“พระสนม เช่นนั้นเรื่องนี้……” แม่นมเว่ยประคองพระมเหสีหวาไปนั่ง พระมเหสีหวาโมโหจนปวดหัว และกดศีรษะอยู่ตลอดเวลา
“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไปศาลบรรพชนเพื่อสวดสวดมนต์ภาวนาให้ทั้งสองตำหนัก” พระมเหสีหวาออกคำสั่งไป
แม่นมเว่ยรู้สึกแปลกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “พระสนม แล้วจวนท่านอ๋องตวนล่ะเพคะ?”
“ข้าไม่สนใจแล้ว ในเมื่อท่านอ๋องตวนก็เป็นน้องชายของจักรพรรดิ และเป็นราชวงศ์ของอาณาจักรต้าเหลียง เขาไม่ได้ทำอะไร แล้วใครจะกล้าทำอะไรเขา?
ส่วนจวินฉูฉู่ หากนางไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย ข้าก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้
หากนางทำให้จวนท่านอ๋องตวนต้องเดือดร้อนไปด้วย ข้าก็จะเผากระดูกของนางให้เป็นขี้เถ้าและไม่ปล่อยนางไป”
ดวงตาของพระมเหสีหวาดุร้าย แม่นมเว่ยก้าวถอยหลังออกไป “ข้าน้อยจะไปเตรียมอาบน้ำและแต่งกายให้เพคะ”
“เร็วเข้า”
พระมเหสีหวาออกเดินทางจากตำหนักหวาหยาง เมื่อเดินทางมาถึงภายนอกของศาลบรรพชนก็ได้ส่งคนมากราบทูล พระพันปีค่อยๆ ลืมตาขึ้นและหลับตาลง
“ให้นางเข้ามาเถอะ”
ไห่กงกงออกไปเชิญพระมเหสีหวาที่อยู่ข้างนอก และพระมเหสีหวาก็สวมชุดสีขาวนวลจันทร์ หลังจากอาบน้ำนางก็ปล่อยผมยาวไว้ด้านหลังและมัดด้วยผ้าคาดสีขาว
เมื่อเข้ามายังศาลบรรพชนก็เข้าไปทำการสักการะเครื่องหอมและจุดธูป หลังจากนั้นจึงคุกเข่าข้างหลังพระพันปี หลับตาลงและอธิฐานสวดมนต์ภาวนาให้ทั้งสองตำหนัก
หลังจากธูปหอมหนึ่งดอกหมดลง
“ท่านพี่ หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะบอกเพคะ” หลังจากพระมเหสีหวาครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังคงมีความมั่นใจ
พระพันปีหลับตามือสิบนิ้วพนมลงตรงหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “เป็นเรื่องของท่านอ๋องตวนและพระชายาตวนหรือ?”
พระมเหสีหวาตกใจและยิ้มออกมา ไม่สามารถปิดบังอะไรนางได้เลย
“ท่านพี่ทราบเรื่องนี้แล้ว หม่อมฉันก็หวังว่าเรื่องนี้หม่อมฉันจะคิดมากไปเอง แต่หม่อมฉันก็ในวังหลวงนี้มานานหลายปี และท่านอ๋องตวนก็อยู่ข้างนอกมานานมากแล้ว จะพูดไปแล้วเขาก็โตพอที่จะไม่เชื่อฟังท่านแม่แล้ว หม่อมฉันก็ไม่อาจเข้าใจได้เพคะ
ท่านพี่ได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันยินดีรับผิดชอบความผิดทั้งหมดเพคะ”
พระมเหสีหวากล่าวด้วยความจริงใจ พระพันปีกล่าวอย่างเฉยเมย “เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน ไม่ต้องกังวลใจไปก่อน ถึงอย่างไรท่านอ๋องเย่ก็กำลังสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ต้องมีการตัดสินถูกผิด
หากแม่และเด็กของทั้งสองตำหนักปลอดภัย จะต้องเป็นเพราะบรรพบุรุษของอาณาจักรต้าเหลียงได้ทรงปกป้องคุ้มครอง ส่วนเรื่องอื่นนั้นก็ปล่อยไป”
“เพคะ”
ไทเฮาและพระมเหสีทั้งสองตำหนักสวดมนต์ภาวนาให้พระสนมเอกเซียวและฮองเฮาอยู่ที่ศาลบรรพชน ส่วนสถานที่อื่นภายในวังหลวงถูกสั่งห้ามและไม่กล้าละเลยในคำสั่ง พวกนางคุกเข่าที่ประตูวังเพื่อสวดอ้อนวอนให้ทั้งสองตำหนัก เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการสวดมนต์ภาวนาให้ทั้งสองตำหนัก แต่อันที่จริงเพื่อปกป้องคุ้มครองชีวิตของพวกนางเอง
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นและเดินผ่านหน้าตำหนักอื่น หันไปเห็นผู้คนล้วนกำลังนั่งคุกเข่าสวดมนต์ภาวนา
ไม่นาน หนานกงเย่ก็เข้ามาตรวจค้นถึงจวนท่านอ๋องตวน
“ประกาศให้ท่านอ๋องตวน พระชายาตวนเข้าไปในวังหลวง” หนานกงเย่นั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าเย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นมองแล้วยังรู้สึกหวาดกลัว
สองวันมานี้สืบค้นเรื่องนี้อย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย
พระพันปี พระมเหสีหวา และจักรพรรดิต่างก็หายไป เหลือเพียงพวกเขาสองสามีภรรยา จู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็นึกขึ้นได้ เรื่องที่ทำให้ต้องผิดใจกับคนอื่นล้วนเป็นพวกเขาทั้งสองสามีภรรยา ส่วนเรื่องที่ไม่ต้องบาดหมางกับคนอื่น กลับมาไม่ถึงพวกเขา
หนานกงเยี่ยนและจวินฉูฉู่เดินทางด้วยรถม้ามาถึงภายนอกวังหลวง หนานกงเยี่ยนลงมาจากรถม้าทันที แต่จวินฉูฉู่กลับไม่ลงมาจากรถม้าเสียที นางนั่งอยู่บนรถม้าและฝ่ามือก็มีเหงื่อไหลออกมา
หนานกงเยี่ยนมองเข้าไปในรถม้า “ฉูฉู่”
จวินฉูฉู่ตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งและมองไปที่หนานกงเยี่ยน เมื่อลุกขึ้นก็มองไปที่รถม้าและเดินลงโดยยื่นมือให้หนานกงเยี่ยน หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปในวัง
“ฉูฉู่ เจ้าเหงื่อออกหรือ?” หนานกงเยี่ยนเดินพลางขณะเช็ดเหงื่อในมือของนาง
จวินฉูฉู่กล่าว “อากาศร้อนและหม่อมฉันก็สวมหลายชุด เช่นนี้น่าจะสวมให้น้อยกว่านี้คงจะดีเพคะ”
“อืม”
หนานกงเยี่ยนเหลือบมองใบหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของจวินฉูฉู่ และจับมือของจวินฉูฉู่ไว้แน่น และเดินไปที่โถงรับรองพระที่นั่งบำรุงฤทัย
เมื่อมาถึงโถงรับรองพระที่นั่งบำรุงฤทัย เมื่อเห็นหนานกงเย่หนานกงเยี่ยนจึงกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดมาเลย ตอนนี้ภายนอกพูดกันต่างๆ นานา ผู้คนในจวนท่านอ๋องตวนต่างก็ไม่ปลอดภัย ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว”
จวินฉูฉู่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของนางจ้องมองไปที่ชุดขนหงส์ของฉีเฟยอวิ๋น และใบหน้าของนางก็ซีดเซียว
จวินฉูฉู่ไม่เคยเห็นชุดขนหงส์ แต่ก็เคยได้ยินมาคนเคยพูดถึงอยู่บ้าง
นางไม่เข้าใจ ฉีเฟยอวิ๋นเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ทำอย่างไรเธอจึงมีได้อย่างทุกวันนี้?
ยิ่งคิดภายในใจก็ยิ่งไม่อาจรับได้ เมื่อนึกถึงตอนแรกก่อนที่นางจะแต่งงานกับท่านอ๋องตวน ทำไมนางถึงเป็นฝ่ายถูกกระทำได้ขนาดนี้ ทั้งหมดนี้ คงไม่ใช่เป็นเพราะตัวของฉีเฟยอวิ๋นเอง แต่เป็นเพราะเธอดันโชคดี
รวมไปถึงนางแต่งงานกับหนานกงเยี่ยนที่ไม่เอาไหนเอาซะเลย จึงทำให้ต้องเป็นเช่นนี้
หากผลัดเปลี่ยนกัน จะเป็นเหตุการณ์ดังเช่นตอนนี้ได้อย่างไรกัน
จวินฉูฉู่มองหนานกงเย่ด้วยสายตาที่เจ็บปวด พวกเขาต่างหากที่เป็นคู่สร้างคู่สมจากสวรรค์
หากเป็นเขา ต่อให้นางไม่ได้เป็นฮองเฮาก็ไม่เป็นไร
เป็นพระชายาของท่านผู้สืบทอดราชการส่วนพระองค์ นางก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว
หนานกงเย่ไม่ได้สนใจสายตาของจวินฉูฉู่ และมองข้ามไปยังท่านอ๋องตวน “ในเมื่อพี่รองทราบแล้ว เช่นนั้นก็พูดทั้งหมดออกมา เพื่อข้าจะได้ไม่ต้องบังคับท่าน”
“หึ!”
ท่านอ๋องตวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าค้นพบอะไรก็พูดออกมา”
“เมื่อวานท่านทั้งสองได้เข้าไปในวังหลวง มีเรื่องนี้เกิดขึ้นใช่หรือไม่?” หนานกงเย่ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว
“ใช่” ท่านอ๋องตวนตอบ
หนานกงเย่ซักถาม “เข้าวังมาก็ไม่ได้เข้าไปพบพระมเหสีหวา มีเรื่องนี้เกิดขึ้นใช่หรือไม่?”
“ใช่” ท่านอ๋องตวนยังคงตอบคำถาม
“พี่รองจะไม่ให้คำอธิบายกับข้าหน่อยหรือ?”
ท่านอ๋องตวนกล่าว “พระชายาได้ทำรังนกขึ้นที่จวน และเพราะนั่นเป็นวิธีใหม่ในการทำ ข้าเลยคิดว่าเป็นเรื่องดีหากนำมาส่งให้เสด็จแม่ลองทาน
หลังจากเข้าวังมาจึงนึกได้ว่าอาหารภายในวังได้รับการควบคุมตรวจค้นอย่างแน่นหนา จึงยกเลิกความคิดนี้ไป คิดว่าไม่อยากสร้างเรื่องอะไร เช่นนี้จึงไม่ได้ไปพบเสด็จแม่ และกลับจวนท่านอ๋อง เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง”
ในใจของท่านอ๋งตวนรู้ดี ฉูฉู่ไม่เคยเข้าครัวเพื่อจะทพอาหารอะไร แต่กลับเป็นเมื่อวานที่ลงมือเข้าครัว เขาก็พูดไปแล้ว ทำไมต้องส่งเข้ามาในวังหลวง
ถ้าหากไม่มีความสงสัย เขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน
“เช่นนั้นแล้วทพระชายาตวนล่ะ ช่วงเวลานี้ได้ไปสถานที่อื่นมาบ้างหรือไม่?” หนานกงเย่จึงสอบถามจวินฉูฉู่ในขณะนี้
จวินฉูฉู่มีสีหน้าซีดเซียว นางรู้สึกประหม่าอย่างมาก
เพราะนี่เป็นโทษตัดศีรษะ
จวินฉูฉู่เม้มริมฝีปากเป็นเวลานาน “อยู่กับท่านอ๋องตวนตลอดเวลาเพคะ”
หนานกงเย่เหลือบมองไปที่หนานกงเยี่ยน “พี่รอง จริงหรือไม่?”
หนานกงเยี่ยนพยักหน้า
แต่กลับไม่ยอมมองไปที่จวินฉูฉู่
ถึงแม้ระหว่างทางที่มาจะไม่ได้อธิบาย แต่นางพูดเช่นนี้ เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรมากไปกว่านี้ได้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโศกเศร้า ท่านอ๋องตวนกำลังปกป้องภรรยาที่ชั่วร้าย คนโง่เขลาก็ยังดูออก
“ส่งคนมาที่นี่ เรียกนางกำนัลที่เฝ้าเวรยามในวันนั้นเข้ามาเผชิญหน้า”
ท่านอ๋องตวนหลับตาลง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่จวินฉูฉู่ ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยม ท่านอ๋องตวนปกป้องนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งหมด ยอมตายโดยไม่พูดออกมา แต่นางกลับดึงท่านอ๋องตวนไปตายด้วยกัน
แต่ เรื่องของความรักก็เป็นเช่นนี้ แต่ให้ตายก็ถือว่ามีความสุข
แต่เพียงว่า การยอมตายเพื่อคนอย่างจวินฉูฉู่นั้น ไม่เป็นอันเหมาะสมอย่างมากกับท่านอ๋องตวน
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังนึกถึงความไร้ค่าของท่านอ๋องตวน อาอวี่ก็เข้ามา
“ข้าน้อยได้ไปหานางกำนัลที่เฝ้าเวรยามในวันนั้นแล้ว และฮองเฮาได้ให้คำตัดสินโดยการประหารชีวิตทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่กล่าวรายงาน
หนานกงเย่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป แต่นัยน์ตาของเขาครุ่นคิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีข้อพิสูจน์แล้วหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่ก็ทำอะไรไม่ถูก
เรื่องนี้มีความบังเอิญมากเกินไป และมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นตาโต ตายหมดแล้ว? เป็นคำตัดสินของฮองเฮาหรือ?
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก!
ดวงตาของจวินฉูฉู่เปล่งประกาย ราวกับว่านางเห็นความหวังของชีวิต
หนานกงเยี่ยนมองไปที่หนานกงเย่อย่างขบขัน “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวลากลับก่อน”
หนานกงเยี่ยนต้องการจากไป แต่ถูกหนานกงเย่เรียกไว้ “ท่านจะไปไหน ข้ามีหน้าที่สอบสวนเรื่องนี้ ขณะนี้ฮองเฮาและพระมเหสีทั้งสองตำหนักต่างกำลังสวดมนต์ภาวนาอยู่ที่ศาลบรรพชน ท่านเป็นถึงสายเลือดตระกูลจักรพรรดิ กลับไม่ไปสวดมนต์ภาวนา มันสมควรแล้วหรือ?”
หนานกงเยี่ยนมองออกไป “ข้ารู้แล้ว”
หนานกงเยี่ยนหันหลังและเดินกลับออกไปนอกโถงรับรอง จวินฉูฉู่หันหลังและเดินกลับตามออกไป
เมื่อทั้งสองคนจากไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาหนานกงเย่ และถามเขา “ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าเป็นพวกเขาทั้งสองคน?”
“ข้ามีเรื่องที่ไม่รู้อีกเป็นจำนวนมาก แต่เรื่องที่ข้ารู้มีเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจลืมได้เลย” หนานกงเย่บีบใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น และยิ้มให้เธอ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เขา “ท่านอ๋องพูดให้ชัดเจน หม่อมฉันโง่เขลาเพคะ”
“เขาเป็นพี่ของข้า เขาจะไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน พระชายาพูดผิดแล้ว ไม่ใช่พวกเขา”
“แต่การที่เขาปกป้อง นี่ก็เป็นการยอมรับในเรื่องนี้ กำแพงพระราชวังที่สูงจะทนต่อผู้คิดกบฏอกตัญญูได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงเรียบ
หนานกงเย่หัวเราะอยู่ขณะหนึ่ง “เพียงแค่กุ้งตัวเดียว ไม่อาจทำคลื่นให้ใหญ่ขึ้นได้”
หากพระชายาตวนเป็นคนลงมือกระทำจริง เช่นนั้นจุดประสงค์ของนางก็ชัดเจนแล้ว นางต้องการให้ทั้งสองตำหนักเกิดเรื่องขึ้น จักรพรรดิจะไม่มีทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ และจวนอ๋องเย่ของพวกเราก็จะตกเป็นแพะรับบาป
หากจักรพรรดิจริงจังกับเรื่องนี้ขึ้น เจ้าและข้าจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก
และท้ายที่สุด ท่านอ๋องตวนก็จะชนะ”
“อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ข้าไม่สนใจ แม้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นก็ไม่มีหลักฐาน ใครจะสามารถทำอะไรข้าได้ ข้าก็ไม่ได้อยากเป็นท่านผู้สืบราชการแทนพระองค์ ใครอยากทำก็ทำไป”
หนานกงเย่ไม่ได้สนใจ ฉีเฟยอวิ๋นจะพูดอะไรเขาได้
เขาไม่ชอบทำจริงๆ ช่วงนี้เขาบ่นอยู่แทบทุกวัน ตอนกลางคืนก็เข้านอนดึก ตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่เช้า เขายังหนุ่มแน่นและมีพลัง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจนัก
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเป็นท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องการเป็นท่านอ๋องที่ใช้ชีวิตสุขสบาย สามารถนอนตื่นสาย ตอนกลางคืนจะอดหลับอดนอนเท่าไรก็ได้ และเป็นการดีที่จะนำเงินปันส่วนออกมาใช้ให้หมด
ถึงแม้คำพูดเหล่านี้จะฟังดูไร้ยางอายอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดก็เป็นเช่นนั้น
เขายังหนุ่มยังแน่น และเขาไม่สามารถผูกมัดตัวเองให้กระโดดเข้าไปในท้องพระโรงราชสำนักและต่อสู้กับเหล่าชายชราหนังเหนียวได้ตลอดทั้งวัน
“ตามใจท่านเพคะ ในเมื่อทั้งสองตำหนักต่างไม่เป็นอะไร เช่นนั้นหม่อมฉันขอไปเตรียมของเล็กน้อยเพื่อรักษาเด็กในครรภ์ของทั้งสองตำหนัก ส่วนเรื่องสอบสวนก็เป็นหน้าที่ของท่านอ๋องเพคะ”
“อาอวี่ ติดตามพระชายาไปหน่อย” หนานกงเย่ออกคำสั่ง หลังจากนั้นจึงทำการสอบสวนเรื่องนี้
ฉีเฟยอวิ๋นจัดเตรียมถุงหอมสำหรับรักษาเด็กในครรภ์เรียบร้อยแล้วเพื่อส่งมอบให้กับพระสนมเอกเซียว เมื่อรับถุงหอมไป จวินเซียวเซียวก็อาการดีขึ้น นางต้องการลุกขึ้นมาขอบคุณฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นบอกนางให้นอนพักในช่วงนี้โดยไม่ต้องลุกไปไหน เพื่อป้องกันอาการของทารกในครรภ์
“ขอบใจที่พระชายาเย่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หากข้าหายดีแล้วจะทำการตอบแทนให้อย่างดี” จวินเซียวเซียวกล่าว
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างเรียบเฉย “พระชายาเอกไม่ต้องเกรงใจหรอกเพคะ นี่ก็เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน ร่างกายของพระสนมเอกสำคัญกว่า พักผ่อนเยอะๆ นะเพคะ หม่อมฉันต้องไปดูฮองเฮาก่อนแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวลาจวินเซียวเซียว หันหลังกลับเพื่อไปพบฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู
เฉินอวิ๋นชูมีอาการดีขึ้นกว่าจวินเซียวเซียวมาก และดูเหมือนจะหายดีแล้ว
เพียงแค่เฉินอวิ๋นเจี๋ยเฝ้าอย่างใกล้ชิด โดยไม่ให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยวลุกลงจากเตียงไปไหน
ฉีเฟยอวิ๋นตรวจดู และอธิบายอย่างละเอียด จากนั้นจึงออกมาจากตำหนักเฟิ่งอี๋
เฉินอวิ๋นเจี๋ยวมองไปที่การจากไปของฉีเฟยอวิ๋น และหายไปในความคิด
เฉินอวิ๋นชูรู้ความคิดของน้องชายของนาง และได้กล่าวเตือนอยู่ข้างๆ “ข้าก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ตอบรับคำขอร้องของอวิ๋นเอ๋อร์ จึงทำให้ต้องพลัดพรากจากความสัมพันธ์ที่ดี
แต่ตอนนี้นางเป็นพระชายาเย่ เจ้ารู้ดีใช่ไหม นี่คือข้อห้าม!”
การก่อกวนพระราชวังเป็นอาชญากรรมร้ายแรงถึงประหารชีวิต และการก่อกวนพระชายาก็เป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษถึงประหารชีวิตเช่นเดียวกัน นับประสาอะไรคนอย่างหนานกงเย่ เขาจะยอมได้อย่างไร!