“กั๋วเว่ย…” อิ๋งตั้งขยี้ตาและหยุดร้องไห้
“ตั้งเอ๋อร์” จู่ๆ อิ๋งซื่อก็พูดขึ้น “ให้กั๋วเว่ยเป็นอาจารย์ของเจ้าว่าเยี่ยงไร?”
ทุกคนประหลาดใจ ชูหลี่จี๋เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง แม้ว่ากั๋วเว่ยมีความสามารถ ทว่าด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้เกรงว่าจะไม่สามารถทำพ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อไม่สนใจคำพูดของเขา เพียงแต่จ้องอิ๋งตั้ง
อิ๋งตั้งเอ่ยด้วยความงุนงง “เสด็จพ่อ อาจารย์คืออะไร?”
“อาจารย์ก็คือคนที่สอนให้เจ้าอ่านหนังสือและรู้จักตัวอักษร” อิ๋งซื่อเอ่ย
อิ๋งตั้งมองซ่งชูอี พยักหน้าหงึกหงัก “อืม”
“เยี่ยม” มีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของอิ๋งซื่อ “คำนับอาจารย์เถิด”
อิ๋งตั้งยกกำปั้นขึ้น “ตั้งเอ๋อร์คำนับอาจารย์”
“องค์ชายไม่ต้องมากพิธี” ซ่งชูอียิ้มรับไว้แล้ว
ชูหลี่จี๋และจางอี๋ค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ บางที่การที่หวังโฮ่วส่งองค์ชายตั้งมาทันเวลาเป็นเพียงความบังเอิญ ทว่าอิ๋งซื่อให้เขาคารวะซ่งชูอีเป็นอาจารย์ทันที ทำให้ยากที่จะเข้าใจโดยแท้
รัฐฉินมีคนที่มีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ให้กับองค์ชายมากมาย เวลานี้เป็นโอกาสดีที่จะจ้างคน ว่ากันตามเหตุผลแล้วควรจะเป็นคนที่มีความรู้ มีบารมี มีความอาวุโสและไม่เก่งกาจด้านวางแผน ไม่มีความจำเป็นที่จะให้ซ่งชูอีผู้ที่มีภาระหนักอึ้งอยู่แล้ว
หากเป็นการปลอบใจก็ยิ่งไม่จำเป็น ข้อหนึ่งอิ๋งซื่อไม่ใช่คนประเภทนั้น อีกประการหนึ่งซ่งชูอีไม่ต้องการความพยายามเช่นนี้
“กลับไปก่อนเถิด วันนี้กั๋วเว่ยก็พาอิ๋งตั้งไปที่ว่าการ วันหน้าก็สอนเขาในที่ว่าการ” อิ๋งซื่อเอ่ย
ซ่งชูอีค่อนข้างชอบองค์ชายตั้ง และดูเหมือนเด็กคนนี้ก็ชอบนางมากเช่นกัน ดังนั้นเมื่ออิ๋งซื่อยกหน้าที่นี้ให้กับนาง นางจึงไม่รู้สึกติดขัดใดๆ
ข้างนอกท้องฟ้ามืดแล้ว หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ในส่วนลึกของพระราชวัง พระตำหนักเรียงรายกันแน่นหนา เว่ยหว่านยืนอยู่หน้าท้องพระโรงตามลำพัง ดวงตาของนางเหม่อลอยออกไปในระยะไกลจนกระทั่งเด็กในวังคนหนึ่งวิ่งฝ่าหิมะเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
“หวังโฮ่ว” คนนั้นยืนตรงในหิมะ
เว่ยหว่านดึงสติกลับมาแล้วรีบเอ่ยถาม “ท่านอ๋องว่าอย่างไรบ้าง? ตั้งเอ๋อร์เล่า?”
เด็กในวังหลุบตาเอ่ย “ตอนที่ส่งองค์ชายเข้าไป ท่านอ๋องกำลังหารือเกี่ยวกับกิจการของรัฐกับขุนนางหลายคน แม้แต่ขันทีเถาก็ถูกไล่ให้ออกมา มีเพียงแม่นมอุ้มองค์ชายเข้าไปตามลำพัง บ่าวไม่ได้ยินว่าท่านอ๋องพูดว่ากระไรบ้าง แต่ว่าองค์ชายถูกกั๋วเว่ยพาตัวไป บ่าวจึงบังอาจเดาว่า ท่านอ๋องต้องการให้กั๋วเว่ยเป็นอาจารย์องค์ชาย”
“กั๋วเว่ย? กั๋วเว่ยคนไหน?” เว่ยหว่านถาม
เด็กในวังรู้ว่าเว่ยหว่านรวมคนที่รักษาตำแหน่งแทนกั๋วเว่ยเข้าไปด้วยแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “ต้าฉินมีกั๋วเว่ยเพียงคนเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ซ่งหวยจิน?” สีหน้าของเว่ยหว่านเปลี่ยนเป็นสีเทาครู่หนึ่ง บ่นพึมพำ “นาง…หายป่วยแล้ว?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เด็กในวังตอบเสียงเบา
ยืนอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง หิมะสีขาวตกเต็มตัวเด็กในวังแล้ว
“เจ้าออกไปเถิด” เว่ยหว่านเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” เด็กในวังค่อยตัวถอยออกไป
เว่ยหว่านยื่นมือออกไปประคองเสาจึงจะสามารถยืนอย่างมั่นคงได้ นางจมอยู่กับความรักมาก่อนและถูกความอิจฉาตีเข้าที่ศีรษะอย่างจัง แม้ว่านางจะหึงหวงทว่านางกลับไม่เคยลงมือกับซ่งชูอี ไม่เพียงเพราะการทำเช่นนี้จะทำให้อิ๋งซื่อโกรธ และเพราะว่าผู้ชายคนหนึ่งไม่สามารถทำให้ตำแหน่งชายาเอกของนางสั่นคลอนได้
แต่ตอนนี้นางมีลูกแล้ว ในฐานะแม่คนหนึ่ง จะต้องวางแผนให้ลูกของตัวเอง การมีหมี่ปาจื่อศัตรูเป็นศัตรูที่แท้จริงทำให้นางได้สติมากขึ้น
เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์นี้ว่าวิกฤตครั้งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้น
วิกฤตประเภทนี้มันมาจากไหนกัน? สมองของนางสับสัน คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ทว่ามีอย่างหนึ่งที่นางเข้าใจเป็นอย่างดี…ไม่ว่าอย่างไรนางจะล้มไม่ได้!
บัดนี้อิ๋งซื่อยังหนุ่มแน่น ขอเพียงเขายินดี ต่อไปก็สามารถมีลูกได้หลายคน ทันทีที่นางถูกปลดแม้แต่ชีวิตของลูกชายตนก็น่าเป็นห่วง อย่าว่าแต่ตำแหน่งรัชทายาทเลย!
ดังนั้นหากนางจะตายก็ต้องตายในตำแหน่งหวังโฮ่ว อย่างนั้นอย่างน้อยลูกชายของนางจะได้เป็นองค์ชายคนโตตลอดไป ลูกสาวของนางจะเป็นองค์หญิงคนโตตลอดไป
อย่างไรก็ดีหากไม่จำเป็น เว่ยหว่านจะไม่ฆ่าตัวตาย เพราะว่าการที่นางได้เห็นกับตาตัวเองว่าลูกชายได้นั่งอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทจึงจะสามารถวางใจที่สุด
สายลมเย็นทำให้เว่ยหว่านค่อยๆ สงบลง เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ภายใต้สถานการณ์คับขันอิ๋งซื่อได้มอบลูกชายได้คนที่เขาโปรดปรานและเห็นความสำคัญมากที่สุด อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกชายเป็นที่สุดและก็แสดงให้เห็นว่าในตอนนี้นางยังไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกถอดออกจากตำแหน่ง
หากคิดที่จะปลดตำแหน่งนางจริงๆ มันก็ไม่ง่ายเหมือนการหาอาจารย์มาสอน…
เมื่อเข้าใจตรงนี้ หัวใจของนางก็ผ่อนคลายลง
**
ในช่วงกลางฤดูหนาว สนามรบเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความผันผวน เหล่าขุนนางล้วนทุ่มเทความสนใจไปที่สงคราม ความวุ่นวายหลังการยกเลิกการปลดหวังโฮ่วค่อยๆ บรรเทาลงภายใต้การไกล่เกลี่ยของชูหลี่จี๋ จากนั้นทุกคนก็ประหลาดใจกับเรื่องที่ซ่งชูอีเป็นอาจารย์ขององค์ชายตั้ง ร่วมลงชื่อในหนังสือแนะนำให้มีการเปลี่ยนตัว
ครั้งนี้ชูหลี่จี๋มิได้ปราบปราม ทั้งยังแสดงความสนับสนุนต่อหน้าอิ๋งซื่อ
เนื่องจากองค์ชายตั้งยังเด็กและไม่อาจทนต่อความหนาวเย็นได้ ซ่งชูอีจึงหยุดการสอนชั่วคราว ในขณะนี้นางต้องการใช้พลังงานทั้งหมดของนางเพื่อการต่อสู้ของฉินเว่ย
บัดนี้เว่ยอ๋องชราภาพแล้ว ร่างกายก็แย่ลงทุกที ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทและองค์ชายซื่อก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ หากอาศัยเหตุการณ์นี้ก็สามารถทำลายกิจการภายในของรัฐเว่ยได้เท่านั้น แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมันในบัดดล
รัฐเว่ยตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางที่สุดในหลายรัฐ ภูติศาสตร์เปิดกว้างทุกด้านและเป็นที่ราบทั้งหมด หากมีรัฐใดรัฐหนึ่งกลืนกินพื้นที่เป็นวงกว้างก็ย่อมก่อให้เกิดความตื่นตัวและการต่อต้านในรัฐอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นใน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ซ่งชูอีจึงเลือกที่จะลงมือจากรัฐฉู่ก่อน
ตู้เหิงแตะต้องสุสานบรรพบุรุษนับเป็นโอกาสอันดีที่สวรรค์ประทาน รัฐฉินสามารถใช้โอกาสนี้ในการพิชิตเมืองที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และกินพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมดของรัฐเว่ยกับด่านหานกู่
ซ่งชูอียืนเหม่ออยู่หน้าแผนที่ ครั้งนี้มีท่านแม่ทัพซือหม่าเป็นผู้นำทัพ นางจึงไม่ต้องกังวลกับการสู้รบแนวหน้า นางเกรงว่าตัวหมากรุกเยี่ยงสวีจ่างหนิงอาจอยู่ได้ไม่นานแล้ว
นางและสวีจ่างหนิงใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ในตอนแรกเขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงทำตามแผนของนางให้องค์ชายซื่อเห็นความสำคัญ ทว่าบัดนี้เขากลายเป็นน้องเขยขององค์ชายซื่อแล้ว ด้วยการเล่นพรรคเล่นพวกระดับนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตอีกต่อไป ทว่าหากองค์ชายซื่อพบว่าเขาเป็นไส้ศึกก็จะตายอย่างไร้ที่ฝังทันที ไม่ต้องพูดถึงความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ด้วยซ้ำ
แต่อย่างน้อยก่อนที่จะกำจัดองค์รัชทายาท สวีจ่างหนิงยังต้องทำให้ตำแหน่งของตัวเองมั่นคง ซ่งชูอีเดาว่าครั้งนี้ถึงเวลาที่จะต้องยุติการเดินหมากของรัฐเว่ยแล้ว
“กั๋วเว่ย! ราชทูตลับขอพบขอรับ”
ซ่งชูอีหมุนตัวไป “เข้ามา”
กู่หานซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและสวมหน้ากากเดินเข้ามา ยื่นกระบอกจดหมายให้ด้วยสองมือ “นี่คือจดหมายจากสวีจ่างหนิงขอรับ”
ซ่งชูอีรับมาอ่านรอบหนึ่ง
ระหว่างที่นางกำลังอ่าน กู่หานพูดขึ้นว่า “ที่รัฐเว่ยยังมีข่าวว่า เว่ยอ๋องประชวรมาเดือนกว่าแล้ว อาการร้ายแรง องค์รัชทายาทกำลังตามหาเปี่ยนเชวี่ยเป็นการส่วนตัว ระยะนี้มีองค์รัชทายาทเป็นผู้ปกครองรัฐ องค์รัชทายาทเปิดแท่นบูชาและสาบานกับบรรพบุรุษของเขาว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อล่วงเกินสุสานของอดีตกษัตริย์แห่งรัฐฉิน”
ที่แท้องค์ชายซื่อก็ตกอยู่ในความเสี่ยง ซ่งชูอีเอ่ย “หึ มิน่าเล่า คำพูดของสวีจ่างหนิงจึงเร่งด่วนนัก”
ซ่งชูอีมีแผนการที่ดีอยู่แล้วในใจแล้ว คลี่ผ้าไหมสีขาวออกทันที หยิบพู่กันขึ้นเขียนจากนั้นก็ปิดผนึกไว้ในกระบอกจดหมายด้วยขี้ผึ้ง “บอกสวีจ่างหนิง เขาจะได้เพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งหรือจะหัวหลุดจากบ่าล้วนขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว! รีบไป!”
“ขอรับ!” กู่หานเอากระบอกจดหมายใส่ไว้ในอก