ตอนที่ 104 ไม่รนหาที่ตายย่อมไม่ตาย (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ชิวเยี่ยไป๋นั่งจิบน้ำชาเงียบๆ แต่รู้สึกอึดอัด

 

 

ยอดเยี่ยมหรือ

 

 

นางกลับรู้สึกว่าตัวเองยอดแย่ ถ้ารู้แต่แรกว่าการอ้างชื่อค่งเฮ่อเจียนทำเอานางต้อง ‘ขายตัว’ ให้ไอ้วิตถาร เป็นตายอย่างไรนางจะไม่มีวันทำการค้าขาดทุนรายนี้แน่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกจึงกล่าวว่า “เป๋าเป่า ในเมื่อเจ้ากุมอำนาจและอิทธิพลของเจี่ยงเฟยโจวแล้ว ก็ให้พวกลูกน้องออกไปหาข่าวในเมืองหลวงเกี่ยวกับตระกูลเหมยบ้างสิ เผื่อจะได้อะไรบ้าง”

 

 

นางเป็นชาวยุทธจักร แม้จะไม่อาจสืบสวนความลับและสายสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนของพวกตระกูลใหญ่เช่นคนในตระกูลโจวได้ แต่โจรสลัดจัดเป็นชาวยุทธจักร การสืบสวนพวกโจร สำนักหอซ่อนกระบี่หาข่าวได้ดีกว่าทางการเสียอีก นางรู้สึกว่าตระกูลเหมยเป็นปมสำคัญ ปล่อยให้โจวอวี่ไปสืบตามลำพังนางไม่วางใจ ยังคงต้องหาแหล่งข่าวหลายทางจะดีกว่า

 

 

เป๋าเป่าพยักหน้าเห็นด้วยทันที

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จัดแจงเสร็จสรรพพลันนึกขึ้นมาได้ จึงถามอีกว่า “เหตุเกิดกะทันหัน หลังเจ้าปลอมตัวเป็นเจี่ยงเฟยโจวแล้ว มีใครพบพิรุธหรือไม่”

 

 

การจะปลอมตัวเป็นอีกคน จำเป็นต้องเฝ้าสังเกตเป้าหมายล่วงหน้าจึงจะไม่มีพิรุธ แต่การฆ่าเจี่ยงเฟยโจวแล้วให้เป๋าเป่าปลอมตัวแทนเป็นเรื่องที่ตัดสินใจตอนนั้นเลย เกิดมีใครพบพิรุธเข้า พวกเขาจะได้เตรียมการแต่เนิ่นๆ

 

 

เป๋าเป่าคิดอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “ที่ผ่านมา ข้าพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับพวกที่คุ้นเคยกับเจี่ยงเฟยโจว หรือถึงอยู่ด้วยกันก็แสร้งทำเป็นอารมณ์ไม่ดีไม่แน่ไม่นอน และเมื่อเกิดเรื่องเฮงซวยในกองคั่นเฟิงพักนี้ การแสดงออกของข้าจึงมิได้เกินเลยแต่อย่างใด น่าจะ…ไม่มีพิรุธ”

 

 

นางฟังเป๋าเป่าแล้วยังคงรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าไม่สบายใจตรงไหน บัดนี้คิดให้ละเอียดแล้วอาจเพราะหมากการปลอมตัวเป็นเจี่ยงเฟยโจวน่าจะไม่ค่อยเหมาะนัก เพราะไม่มีใครรู้ว่าเจี่ยงเฟยโจวมีการติดต่ออย่างไรกับพระพันปีและคนตระกูลตู้ หากเคราะห์ร้ายอีกฝ่ายพบว่าไม่เหมือนเดิม จะทำให้น่าสงสัย

 

 

แต่ถึงขั้นนี้แล้วคงได้แต่เลยตามเลย

 

 

“เดี๋ยวฝากเรื่องเจ้าแล้ว ข้าจะไปหารือกับเทียนซูที่หอไผ่เขียว” ชิวเยี่ยไป๋สั่งการบางอย่างให้เป๋าเป่าคอยระวัง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนของกองทิงเฟิงกับกองปู่เฟิงคงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจพวกมัน ไว้โจวอวี่กลับถึงบ้าน เจ้าไปคัดคนในกองคั่นเฟิงที่ลุกจากเตียงได้สักหลายๆ คน ตามไปสืบพวกตระกูลเหมยกับพวกพ่อค้าที่โดนปล้นหน่อย”

 

 

นางนึกดูแล้วเสริมว่า “เอ้อ ยังมีที่อู่เฉิงปิงหม่าซือด้วย ที่นั่นน่าจะมีข้อมูลดิบเกี่ยวกับการปล้น บอกโจวอวี่ว่าไม่ต้องฝืน ถ้าทางอู่เฉิงปิงหม่าซือไม่ยอมให้ข้อมูลก็ไม่เป็นไร” จะสืบคดีนี่นา ย่อมต้องทำท่าทำทางให้เหมือนหน่อย จึงจะสามารถเติมเต็มพวกคนที่อยากเห็นทั้งที่เปิดเผยและที่ซ่อนเร้น

 

 

หลังเป๋าเป่ารับคำสั่งออกไปแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ก็เตรียมจะเดินทางไปหอไผ่เขียว พลันได้รับข่าวด่วนจากเด็กรับใช้ของตระกูลชิว บอกว่าที่จวนมีธุระขอให้นางรีบไป

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กับหนิงชุนจึงจำต้องกลับไปที่จวนตระกูลชิวก่อน คาดไม่ถึงว่าพอเข้าประตูใหญ่ก็ปะกับเป่ยเทียนซือไท่ที่เตรียมจะออกไปและชิวซั่นหนิงที่ตามหลังเป่ยเทียนซือไท่มา ชิวเยี่ยไป๋เห็นชิวซั่นหนิงที่สวมชุดนักพรตขาวสะอาดย่อคารวะให้ตนอย่างนอบน้อม ส่งเสียงเรียก “พี่สี่” แล้วก้มหน้าไม่พูดไม่จา ถือว่าเรียบร้อยดี

 

 

ท่าทางของชิวซั่นหนิงเหมือนยอมรับชะตากรรมกับการเป็นสตรีชาวบ้านในวันข้างหน้าโดยดุษณี หรือจะกล่าวว่าตัดใจจากลาภยศสรรเสริญแล้วก็ได้ ดังนั้นดูแล้วจึงสงบเยือกเย็น แต่ชิวเยี่ยไป๋ยังคงสังเกตเห็นว่า แม้กลิ่นอายความยโสสูงศักดิ์ของนางจะทอนลง แต่แววตากลับดุร้ายพิกล

 

 

แม้เป่ยเทียนซือไท่จะไม่สู้พอใจการแสดงออกของนาง แต่ยังคงต้องฝืนใจให้หน้าชิวเยี่ยไป๋ที่ยอมให้ชิวซั่นหนิงไปเป็นลูกศิษย์ตน จึงทักทายชิวเยี่ยไป๋ตามมารยาท แล้วก็พาชิวซั่นหนิงออกเดินทางเพื่อไปพบกับสหายเก่าในอารามของเมืองหลวง

 

 

เดิมทีชิวเยี่ยไป๋วางแผนไว้ให้หลังเป่ยเทียนซือไท่ออกจากราชธานีก่อนจึงจะปล่อยให้ชิวซั่นหนิงออกจากจวนตระกูลชิว จากนั้นติดตามซือไท่ไปให้พ้นจากเมืองหลวงจริงๆ แม้จะรู้สึกว่าซือไท่ให้ชิวซั่นหนิงที่กำลังอยู่บนยอดคลื่นออกเดินทางขณะนี้จะไม่ค่อยเหมาะสม แต่นางก็รู้ว่าเป่ยเทียนซือไท่ย่อมพบเห็นแววชั่วร้ายและเคียดแค้นในดวงตาของชิวซั่นหนิง จึงตั้งใจจะอบรมชิวซั่นหนิงต่อหน้าตน นางย่อมไม่อาจขัดเจตนาดีของเป่ยเทียนซือไท่ จึงกระซิบเตือนชิวซั่นหนิง ห้ามมิให้นางหาเรื่องหาราว ดูเหมือนชิวซั่นหนิงจะผวากับเหตุการณ์ที่ถูกนางจัดการเมื่อครั้งก่อน จึงรีบรับปากแต่โดยดี

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เหม่อมองตามเงาหลังของซือไท่และชิวซั่นหนิง นางไม่อยู่ในจวนครึ่งเดือน ชิวซั่นหนิงยังเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แล้วชิวซั่นจิงเล่า

 

 

โดนชิวซั่นหนิง ‘รับใช้’ นานขนาดนี้ บัดนี้มีสภาพอย่างไร

 

 

และแล้วนางก็ได้รู้สภาพของชิวซั่นจิงอย่างรวดเร็ว นี่คือสาเหตุที่ชิวเฟิ่งหลานเรียกนางกลับมา

 

 

ชิวซั่นจิง…บ้าไปแล้ว!

 

 

นางพูดไม่ได้แล้ว ได้แต่ส่งเสียง ครืดคราด ในลำคอ สองมือขยับได้เล็กน้อย…ฝีมือการสกัดจุดของชิวเยี่ยไป๋ค่อนข้างพิสดาร คนฝึกวรยุทธ์ทั่วไปจะดูไม่ออก เมื่อเวลาผ่านไปจุดที่ถูกสกัดไว้จะค่อยๆ คลายไปเอง เลือดลมที่ถูกสกัดไว้จะโปร่งโล่งเป็นปกติภายในหนึ่งเดือน ดูแล้วจะเหมือนคนเพิ่งหายป่วย จึงไม่มีใครสงสัย

 

 

เดิมทีนางวางแผนไว้ว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ถ้าชิวซั่นจิงยังไม่ยอมบอกว่าใครบงการอยู่เบื้องหลัง นางก็จะทำให้ชิวซั่นจิงเขียนหนังสือไม่ได้เสียเลย เพื่อให้ชิวซั่นจิงซึ่งตกเป็นเบี้ยคนอื่นถูกตัดขาดไปเลย

 

 

เพราะงานเลี้ยงที่วังติ้งอ๋องคืนนั้น ไป๋หลี่ชูเคยแพร่งพรายให้ทราบว่า ผู้ที่จะทำร้ายนางบนภูเขา

 

 

ชิวซานมิใช่มีแค่กลุ่มเดียว แม้นางจะเคราะห์ร้ายเพราะพัวพันกับไป๋หลี่ชู แต่พวกที่ลงมือกับตนเป็นไปได้ว่าล้วนเป็นพวกหักชิงอำนาจกันของราชวงศ์ ถ้าชิวซั่นจิงตกเป็นเบี้ยของใครก็ตามในกลุ่มคนเหล่านั้น ย่อมจะพัวพันอย่างกว้างขวาง บัดนี้ตนเองเข้าสู่เส้นทางขุนนางแล้ว คนพวกนั้นยืมมือชิวซั่นจิงจัดการกับตนครั้งหนึ่ง แล้วอาจมีครั้งที่สอง และอาจพัวพันมาถึงมารดานางด้วย!

 

 

ดังนั้น ถ้าชิวซั่นจิงไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อนาง ก็จำเป็นต้องกำจัดทิ้งเพื่อความปลอดภัย

 

 

แต่ที่นึกไม่ถึงคือ นางยังไม่ทันตัดสินใจ ชิวซั่นจิงก็กลายเป็นผีดิบเช่นนี้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูชิวซั่นจิงที่อยู่เบื้องหน้า ชิวซั่นจิงพักฟื้นอยู่หนึ่งเดือน ไม่เพียงไม่มีวี่แววว่าจะหายป่วย กลับผอมโซจนเหลือแต่กระดูก ใบหน้าที่เคยอวบอูมผอมจนโหนกแก้มปูดออก ดวงตาทั้งสองข้างไร้แวว พอมีใครเข้าใกล้ก็ตื่นผวา ขดบนเตียงตัวสั่นงันงก ข้อมือผอมแห้งที่โผล่พ้นแขนเสื้อยังมีรอยเขียวช้ำไม่น้อย

 

 

เห็นสภาพของชิวซั่นจิงแล้วนางก็มีคำตอบในใจ และรู้สึกเย็นเยือกจับหัวใจ