บทที่ 163 การล้างแค้น

บทที่ 163 การล้างแค้น

จวนตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ลานบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้เหมือนป่าทึบ สวนดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วน และทิวแถวของศาลาอันงดงามที่ประดับประดาไปด้วยหยกอันหรูหรา ทุกซอกทุกมุมของจวนตระกูลซูได้เผยให้เห็นถึงความสูงส่งและอำนาจของเจ้าของ

ทว่าในตอนนี้ จวนของตระกูลซูได้กลายเป็นทะเลเพลิงแล้ว

เปลวเพลิงที่ลุกโชนราวกับเพชฌฆาตที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก มันได้แผดเผาและหลอมละลายทุกสิ่ง ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว งดงามหรืออัปลักษณ์ ภายใต้ทะเลเพลิง ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านและหวนคืนสู่ปฐพีในที่สุด

เปลวเพลิงที่ร้อนแรงแผดเผาท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดง!

เมื่อเฉินซีมาถึงจวนตระกูลซู เขาก็ได้เห็นดอกบัวเขียวขจีนับไม่ถ้วนบานสะพรั่งอยู่ทุกซอกทุกมุมของจวน ซึ่งพวกมันกำลังพ่นเปลวไฟสีฟ้าออกมา ความร้อนแรงของเปลวไฟนั้นทำให้กระเบื้องหลังคา ภูเขาเทียม ศาลา ผนัง และแม้แต่เหล็กที่แข็งที่สุดก็ยังต้องหลอมละลายไปกับเปลวเพลิง พวกมันเผาผลาญทุกสิ่งจนเป็นเถ้าถ่านและหลอมเหล็กจนกลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนหินหลอมเหลว แม้แต่อากาศโดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยวจนกระทั่งระเหยไป และทำให้กระแสอากาศปั่นป่วนภายใต้อุณหภูมิที่สูงล้ำ คลื่นเพลิงที่โหมกระหน่ำและกระแสแห่งความร้อนนี้ ทำให้ทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยชั้นบรรยากาศที่เหมือนกับความฝัน

เสียงร้องโหยหวน เสียงตะโกนด้วยความเดือดดาล เสียงสาปแช่ง เสียงวิงวอน… เสียงกรีดร้องต่าง ๆ นานาดังขึ้นติดต่อกันจากภายในทะเลแห่งเปลวเพลิง ซึ่งมันดูเหมือนทะเลเพลิงในนรกที่ไม่ควรปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์แม้แต่น้อย

ภายใต้วงล้อมของเปลวเพลิงสีฟ้าจากดอกบัวจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีสมาชิกตระกูลซูคนใดรอดพ้นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสที่มีสถานะหรืออำนาจอันสูงส่ง ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อย ปลาที่เวียนว่ายในสระ หรือนกที่ถูกกักขังอยู่ในกรง ทุกสิ่งมีชีวิตทำได้เพียงดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างสิ้นหวัง แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะท้ายที่สุดเปลวเพลิงสีฟ้าก็แผดเผาพวกมันจนสิ้นซากอยู่ดี

นี่คือพลังของวัตถุโบราณเซียน ‘ไผ่เงาบัวเขียวขจี’ มันเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่เจิดจรัสและดวงจันทร์อันเย็นยะเยือก ในขณะที่มันแผดเผาทุกสรรพสิ่งและปฏิบัติต่อความตายด้วยความเย็นชา เมื่อมันอยู่ในมือของไป๋เถิง ผู้มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ถึงแม้มันจะสำแดงอานุภาพได้เพียงสี่ส่วน แต่อานุภาพเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายล้างตระกูลซูทั้งหมด

ตระกูลซูเอ๋ย ตระกูลซู… เฉินซียืนอยู่บนอากาศอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง เปลวไฟที่โหมกระหน่ำสะท้อนบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ทำให้มันสว่างและสลัวอยู่เป็นช่วง ๆ และดูเหมือนว่าเปลวไฟกำลังเริ่มลุกโชนภายในดวงตาของเขา เมื่อเขาเห็นตระกูลซูกำลังล่มสลายลงทีละเล็กทีละน้อย หัวใจของเฉินซีกลับว่างเปล่าและรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

“ต่อให้ตระกูลซูถูกทำลายลง แล้วมันจะทำให้ท่านปู่ฟื้นคืนชีพได้อย่างไร?”

ปัง!

เฉินซีหันหลังให้กับทะเลเพลิงขณะที่เขาคุกเข่าอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า และความเศร้าโศกที่มีอยู่มหาศาลได้พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเขา “ท่านปู่ ข้าได้ล้างแค้นให้แก่ท่านแล้ว ท่านเห็นมันไหม? แต่… ข้าก็ไม่มีวันที่จะได้พบกับท่านอีกครั้งอยู่ดี”

เปลวเพลิงยังคงลุกโชน แต่เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชก็ทยอยเงียบลงและค่อย ๆ จางหายไป ก่อนจะคืนสู่ความว่างเปล่า และเหลือไว้เพียงเสียงของเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่เท่านั้น

เมื่อเฉินซีลุกยืนขึ้นอีกครั้ง จวนตระกูลซูได้กลายเป็นเถ้าถ่านที่ปกคลุมท้องฟ้า มันถูกสายลมพัดพาให้ล่องลอยและตกลงสู่ทะเลเพลิง ซึ่งปราศจากสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง

นับจากบัดนี้เป็นต้นไป จะไม่มีตระกูลซูอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่มีซูเจิ่นเทียน ซูเจียว ซู…

เป่ยเหิงได้มาถึงข้างกายของเฉินซี โดยที่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สังเกต และในขณะที่เป่ยเหิงมองไปยังทะเลเพลิง เขาก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ ตระกูลซูเป็นหนึ่งในกองกำลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งคงอยู่มานานนับหลายหมื่นปีของเมืองทะเลสาบมังกร กลับถูกทำลายล้างไปแล้ว และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนเพียงคนเดียวกับวัตถุโบราณเซียนอีกหนึ่งชิ้น!

ซึ่งเหตุผลที่กระทำเช่นนี้ ก็เพราะหญิงสาวคนหนึ่งต้องการช่วยเฉินซีล้างแค้น…

มันไร้สาระหรือ?

แน่นอนว่าไม่!

นี่คือโลกแห่งการบ่มเพาะที่แท้จริง มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและการนองเลือด ซึ่งมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้น จะมีผู้บ่มเพาะคนใดที่ไม่ได้ล้มตายภายใต้การลงทัณฑ์จากสวรรค์ แต่กลับต้องตายด้วยคมมีดของศัตรูแทน?

แน่นอนว่ามหาศาล!

บางทีนี่อาจจะเป็นการลงโทษผู้บ่มเพาะรูปแบบหนึ่งของเต๋าแห่งสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะครอบครองพลัง ความมั่งคั่ง และอำนาจที่ไม่ธรรมดา แต่พวกเขาทุกคนก็ยังมีความแค้น ความเกลียดชัง และกรรมนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน

เป่ยเหิงหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามอย่างเต็มที่จะระงับการสั่นไหวของหัวใจเขา จากนั้นก็ตบไหล่ของเฉินซีและกล่าวว่า “ศัตรูตัวฉกาจของเจ้าได้ถูกทำลายแล้ว เจ้าควรจะยินดีสิ”

เฉินซีฟื้นคืนสติจากความเศร้าของการคิดถึงท่านปู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ เขากลับตระหนักได้ว่า ไม่พบร่องรอยของไป๋หวานฉิงอยู่ที่ใดเลย

“ไม่จำเป็นต้องมองหาหรอก พวกเขาได้จากไปนานแล้ว” เป่ยเหิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องเฉิน เจ้าเป็นคนที่โชคดี และมีปรมาจารย์คอยเฝ้าดูแลเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ต่างจากข้าที่เป็นวิญญาณโดดเดี่ยวที่ไร้ผู้พึ่งพิง”

เฉินซีก็ได้หัวเราะออกมา เมื่อเห็นเป่ยเหิงกำลังกล่าวล้อเล่น ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว เป่ยเหิงจะเป็นวิญญาณโดดเดี่ยวได้อย่างไร?

“ช่างน่าเสียดาย! เดิมทีข้าจะใช้ประโยชน์จากการที่ตระกูลซูถูกทำลายล้าง เพื่อครอบครองทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลที่หลงเหลืออยู่ แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ผู้อาวุโสไป๋เถิงนั้นโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง เขาได้เปลี่ยนตระกูลซูทั้งหมดให้กลายเป็นเถ้าถ่าน และไม่เหลือแม้เหรียญทองแดงสักเหรียญเดียว” เป่ยเหิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยขณะที่เขาถอนหายใจ

“พี่ใหญ่ ท่านขาดแคลนเงินทองหรอกหรือ” เฉินซียิ้มออกมา

“หากเจ้าอยู่ในตำแหน่งเช่นเดียวกับข้า เจ้าจะเข้าใจว่า ทั้งเรื่องการบ่มเพาะ อาหาร เสื้อผ้า ที่พัก และการเดินทางของเหล่าศิษย์ภายในนิกายนั้น ทำให้ข้าต้องใช้สมองเพื่อจัดการทั้งหมด ถึงภายนอกมันจะดูดี แต่จริง ๆ แล้วข้านั้นเหนื่อยมาก” เป่ยเหิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ

เฉินซีตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ทัศนคติของเป่ยเหิงที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งมีความเป็นมิตรและเท่าเทียมกันมากขึ้น และด้วยความคิดของเขาเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เฉินซีเข้าใจเหตุผลทั้งหมด

ภายในวันเดียว กลุ่มของไป๋หว่านฉิงได้ทำลายล้างกองกำลังอันยิ่งใหญ่ทั้งสองของเมืองทะเลสาบมังกรอย่างต่อเนื่อง ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวที่พวกเขาได้เผยออกมาและทัศนคติที่มีแก่เฉินซีในทางที่ดี จึงทำให้มุมมองของเป่ยเหิงที่มีต่อเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอยู่เล็กน้อย

อันที่จริง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะไป๋หว่านฉิงต้องการช่วยเหลือเขา และเฉินซีเองก็เข้าใจดี ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสำนึกบุญคุณของน้าไป๋ที่คอยเฝ้าดูเขาเจริญเติบโตอยู่เสมอเป็นอย่างมาก

“มาเถอะ พวกเราพี่น้องจะไปดื่มกัน ความเกลียดชังของเจ้าได้รับการล้างแค้นแล้ว และนี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตของเจ้า วันนี้เราต้องดื่มจนเมามาย ไม่อย่างนั้นไม่เลิกรา!” เป่ยเหิงวางแขนของเขาไว้บนไหล่ของเฉินซี ขณะที่เขาหัวเราะอย่างเต็มที่

“ตกลง ข้าเองก็อยากจะบอกข่าวดีกับเฉินฮ่าวและท่านอาจารย์เมิ่งเช่นกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป” เฉินซีพยักหน้า

ภายในวันเดียว

พระราชวังข่ายดาราได้พังพินาศ

ตระกูลซูก็ล่มสลาย

กองกำลังอันเก่าแก่ทั้งสองที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรเป็นเวลานับหลายพันปี กลับถูกถอนรากโคนจนหมดสิ้น เมื่อข่าวนี้ได้แพร่ออกไป ทำให้ทั้งเมืองทะเลสาบมังกรต้องตกอยู่ในความตกตะลึงทันที หน่วยสอดแนมจากทุกหนทุกแห่งพากันออกตรวจสอบ และข่าวลือต่าง ๆ ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกร

“เจ้าว่าอย่างไรน่ะ? พระราชวังข่ายดาราและตระกูลซูต่างก็ถูกเป่ยเหิงผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทำลายหรอกหรือ?”

“ไร้สาระ! ตอนที่พระราชวังข่ายดาราได้ถูกทำลาย เป่ยเหิงยังคงอยู่ที่ภูเขาดาวตก แต่ตระกูลซูก็ถูกโจมตีในเวลานั้นเดียวกัน ดังนั้นการทำลายล้างกองกำลังทั้งสองนี้ จะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเป่ยเหิงแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร”

“พวกเจ้าจงเงียบก่อน ข้าเพิ่งได้รับรายงานมา ระหว่างการสังหารหมู่ทั้งสองครั้ง เจ้าเด็กที่พิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้อยู่ในเหตุการณ์สองเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ เขามีเป่ยเหิงคอยคุ้มครองอยู่! พวกเจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่”

“เฉินซี?”

“ถูกต้อง! มันเป็นเขาเอง”

“เป็นไปไม่ได้! เขาเป็นแค่คนนอก และต่อให้เขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน การบ่มเพาะของเขาก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น จะไปสามารถทำลายล้างกองกำลังอันยิ่งใหญ่ทั้งสองได้อย่างไร? นี่แทบไม่ต่างจากมดปลวกที่พยายามเขย่าต้นไม้ พวกเจ้าประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว มันย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”

“ฮึ่ม! แล้วการที่เขาจะไม่มีกองกำลังหนุนหลังอยู่มันเป็นไปได้หรือ? และยังลงมือกวาดล้างกองกำลังทั้งสองเพียงลำพังเนี่ยนะ? ช่างน่าหัวร่อเสียจริง”

ท่ามกล่างค่ำคืนนั้น บนท้องถนนและตามซอกซอย โรงน้ำชาและโรงเตี๊ยม ทุกหนทุกแห่งภายในเมืองทะเลสาบมังกร ก็เกิดการถกเถียงถึงเรื่องที่พระราชวังข่ายดาราและตระกูลซูถูกทำลายล้าง และทั้งหมดนี้ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเฉินซีและเป่ยเหิง แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ พวกเขาจึงไม่อาจสามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ แต่เกือบทุกคนต่างก็คิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินซีและเป่ยเหิงอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้เอง ในสายตาของผู้บ่มเพาะแห่งเมืองทะเลสาบมังกร เฉินซีจึงเป็นตัวตนที่ลึกลับอย่างยิ่ง ส่วนเป่ยเหิงที่เป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงกระมัง?

เมื่อมีคนยินดี ก็ย่อมต้องมีคนที่เศร้าโศก

ตัวอย่างเช่น ฉางเสี่ยวหลง ผู้นำแห่งตระกูลฉาง และเจียงเจิ้นอวี่ เจ้าสำนักเมฆาอนันต์ ต่างตกอยู่ความกระสับกระส่ายและวิตกกังวลตลอดทั้งคืน จนทำให้พวกเขาไม่กล้านอนหลับอยู่เป็นเวลานาน

ที่พวกเขาหวาดกลัว ก็เพราะข้อมูลที่ได้รับมานั้นแม่นยำกว่าข้อมูลอื่น ๆ และพวกเขาก็รู้ว่าแท้จริงแล้ว พระราชวังข่ายดาราและตระกูลซูถูกกวาดล้างอย่างไร

เพราะเรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเฉินซี!

สิ่งที่น่าเศร้าคือ หลังจากการจัดอันดับมังกรซ่อนได้จบลง พวกเขาได้ร่วมมือกับซูเจิ่นเทียนและเถี่ยอวิ๋นจื่อ เพื่อโจมตีเฉินซีและตั้งใจแย่งชิงเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาจากมือของชายหนุ่ม

ตอนนี้ ตระกูลซูที่อยู่เบื้องหลังของซูเจิ่นเทียนได้พินาศไปแล้ว และพระราชวังข่ายดาราที่อยู่เบื้องหลังของเถี่ยอวิ๋นจื่อก็พินาศเช่นเดียวกัน แล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป?

ฉางเสี่ยวหลงกับเจียงเจิ้นอวี่ต่างก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่ไม่รู้จักนั้นน่าสะพรึงกลัวที่สุด ดังนั้นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองที่สามารถควบคุมลมและฝนของเมืองทะเลสาบมังกร ในที่สุดก็รู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความวิตกกังวลและกระสับกระส่ายว่าเป็นเช่นไร

เฉินซีไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขณะที่เขากลับไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรกับเป่ยเหิง ก่อนจะกลับไปยังยอดเขาใจสัจธรรมของเขาเอง

“ ท่านพี่ น้าไป๋เป็นคนทำลายพระราชวังข่ายดารากับตระกูลซูจริง ๆ หรือขอรับ?” เมื่อเฉินฮ่าวทราบข่าวจากเฉินซี เขาก็ตกตะลึงจนกรามแทบหลุด

“จริงสิ ข้าเคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” เฉินซีกล่าว อันที่จริงจะนับประสาอะไรกับเฉินฮ่าว แม้แต่เขาที่เห็นทุกอย่างด้วยตาคู่นี้ก็แทบไม่อยากเชื่อในสายตาของตัวเองเช่นกัน

ปัง!

จู่ ๆ เฉินฮ่าวก็คุกเข่าลงบนพื้น น้ำตาของเขาไหลรินขณะที่เขาสะอื้นด้วยเสียงต่ำ “ท่านพี่ ถ้าตอนนี้ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะมีความสุขมากใช่ไหม? ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ข้าบ่มเพาะทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่หยุดหย่อน เพราะข้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อล้างแค้นให้กับท่านปู่ แต่ตอนนี้ความแค้นที่ยิ่งใหญ่ของเราได้รับการชำระแล้ว เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย?”

เฉินซีรู้สึกอัดอั้นจนพูดไม่ออก เขาเองก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? ศัตรูของพวกเขาได้ตายไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชีวิตของท่านปู่กลับคืนมาได้ นอกจากเฉินฮ่าวและตัวเขาเองแล้ว จะมีใครบ้างที่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสูญเสียที่ว่างเปล่าเช่นนี้

ในคืนนี้ สองพี่น้องร่ำสุรากันยกใหญ่และกล่าวเรื่องไร้สาระมากมาย พี่น้องคู่นี้ตัวติดกันและช่วยเหลือกันมาตั้งแต่เล็ก บัดนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือศิษย์ของนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ผู้เป็นบรรพจารย์ใหญ่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และสถานะของเขาก็สูงขึ้นจนกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือพี่น้องร่วมสาบานกับบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร สถานะของเขาสูงล้ำ และชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายไปอย่างวงกว้างและสั่นสะท้านเมืองทะเลสาบมังกร

บางที หากวิญญาณของเฉินเทียนลี่ที่เป็นปู่ของพวกเขา มองเห็นฉากนี้จากสวรรค์ได้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขายิ้มอย่างมีความสุข

ในช่วงกลางดึก เฉินซีกลับไปที่ห้องอันเงียบสงบของเขาและนั่งสมาธิอยู่บนเตียง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบแผ่นหยกออกมา

แผ่นหยกนี้เป็นสิ่งที่ไป๋หว่านฉิงได้ไหว้วานเป่ยเหิงส่งมอบให้แก่เขา และมันคือแผ่นหยกที่มีเสียงถูกกักเก็บไว้อยู่

เพล้ง!

ทันทีที่แผ่นหยกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็เกิดเสียงที่อ่อนโยนและเสนาะหูค่อย ๆ ดังก้องอยู่ภายในห้อง

“เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็เติบใหญ่แล้ว น้าไป๋ทั้งยินดีและภูมิใจเป็นอย่างมาก ข้าเองก็รู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับตัวเจ้า และพบว่าสองปีนี้เจ้าต้องเจอกับความยากลำบากมากมาย ทำให้หัวใจของข้ารู้สึกปวดร้าวมาก ดังนั้นข้าหวังว่าการทำลายล้างตระกูลซู คือของขวัญจากข้าที่มอบให้แก่เจ้าและเฉินฮ่าว…”

“ข้าคิดว่าเจ้าคงสงสัยตัวตนของน้าไป๋มาเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อเจ้ามาถึงแดนภวังค์ทมิฬ และได้พบกับข้าอีกครั้ง เจ้าจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างแน่นอนว่า พวกเราจะเจอกันหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือมีหลายเรื่องที่เจ้าควรรู้ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับท่านแม่และท่านพ่อของเจ้า…”

“เอาล่ะ การมาที่แดนภวังค์ทมิฬนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าต้องทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะของเจ้า! แม้แต่ท่านลุงเถิงเองก็ยังบอกว่าพรสวรรค์ของเจ้านั้นไม่ธรรมดา และข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้าเช่นเดียวกัน เจ้าต้องมาถึงแดนภวังค์ทมิฬได้อย่างแน่นอน และน้าไป๋จะรอเจ้าอยู่ที่นั่นนะ”

เสียงนั้นหยุดชะงักและค่อย ๆ หายไป

เฉินซีนั่งอยู่คนเดียวภายในห้องที่เงียบสนิทและมืดมิด จนไม่อาจเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน