บทที่ 363: ดอกไม้ขาว
การเลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรก – เลื่อนออกไป
การหารือเกี่ยวกับแผนการพัฒนาต่อไปของยมโลก – เลื่อนออกไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการกลับไปที่แดนมนุษย์และบอกทุกคนว่าเขายังมีชีวิตอยู่! เขายังไม่ตาย เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าเผาร่างของเขา! เขายังไม่ได้เพลิดเพลินกับความสุขที่ชีวิตมอบให้เลยแม้แต่น้อย! ดังนั้นเขาจะกลายเป็นเถ้าถ่านและถูกเก็บอยู่ในโกศในขณะที่ยังกึ่งบริสุทธิ์อยู่แบบนี้ไม่ได้!
ฉินเย่กัดฟันแน่นและรีบกลับไปที่แดนมนุษย์ราวกับสุนัขที่ดุร้าย ในเวลาต่อมา เขาก็กลับเข้าร่าง ขยับร่างกายเล็กน้อยและค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเสแสร้งขณะที่พึมพำด้วยเสียงแหบพร่า “ผมเป็นใคร… ที่นี่ที่ไหน…”
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็สังเกตเห็นกองพวกหรีดที่วางล้อมอยู่รอบตัวของตัวเอง
เอ่อ หมายถึง…กระเช้าดอกไม้น่ะ
“ขอให้อาจารย์ฉินหายไว ๆ” “ขอให้อาจารย์ฉินผ่านพ้นช่วงโคม่าในเร็ววัน!” “อาจารย์ฉิน พวกเรายังรอให้คุณกลับมาสอนเราอยู่นะคะ” ข้อความจำพวกนี้มีอยู่หลายสิบข้อความ แทบจะชวนให้นึกถึงบรรยากาศในโถงไว้ทุกข์ไม่มีผิด
โชคดีที่เขายังสามารถบอกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย
ร่างของเขาถูกต่อด้วยสายท่อและเครื่องมือการแพทย์มากมาย ในขณะที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าห่มสีขาวราวหิมะ เย่ซิงเฉินกำลังทบทวนบทเรียนของตนอยู่ข้าง ๆ เตียงในตอนที่ฉินเย่ลืมตาขึ้น เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง จากนั้นก็กะพริบตาอย่างถี่รัว ราวกับหลอดไฟที่ติด ๆ ดับ ๆ
บรรยากาศภายในห้องตอนนี้ค่อนข้างอึดอัด
ฉินเย่กลับเข้าสู่บทบาทของตัวเองทันทีที่กลับเข้าสู่แดนมนุษย์ เปิดปาก เพียงเพื่อที่จะพบว่ามันแห้งและแตก เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการไม่ได้ขยับร่างมาเป็นเวลานาน แขนและขาของเขาปวดเล็กน้อยจากการที่เลือดไม่ไหลเวียน ดวงตาของเขาดูสับสนและเต็มไปด้วยความเศร้าโศก จากนั้นจึงค่อย ๆ หันไปสบตากับเย่ซิงเฉิน
“คุณ…”
แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยออกไป เย่ซิงเฉินก็ลุกขึ้นยืนและพุ่งออกไปนอกห้องราวกับคนเสียสติ
ดูเหมือนว่า… เขาจะกลายเป็นเคสที่เกิดปาฏิหาริย์ทางการแพทย์อีกแล้ว…
ฉินเย่กลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลขณะที่มองไปรอบ ๆ เอาล่ะ…เขามองเห็นต้นไม้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง… ต้นไม้ + คนไข้… เพอร์เฟกต์ไหมล่ะ?! นี่คนพวกนั้นกำลังบอกว่าเขาอยู่ในสภาพที่เหมือนกับผักอย่างนั้นหรือ?!!
ห้องที่เขาอยู่น่าจะเป็นหอผู้ป่วยวิกฤต มันมีเครื่องมือจำนวนมากอยู่ทั่วทุกด้านของห้อง รวมถึงทีวีติดผนังที่ติดอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของห้อง ข้าง ๆ เตียงของผู้ดูแลมีครัวขนาดเล็กอยู่ สภาพของเตียงในตอนนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่ามันถูกใช้งานอยู่บ่อยครั้ง มันยังมีแม้กระทั่งห่อขนมกองหนึ่งวางอยู่ที่หัวเตียง ในขณะที่ของเยี่ยมมากมายถูกวางกองอยู่ที่มุม ๆ หนึ่งของห้อง… เขาละสายตาจากของทั้งหมด และภายในใจก็พลันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทุ่มเทกายใจทั้งหมดให้กับการสอน แต่เขาก็ยังมีส่วนร่วมในหน้าที่นี้มาเกือบหนึ่งปีเต็ม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นักเรียนเหล่านี้ส่งความหวังดีให้กับเขาอย่างต่อเนื่อง และยังดูแลเขาเป็นกิจวัตรอีกด้วย มันเป็นภาพที่จริงใจเป็นอย่างมาก
ทว่าก่อนที่เขาจะได้จมดิ่งไปกับความรู้สึกอบอุ่นในนี้ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง และโจวเซียนหลงก็พุ่งเข้ามาก่อนจะจับมือเขาเอาไว้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น”
ฉินเย่รู้สึกถึงพลังปราณจากร่างของอีกฝ่าย เขาจ้องมองโจวเซียนหลงด้วยสายตาที่ซับซ้อน – ชายคนนี้… จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของหลี่จีสี่อย่างแน่นอน แต่…ด้วยตำแหน่งของชายสูงวัย เขารู้สึกว่ามันสามารถเข้าใจได้ ในทางกลับกัน ความเป็นห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปฏิเสธได้เช่นกัน
ทุกคนต่างมีจุดยืนของตัวเอง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้กระทำสิ่งใดที่ผิดต่อหลักการใช้ชีวิต พวกเขาก็ยังสามารถยืนหยัด สบตา และประกาศถึงความบริสุทธิ์ของตนกับผู้อื่นได้ โจวเซียนหลงเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เขาควรค่าแก่คุณสมบัติและตำแหน่งหัวหน้าของเขาอย่างแท้จริง
น่าเสียดาย พลังปราณที่โจวเซียนหลงส่งมาเพื่อตรวจสอบร่างของเขานั้นคนละชนิดกันกับระบบการบ่มเพาะที่ฉินเย่ได้ฝึกฝน ดังนั้นความหวังเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือหวังว่าเศษตราจ้าวนรกจะสามารถปกปิดพลังหยินภายในร่างกายของเขาได้ สิบนาทีต่อมา โจวเซียนหลงก็ลืมตาขึ้นและถอนหายใจออกมา “คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ฉินเย่ส่ายหน้าอย่างยากลำบาก การแสดงของเขาแนบเนียนอย่างไม่น่าเชื่อ หรือตัวเราจะมีพรสวรรค์ในด้านการแสดง
เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะพูดอะไรมากนัก แต่ทันทีที่สบตากับชายสูงวัย ริมฝีปากที่แห้งผากของเขาก็เปิดออกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “หิวน้ำ…”
โจวเซียนหลงรีบเดินไปรินน้ำใส่แก้ว เป่ามันเบา ๆ และนำมันกลับมาให้ฉินเย่
พระเจ้า?!
ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จะมีวันที่ตุลาการนรกมารินน้ำให้เขาดื่ม… จะว่าไป ตัวเขาเองก็มีตุลาการนรกติดตามอยู่มาเกือบปี แต่นางกลับไม่เคยรินน้ำให้เขาสักแก้ว!!!
เด็กหนุ่มเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะดื่มน้ำด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็พูดต่อ “หิวจัง…”
หากโจวเซียนหลงรู้ความจริงเกี่ยวกับสภาพร่างกายของฉินเย่ในตอนนี้ เขาคงจะทำให้อีกฝ่ายได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ไปนานแล้ว…
แต่ชายสูงวัยกลับไม่แม้แต่จะลังเล เขารีบลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ครัวขนาดเล็ก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับโจ๊กร้อนชามหนึ่งในมือ เขาใช้ช้อนตักมันในปริมาณที่พอดีคำและนำไปจ่อที่ปากของฉินเย่ “มา อ้าปาก”
ใช่แล้ว… ความรู้สึกนั้นแหละ! สุดยอดไปแล้ว!
ฉินเย่อ้าปากด้วยท่าทางที่น่าสงสาร จากนั้น—…
ช้อนตรงหน้าก็ชนเข้ากับฟันของเขา
เคร้ง เสียงปะทะดังขึ้น และความเจ็บปวดที่เกิดจากการชนกันระหว่างฟันและช้อนกระเบื้องแทบจะทำให้เขาเด้งตัวขึ้นมา ให้ตายเถอะ…เราไม่ควรรีบดีใจไปก่อนเลยจริง ๆ… เห็นได้ชัดเลยว่าชายตรงหน้าไม่คุ้นเคยกับการดูแลคนอื่น…
“…ผมไม่ค่อยได้ดูแลผู้ป่วยน่ะ…” โจวเซียนหลงเอ่ยออกมาอย่างอาย ๆ จากนั้น เขาก็ป้อนโจ๊กให้ฉินเย่อีกสองสามคำก่อนจะวางชามลง “พักผ่อนซะ คุณเพิ่งฟื้น ไม่ควรทานเยอะเกินไป อีกเดี๋ยวหมอก็จะมาแล้ว…”
พูดไม่ทันขาดคำ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เถาหรานเดินนำเข้ามาคนแรก ตามมาติด ๆ ด้วยแพทย์กลุ่มหนึ่ง ทันทีที่แพทย์ตรวจดูอาการของฉินเย่เรียบร้อย หนึ่งในคนทั้งหมดก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์…”
… คิดอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้!
“คนไข้จำได้ไหมครับว่าตัวเองเป็นใคร?” แพทย์สูงวัยถามอย่างสุภาพ
ฉินเย่พยักหน้า
“ดีครับ ไม่มีลิ่มเลือดอุดตัน” แพทย์ผู้ตรวจถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “อาจารย์ฉิน คุณหมดสติอยู่ภายในห้องพักเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มก่อนที่อาจารย์หลินจะไปพบ และตั้งแต่นั้น คุณก็ไม่ได้สติมาตลอดสองสัปดาห์ พวกเราได้ทำการทดสอบอยู่หลายครั้ง แต่สมองของคุณก็ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น หลังจากตัดความเป็นไปได้อื่น ๆ ออกไป พวกเราจึงสรุปว่าคุณอาจสมองตาย หัวใจของคุณยังเต้นอยู่ แต่นอกจากระบบขับถ่ายของเสียแล้ว ระบบอวัยวะอื่น ๆ ล้วนหยุดทำงาน ดังนั้น…เราทุกคนจึงคิดว่าคุณอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” ความกังวลฉายชัดไปทั่วใบหน้าที่มีริ้วรอยของเถาหราน แต่หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยต่อ “ช่างเถอะ บางทีมันอาจจะดีกว่าที่จะให้คุณพักรักษาตัวให้เต็มที่ก่อน อาจารย์หลินคอยดูแลคุณมาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ มันเป็นช่วงที่หนักหนาสำหรับพวกคุณพอสมควร”
ฉินเย่พยักหน้า
ในเสี้ยววินาทีต่อมา หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น และขนบนร่างของเขาก็ลุกชัน!
ให้ตายเถอะ… ‘ทุกอวัยวะในร่างกายหยุดทำงานยกเว้นระบบขับถ่ายของเสีย’?! ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าหลินฮั่นได้สัมผัสกับส่วนที่ไม่สามารถแตะต้องได้ของเขามาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ?!
นี่อีกฝ่ายทำอะไรที่ไม่ควรจินตนาการกับเขาหรือเปล่า?!
ความกลัวภายในใจของเขาพุ่งทะลุกำแพงทันที และเขาก็แทบจะไม่สามารถต้านทานความต้องการที่จะสอบสวนเจ้าโง่ที่ชื่อว่าหลินฮั่นได้
ฉินเย่ได้แต่ระงับความร้อนรนของตนเอาไว้ เด็กหนุ่มคว้ามือของโจวเซียนหลงอย่างอ่อนแรง พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “แล้วคะแนน–… นักเรียนของผมละครับ?”
เขาจะพูดถึงคะแนนการสอนตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด… นั่นมีแต่จะทำให้เขาดูแย่…
โจวเซียนหลงและเถาหรานต่างชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามของฉินเย่ และหางตาของทั้งคู่ก็ร้อนผ่าวขึ้น
ช่างเป็นอาจารย์ที่ดีอะไรขนาดนี้ เขาเป็นห่วงทั้งหน้าที่การงานและนักเรียนของตัวเองทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาพแบบนี้ พวกเขาจะสามารถผลักดันอาจารย์ผู้สอนที่ทุ่มเทขนาดนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ต้องห่วง” โจวเซียนหลงสะอึกเล็กน้อย “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
อย่าพูดแค่เรียบร้อยดี! บอกมาว่าดียังไง! นี่เขาคงไม่ได้เสียคะแนนการสอนทั้งหมดของตัวเองไปใช่ไหม?!
แม้ภายในใจของฉินเย่ร้อนรุ่มไปหมด แต่เขาก็ยังสามารถรักษาใบหน้านิ่งเรียบของตัวเองเอาไว้ได้ แม้ว่าตัวเองจะกำมือของโจวเซียนหลงแน่นก็ตาม ในสายตาของชายสูงวัย นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงที่มีต่อนักเรียนและสถาบันของฉินเย่ ฉินเย่พยายามถามอีกครั้ง “สอบปลายภาคกำลังจะมาถึงแล้ว พวกนักเรียน…สบายดีใช่ไหมครับ?”
ตราบใดที่พวกนักเรียนยังสบายดี คะแนนการสอนของเขาก็น่าจะยังไม่เป็นอะไร อีกนัยหนึ่งก็คือ เขากำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อตรวจสอบสถานะของคะแนนการสอนของเขาทางอ้อม
“พวกเขาสบายดี” เถาหรานรู้สึกตื้นตันกับความเป็นห่วงของฉินเย่จนต้องเดินไปกุมมือของฉินเย่ “ชั่วโมงสอนของคุณถูกระงับไปก่อน และเราก็หาอาจารย์คนอื่นมาแทนคุณแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเข้าสอนจนกว่าจะหายดี”
ที่รัก นั่นไม่ช่วยอะไรเลย!
ให้ผมลุกเถอะ! ผมยังสามารถสอนได้อีกเทอมหนึ่ง!
ภายในใจของฉินเย่เต็มไปด้วยความขมขื่น เขาอยากจะบีบคอชายสูงวัยทั้งสองให้เละคามือใจจะขาด – นี่พวกคุณช่วยถ่างตาและมองดูดี ๆ ไม่ได้หรือไง?! คุณยอมปล่อยอาจารย์ที่ทุ่มเทกับสถาบันและนักเรียนมากขนาดนี้ไปได้อย่างไร?! คุณไม่เห็นน้ำตาที่ผมพยายามบีบออกมาจากหางตาอย่างนั้นเหรอ?
จากนั้น รูม่านตาของเด็กหนุ่มก็หดตัวเข้าหากัน ในเสี้ยววินาทีต่อมา ความทรมานอย่างรุนแรงก็แผ่ออกมาจากหัวใจและพุ่งตรงขึ้นมาที่หัว
หูทั้งสองข้างของเขาอื้ออึงไปหมด ในขณะที่ความเจ็บปวด… รู้สึกไม่ต่างอะไรกับถูกฉีกกระชากร่างเป็นชิ้น ๆ จากภายใน เปลวไฟนรกสีดำสนิทลุกโชนจากหน้าอกของเขาอย่างรุนแรงจนแทบจะทำให้เลือดภายในกายระเหยเป็นไอ ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที มันทำให้อวัยวะภายในและร่างกายของเขาเจ็บปวดทรมานจนแทบหัวใจหยุดเต้น
สะพานนกสาลิกา
ไม่คิดเลยว่าคำสาปจะกำเริบขึ้นตอนนี้
พรึ่บ! เปลวไฟนรกระเบิดออกมาและห่อหุ้มร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ มันแทบจะเหมือนกับว่ามีเปลวไฟพุ่งออกมาจากทุกรูขุมขนบนร่าง โจวเซียนหลงและเถาหรานอ้าปากค้างอย่างสยดสยอง ในขณะที่กลุ่มแพทย์ต่างกรีดร้องออกมาและถอยไปอยู่มุม ๆ หนึ่งของห้อง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขาทุกคน…ล้วนสัมผัสได้ถึงรัศมีพลังของขั้นฝู่จวินที่แผ่ออกมาจากเปลวไฟนรกที่ลุกโชนนี้!
“อดทนไว้!” โจวเซียนหลงได้สติและส่งคลื่นพลังปราณของตนไปที่ร่างของฉินเย่ทันที แต่เมื่อมันปะทะเข้ากับเปลวไฟนรก ปฏิกิริยาที่ได้มากลับไม่ต่างอะไรกับน้ำเย็นปะทะกับลาวาร้อนเลยสักนิด มันสลายไปเป็นกลุ่มไอร้อนสีขาวอย่างรวดเร็ว ทว่าไอสีขาวที่เกิดจากการปะทะกลับผลักร่างของชายสูงวัยไปด้านหลังจนกระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างแรง
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!! เครื่องมือที่อยู่ภายในห้องเริ่มส่งเสียงร้องเตือน เถาหรานรู้ดีว่าตนไม่ได้มีความสามารถมากพอที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นเขาจึงหันไปถามโจวเซียนหลงอย่างร้อนรน “พวกเราจะทำอย่างไรกันดีครับ?!”
“ผมไม่เป็นไร แต่พลังปราณไม่สามารถเจาะทะลุกำแพงไฟนรกได้เลย!!” โจวเซียนหลงกัดฟันแน่น “เราทำได้แค่หวังว่า…อาจารย์ฉินจะสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ไปได้… นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? มันแสดงให้เห็นเลยว่าอาจมีวิญญาณร้ายขั้นฝู่จวินเข้ามามีส่วนร่วม! แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน?!”
พรึ่บ… เปลวไฟนรกเผาไหม้รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ปกคลุมร่างของฉินเย่ในฉับพลัน ทว่ามันกลับไม่ส่งผลกระทบกับทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม คนทั้งหมดสามารถบอกได้ว่าฉินเย่กำลังอดทนอย่างถึงที่สุด เส้นเลือดบริเวณลำคอและมือของเขานูนออกมาและเต้นตุบ ๆ ในขณะที่เด็กหนุ่มกัดฟันแน่ จากนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเหลือคณานับ
“อ๊ากกกกกกก!!!!” เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชดังก้องไปทั่วทุกมุมห้อง เขาร้องออกมาประมาณ 20 วินาที ก่อนที่สะพานนกสาลิกาจะสงบลงและจางหายไปในที่สุด [1]
ตุบ… เขาทรุดตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง ผ้าปูที่นอนในเวลานี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หากพูดกันตามตรง ฉินเย่ไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำเลยสักนิด คณะแพทย์ที่อยู่ในห้องชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบพุ่งมาตรวจดูร่างกายของเขาอีกครั้ง
ฉินเย่ผลักคนทั้งหมดออกอย่างอ่อนแรง เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ และบังเอิญว่ามันก็เป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะจบเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองซินคังใหม่เช่นกัน
เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ไม่ต้องการเจอกับคนจากหน่วยอัลบาทรอสอย่างหลี่จีสี่อีกแล้ว นอกจากนี้…ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตรวจจับถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันมีความเป็นไปได้สูงมากที่อัลบาทรอสจะคอยจับตาดูเขาอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ นี้!
เพราะอย่างไรแล้ว หลี่จีสี่ก็เคยบอกเขาว่าอัลบาทรอสจะไม่มีทางปล่อยให้งานไม่เสร็จ และที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือแม้แต่ตัวของหลี่จีสี่เองก็ไม่รู้ว่าหน่วยอัลบาทรอสคนอื่น ๆ มีหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเขาติดต่อกันแบบจุดต่อจุด และได้รับการฝึกฝนมาว่าไม่ให้เปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตัวเองกับผู้ใด – แม้แต่เพื่อนร่วมงานเองก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงสวมหน้ากากหรือรูปลักษณ์อื่นทุกครั้งที่พบกัน
ฉินเย่รีบคว้ามือของโจวเซียนหลง ครั้งนี้ มือของเขาไร้เรี่ยวแรงอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดในร่าง “หัวหน้าครับ…”
โจวเซียนหลงจับมือเด็กหนุ่มแน่นและเอ่ยแทรกขึ้น “อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น…คุณอาจจะได้รับคำสาปบางอย่าง พักผ่อนซะ ผมจะรีบไปค้นดูรายชื่อของบุคลากรที่มีพรสวรรค์ของหน่วยสอบสวนพิเศษ มันจะต้องมีคนที่จะสามารถช่วยคุณได้”
ฉินเย่ส่ายหน้าและสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เจ้าหน้าที่ S9527 มีเรื่องจะต้องรายงาน…”
ดวงตาของเถาหรานวาวโรจน์ขึ้น เขารีบหันไปบอกให้แพทย์ทั้งหมดออกไปจากห้อง จากนั้นฉินเย่จึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง “ที่เมืองซินคังใหม่… พวกเราเจอเข้ากับ… วิญญาณอาฆาตขั้นฝู่จวิน…”
[1] ผู้แปล: หากผู้แปลจำไม่ผิด คำสาปนี้ออกฤทธิ์ไปแล้วสองครั้ง ครั้งแรกที่แดนมนุษย์ และครั้งที่สองที่ยมโลก ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยระบุไว้ว่าเมื่อคำสาปออกฤทธิ์ครบสามครั้ง ฉินเย่จะตาย ดังนั้นที่พระเอกยังไม่ตาย ผู้แปลจึงสรุปได้เพียงว่าครั้งที่ยมโลกอาจจะไม่นับ หรือไม่ อาร์ทิสกับสมุดแห่งความเป็นตายก็อาจจะระงับผลกระทบของคำสาปเพื่อให้ฉินเย่ได้มีชีวิตรอดนานขึ้น