บทที่ 382 สนทนายามค่ำ

คู่ชะตาบันดาลรัก

โหวเหลียงนอนอยู่บนผ้าห่ม เขาร้องโอ้ยไม่หยุด เขาในตอนนี้หากผู้ใดมาเห็นคงต้องร้องไห้ด้วยความสงสาร

เขามีอายุเพียงสี่สิบต้นๆ เป็นช่วงเวลาที่บุรุษฝึกฝนจนอยู่ในวัยผู้ใหญ่ และยังไม่เริ่มแก่เฒ่า อีกอย่างเขามักจะใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง สะอาดสะอ้านและสง่างามอยู่เสมอ แต่หลังจากไปเยือนหูตี้เขากลายเป็นอย่างไรเล่า!

หลังจากหลบหนีไปได้เกือบสองเดือนเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาขาดจนไม่น่ามอง ส่วนที่ยังดูดีอยู่ก็ถูกตัดไปทำว่าว

เคราไม่ได้ตัดผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับใบหน้าผอมแก้มตอบ ดวงตาหมองคล้ำไม่ต่างจากคนลี้ภัย เมื่อถูกเห็นว่ากำลังจะหนีก็ถูกยิงธนูเข้าที่ก้น

“เบาหน่อยๆ เจ็บ…” โหวเหลียงตะโกนราวกับว่าส่วนที่ถูกยิงไม่ใช่ก้นแต่เป็นส่วนที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ แพทย์ทหารที่ดูบาดแผลให้เขาพูดไม่ออกรู้ว่าเจ็บ แต่ร้องออกมาเช่นนั้น…มันอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้

อาสวนยกม่านขึ้นและพูดว่า “คุณชายอยู่ห้องข้างๆ หากท่านร้องดังกว่านี้อาจทำให้คุณชายโกรธข้าช่วยท่านไม่ได้นะ”

โหวเหลียงรีบปาดน้ำตา “เงียบแล้ว ข้าเงียบแล้ว!”

แต่หากไม่ร้องเลยก็จะเจ็บมากเขาจึงถามออกไปว่า “แม่นางหมิงล่ะ”

อาสวนดึงกริชออกมาตัดเล็บ “แน่นอนว่าต้องอยู่กับคุณชาย! ท่านไม่เห็นว่าข้าเลี่ยงออกมาหรือ” โหวเหลียงทำสีหน้าเข้าใจยาก

อาสวนเหลือบมองเขา “ท่านก็อายุไม่น้อย ความคิดยังแข็งแรงอยู่ก็ดีแล้ว”

โหวเหลียงยิ้มเงียบๆ แววตาดูค่อนข้างดูหมิ่น “ท่านเองก็หลีกเลี่ยงออกมา จะแข็งแรงได้อย่างไรเล่า”

อาสวนไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายย้อนเช่นนี้เขาไม่รู้จะตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งจึงสั่งแพทย์ทหารไปว่า “ดูจากแผลของเขาแล้วน่าจะต้องล้างอีกสักสองสามรอบถึงจะหายเร็ว” แพทย์ทหารตอบรับอย่างยินดีแล้วเทสุราลงบนบาดแผลที่ก้นของเขา

“อา!” โหวเหลียงร้องออกมาทันที

สมน้ำหน้า! อาสวนสูดลมหายใจแล้วตัดเล็บต่อ

หยางชูที่ได้ยินเสียงกรีดร้องจากห้องข้างๆ ก็เลิกคิ้วแล้วพูดต่อว่า “ก่อนออกเดินทางรับปากข้าว่าอย่างไรจะเกิดอะไรขึ้นหากข้าไม่ไปรับ ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่จะทิ้งชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ”

หมิงเวยที่นอนอยู่บนเตียงสนามตอบว่า “ก็ไม่อะไรเจ้าค่ะ หากท่านไม่มาข้าก็แค่กลับทุ่งหญ้าไปกับเขา”

“….” หยางชูถูกนางพูดขัดก็โกรธเคือง “ที่แท้ท่านต้องการกลับทุ่งหญ้าไปกับเขาหรือ เป็นหวางเฟยนั้นมันดีตรงไหนกัน”

หมิงเวยมองเขาด้วยรอยยิ้ม “นั่นเพราะท่านไม่มานี่เจ้าคะ ข้าเองก็ต้องรักษาชีวิตตนเองใช่หรือไม่ นอกจากนี้ข้าเชื่อว่าไม่ว่าจะยากเพียงใดท่านก็ต้องมาช่วยข้า ข้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรอพบท่านสักวันหนึ่ง” ความโกรธของหยางชูหายไปในทันทีด้วยคำพูดนี้ของนาง

หมิงเวยปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ท่านจะบอกอย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่”

หยางชูพูดเสียงค่อยใบหน้าของเขาเป็นสีแดง “ข้าไปช่วยท่านแน่นอน แต่ท่านห้าม…”

“เป็นหวางเฟยของเขาหรือ”

“ใช่!” หมิงเวยหัวเราะเบาๆ

“ท่านยังกล้าหัวเราะ! ข้าจะบอกท่าน…” เขายังไม่ได้พูดครึ่งประโยคหลัง เพราะจู่ๆ หมิงเวยก็เอื้อมมือไปคล้องคอเขาแล้วเอนไปข้างหน้าแล้วจูบเขาเบาๆ

หยางชูอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็ลืมสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ทันที…

จนกระทั่งเสียงกรีดร้องของโหวเหลียงดังมาจากห้องข้างๆ ทำลายบรรยากาศเสน่หานี้ทันที

หยางชูสาปแช่งเสียงต่ำ “ไอ้แก่นี่กลับไปข้าจะดูแลเป็นอย่างดีเลย!”

หมิงเวยเอนตัวกลับไปนอน ริมฝีปากถูกเขากัดจนเป็นสีแดงเล็กน้อย นางหาวแล้วบอกว่า “ข้าไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายวันแล้วให้ข้านอนพักสักหน่อยเถอะ”

“ได้ ท่านนอนพักเถอะตอนนี้นอนได้อย่างสบายใจแล้ว” หมิงเวยหลับตาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว หยางชูมองดูใบหน้าที่หลับใหลของนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มบางๆ ขึ้นมาคลุมร่างให้นาง และเดินออกจากกระโจมอย่างแผ่วเบา

…………

เมื่อหมิงเวยตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็มืดสนิท และสภาพแวดล้อมก็เงียบเสียแล้ว

นางลูบหน้าอกรู้สึกสบายขึ้นจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกจากกระโจม กองไฟลุกโชนอยู่ข้างนอก มองเห็นหยางชูนั่งหันหลังให้นางอยู่ตรงนั้น และกำลังเช็ดกระบี่อยู่

เมื่อเห็นนางเดินออกมาเขาก็ช่วยประคองนางนั่งลง

“นอนพอแล้วหรือ หิวหรือไม่ อาสวน เอาข้าวต้มมา!”

อาสวนที่กำลังงีบอยู่ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วเขาตอบรับแล้วไปนำข้าวต้มอุ่นๆ มาให้

“ดึกดื่นเพียงนี้แล้วทำไมท่านยังไม่นอนอีก” หมิงเวยถามขณะทานข้าวต้มไปด้วย

“ข้านอนไปแล้ว” หยางชูลูบผมนาง “ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยรออีกสักพักพวกเราค่อยออกเดินทาง”

หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองตำแหน่งดวงดาว และพบว่าใกล้ยามสี่แล้ว

“ตัวฝูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“วางใจเถอะ แพทย์สนามดูบาดแผลของนางให้แล้วหนักนิดหน่อย แต่ถ้าดูแลดีๆ อีกไม่กี่เดือนก็หาย”

“เจ้าค่ะ” นางไม่ได้แตะเมล็ดข้าวมาหลายวันพอทานข้าวต้มชามนี้แล้วหมิงเวยก็รู้สึกว่ากระเพาะแน่นแล้ว

นางวางชามลงแล้วพูดว่า “อร่อยมาก”

ยามเดินทัพอยู่ข้างนอกผู้ใดจะไปพิถีพิถันเพียงนั้นกัน ข้าวต้มชามนี้เป็นข้าวต้มเดี่ยวๆ จริงๆ

แววตาของหยางชูอ่อนโยนมาก “ท่านคงลำบากมาก”

หมิงเวยถามอย่างให้ความร่วมมือ “ถ้าเช่นนั้นท่านจะชดเชยให้ข้าอย่างไรเจ้าคะ”

“ท่านต้องการอะไรล่ะ”

“หากข้าต้องการท่านให้ได้หรือเจ้าคะ”

“ขอเพียงเจ้าต้องการแค่เอ่ยออกมาก็พอ”

หมิงเวยไม่ได้พูดอะไรอีกหยางชูไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไป เขาจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย

ในที่สุดหมิงเวยก็ยกมือขึ้นแตะศีรษะของเขาเบาๆ “คนโง่” หยางชูไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร

“อย่าใจดีกับข้ามากเกินไป” นางพูด แววตาของหยางชูเปลี่ยนเป็นดูซับซ้อนมากขึ้น

ผ่านไปสักพักเขาพูดอย่างดื้อรั้นเล็กน้อย “หลังจากนี้เป็นอย่างไรข้าไม่รู้ ตอนนี้ท่านยังอยู่ที่นี่ไม่ต้องคิดถึงอนาคตให้มาก”

หมิงเวยกลับพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกเสียใจเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

อันที่จริงเวลานั้นนางแค่คิดว่าเขาดีมากตนเองก็รู้สึกชอบเล็กน้อย ในเมื่อเขาต้องการความสัมพันธ์ช่วงเวลาหนึ่งมันก็คงจะดีสำหรับเขา รอจนวันแห่งชะตากรรมนั้นมาถึง แต่ละคนก็ไปตามทางของตนเอง

ไม่คิดเลยว่าเขาจะจริงจังเช่นนี้ ความรู้สึกลึกซึ้งเพียงนี้ตอนนี้ยากที่จะลงจากหลังเสือได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จู่ๆ นางก็ถูกเขาดึงเข้าไปกอดน้ำเสียงของเขาดูรุนแรงมาก

“ผู้ใดอนุญาตให้ท่านเสียใจกัน อย่าพูดไร้สาระอีกไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่สั่งสอน!”

ความคิดของหมิงเวยถูกดึงกลับมา อ้อมกอดตรงหน้าดูสมจริงจนนางไม่สามารถพูดอะไรที่จะทำลายบรรยากาศได้

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางพิงตัวเขาแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยบอกท่านเกี่ยวกับอาจารย์ของข้าเลยใช่หรือไม่”

“อืม..”

“อาจารย์ของข้าเป็นผู้ที่เก่งมากเจ้าค่ะ ปรมาจารย์แห่งชีวิตเคยสูญหายเป็นเวลานานจนกระทั่งอาจารย์ของข้าได้รับป้ายประจำตัวของปรมาจารย์แห่งชีวิตถึงได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อมา แต่ท่านอาจารย์มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังหนุ่ม ผู้ที่ทำให้ชื่อของปรมาจารย์แห่งชีวิตเป็นที่รู้จักไปทั่วหล้าก็คืออาจารย์ของข้า”

หยางชูพยักหน้า “หากเป็นเช่นนั้นท่านก็เก่งมากจริงๆ!”

ยี่สิบปีสำหรับเสวียนชื่อแล้วมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ แม้ว่าหยางชูจะยังไม่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชา แต่เขารู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

“อืม เขามีพรสวรรค์มาก ขยันมากด้วย เป็นผู้ที่เข้มงวดกับตนเองมาก ขอให้ตนเองทำให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชา วรยุทธ์หรือแม้กระทั่งคุณธรรม”

หยางชูสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกในคำพูดนั้นเขารอให้นางพูดต่อ

“ชั่วชีวิตนี้ของท่านไม่ว่าทำอะไรท่านจะไม่บ่น ท่านซื่อสัตย์ มีคุณธรรมสูง ใจใสดั่งน้ำแข็ง สะอาดดั่งดวงจันทร์” นางชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านทำผิดทำให้ท่านเสียใจไปตลอดชีวิต”

……………