาจไหลวน ความว่างเปล่าทรุดตัวลง จากนั้นพุ่งตรงเข้ามาหาหลี่กังคล้ายกำลังคว้าจับลูกไก่

หลี่กังสีหน้าเคร่งขรึม วาดกระบี่ออกไปติดกันสามครั้ง

จิตกระบี่ธุลีแดงสูงเทียมฟ้า ต้านทานกรงเล็บมังกรโลหิตเอาไว้อย่างเต็มกลืน

“หืม? ขั้นเหนือมนุษย์ระดับสมบูรณ์…ไม่สิ นี่มันเกือบครึ่งขั้นเทวะแล้ว พลังเช่นนี้ชั่วร้ายนัก” หลี่กังเพียงหยั่งเชิง ก็รู้กำลังรบขององค์ชายสองหลังจากที่รับพลังปีศาจนอกพิภพมา

“ท่านชิ่ง ออกมาเถิด ท่านต้องมาช่วยสู้เคียงไหล่ข้าแล้ว” เขาก็ไม่รีรอ เอ่ยปากทันที

ตูม!

ตราหมัดสีส้มขนาดมโหฬารแหวกอากาศเข้ามาจากระยะสองลี้ ซัดเข้าไปที่องค์ชายสอง

หมัดเทพทลายฟ้า

“ข้องเกี่ยวกับมารร้าย ทัณฑ์สถานหนัก…ตาย!” ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักขุนคีรี หนึ่งในกลุ่มก้งเฟิ่งจากสำนักตรวจการแห่งเมืองหลวง ‘หมัดเทพทลายฟ้า’ สวี่เซิ่งออกโรงแล้ว ตราหมัดราวภูเขาเล็กลูกหนึ่งวาดผ่านแผ่นฟ้าจนเกิดคลื่นอากาศ เสมือนท้องฟ้ามีรอยแยกที่ไม่อาจสมานกันได้อีกนานอย่างไรอย่างนั้น

หมัดเทพทลายฟ้า ชื่อสมคำร่ำลือ

หลี่กังออกกระบี่ เปิดฉากการต่อสู้ในเวลาเดียวกัน

สองยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์ร่วมมือกันเข้าต่อกรกับองค์ชายสองที่กลายเป็นมารไปแล้ว

ศึกเช่นนี้ หากเทียบกับศึกของหลี่มู่กับขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้า ไม่รู้ว่าน่ากลัวกว่ากันกี่เท่า

ยังดี อาจเพราะกลัวความลับนี้จะรั่วไหล หลังจากดูดเอาเลือดเนื้อที่สังเวยจนพอ หลุมดำน้ำวนเลือดบนฟ้าจึงค่อยๆ จางหายไป ดวงตาปีศาจน่ากลัวราวทะเลเลือดปิดลง กลิ่นอายชั่วร้ายกระจายหายก็เช่นกัน คลื่นวนค่อยๆ หายไป ท้ายสุดก็กลายเป็นพลังเหลือบรุ้งชั้นหนึ่ง ปกคลุมรัศมีหกถึงแปดลี้โดยรอบนี้เอาไว้จนหมด

ประชาชนและจอมยุทธ์ที่ถูกตัดขาดเอาไว้ที่ด้านนอกไม่สามารถมองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้านในค่ายกลม่านตานี้ได้

ส่วนศึกของหลี่กัง สวี่เซิ่ง และองค์ชายสองสามผู้แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจส่งผลกระทบไปถึงคนที่อยู่นอกเขตนี้

เพียงแต่อาณาเขตที่อยู่ด้านในถูกทำลายดุจฟ้าดินพลิกกลับ พื้นดินทรุดลงราวเกิดแผ่นดินไหว สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแทบจะถูกบดขยี้กลายเป็นพื้นราบ นอกจากหอบวงสรวงโรงฝึกยุทธ์พลังพายุที่หลี่มู่ใช้ค่ายกลตราหยกกางป้องกันไว้ พื้นที่อื่นกลายเป็นเศษซากโดยสิ้นเชิง…

หลี่มู่กับจ้าวอวี่สองคนถอยกลับเข้าไปในโถงหลักอย่างว่าง่าย

การวิวาทของเทพเซียนเช่นนี้ติดลมบนแล้ว มือที่สามเข้าไปยุ่งไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ระมัดระวังควันหลงสักลูกหนึ่งซัดเข้ามา อย่าว่าแต่เจ้าอวี่เลย กระทั่งหลี่มู่เองก็เจ็บหนักน่าดู

สองผู้คลั่งไคล้การยุทธ์ยืนอยู่ที่ประตู มองศึกของผู้ยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสามผ่านค่ายกลคุ้มกัน

หลี่มู่ยิ่งดูก็ยิ่งเข็ดฟัน

เขายังจะมาแก้แค้นบ้าบออะไรอีก

องค์ชายสองนี่มันหมกเม็ดเสียจริง ยังอุตส่าห์แอบมีไม้นี้อยู่อีก ไม่ใช่แค่ ‘โทรศัพท์เรียกผู้ปกครองมา’ แต่ยังแวะรับเอาพัสดุส่งด่วนนอกเวลามาได้อีกชิ้นหนึ่ง อย่างกับอัดยากระตุ้นเข้าสู่โหมดเดินหน้าลุย กระทั่ง ‘เซียนกระบี่ธุลีแดง’ กับ ‘หมัดเทพทลายฟ้า’ สองขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดร่วมมือกันก็แค่รับมือได้อย่างเต็มกลืน หลี่มู่คำนวณดูแล้ว จากสถานการณ์ตอนนี้ ต่อให้ตนเองใช้ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ก็โดนองค์ชายสองซัดกระเจิงเหมือนกัน

ถ้าหากซัดกันจนพังทั้งสองฝ่าย แล้วเราค่อยเข้าไปเก็บกำไรทีหลังก็ดี

ตูม!

ควันหลงพลังสายหนึ่งระเบิดบนม่านคุ้มกันโถงหลัก

แกรก

ม่านคุ้มกันที่หลี่มู่กางไว้ปรากฏรอยแตกขึ้นมาหลายสาย

ด้านในโถงใหญ่ เสียงร้องตื่นตระหนกดังอื้ออึง

หลี่มู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบยกมือขึ้น เอาตราหยกที่ตนเองสร้างออกมาแล้วมาใช้งานทั้งหมด จากนั้นร่างของเขาก็วนเวียนไปรอบๆ โถงใหญ่หอบวงสรวงไม่หยุด พลางใช้วิชาดาบเหินหาวบังคับดาบบินให้เขียนอักขระวิชาเต๋าอย่างรวดเร็วทั้งบนพื้น กำแพงหิน และเสาหิน ก่อนเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน

ใช้ดาบแทนพู่กัน สลักเสลาอักขระเต๋าเพื่อเพิ่มพลังค่ายกล

“ใช้พลังจนหมดแล้วนะ…” หน้าผากหลี่มู่เต็มไปด้วยเหงื่อ

ดีที่ในช่วงนี้พลังฝึกของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ระดับแรก พลังจิตวิญญาณมากล้น และมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับอักขระเต๋าในคำพูดของซินแสเฒ่า วิชาดาบเหินหาวก้าวหน้า ถึงสามารถทำทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้านี้ได้

โถงหลักหอบวงสรวงที่เหมือนเรือน้อยลำหนึ่งจะจมแหล่มิจมแหล่ท่ามกลางกระแสคลื่นยักษ์จากศึกของขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดสามคน ในที่สุดก็กลับมามั่นคงทีละน้อย

หลี่มู่สูดถอนใจอย่างโล่งอก

“เอ๋ พลังของค่ายกลนี่มากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”

หลี่มู่ถอยกลับเข้ามาที่ประตูใหญ่ ไม่นานก็พบบางอย่างที่ค่อนข้างผิดปกติ

เขาพบว่าค่ายกลที่ตนวางไว้ พลังป้องกันสูงยิ่งกว่ามาตรฐานตามทฤษฎีทั่วไปเสียอีก

เกิดอะไรขึ้นกัน?

เขาพิจารณาอยู่สักครู่ จู่ๆ ในใจก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่าน

“ข้าเข้าใจแล้ว…ฮ่าๆ ฟ้าช่วยไว้จริงๆ ข้าฉลาดถึงเพียงนี้ ก็สมควรแล้วที่ผงาดอย่างทุกวันนี้ได้ ความแค้นของเสือดาวข้ามีความหวังที่จะเอาคืนแล้ว” เขามองไปบนท้องฟ้า มององค์ชายสองที่กลายเป็นมารซึ่งค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ของสามขั้นเหนือมนุษย์ระดับสูงสุด ก่อนจะหัวเราะหึๆ อย่างอดไม่ได้

หลี่มู่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นแล้ว

เพียงแต่เขาไม่สังเกตว่า นับตั้งแต่ที่ถอยเข้ามายังโถงใหญ่ มีดวงตาคู่งามจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา

“เขาคือหลี่มู่? หลี่มู่…ที่แท้เป็นเขาเองหรือ?”

นางถลึงตาจ้องมองอยู่นานเพียงนี้ ก็ยังมีความรู้สึกยากจะรับได้อยู่บ้าง