เล่ม 5 เล่มที่ 5 ตอนที่ 133 กลางดึก เงาร่างที่คุ้ยเคย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจ้งอยู่ในคุกหลวง ฮั่วซื่อยังมีกะจิตกะใจตกแต่งเรือนให้บุตรสาว ทั้งยังอยู่ในจวนโดยไม่มีท่าทีเศร้าโศกเสียใจหรือกังวลเกี่ยวกับสภาพของซูจ้งแต่อย่างใด

        ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องการให้ซูจ้งกลับมา

        ฮั่วซื่อครอบครองจวนสกุลซูเพียงผู้เดียว ไม่แน่ว่าคิดจะครอบครองแผ่นป้ายสัญลักษณ์ของสกุลซู

        ทว่าคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แท้จริงแล้วเรื่องเป็นอย่างไร นางคงต้องไปห้องหนังสือนั่นด้วยตนเองสักครั้ง

        ซูจิ่นซีไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้มากนัก นางต้องการนำแผ่นป้ายสัญลักษณ์ของสกุลซูมาไว้ในครอบครองโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อถึงยามชวด [1] จึงออกตัวทันที

        แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจวิทยายุทธการต่อสู้ ทว่านางได้เปิดกำไลปี่อั้นขึ้นมา

        ซูจิ่นซีจึงสามารถได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวโดยรอบได้ตลอดเวลา และสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าปลอดภัยหรือไม่

        ประสิทธิภาพนี้มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายล่วงหน้า ล้ำเลิศกว่าการเผชิญอันตรายแล้วค่อยลงมือจัดการเป็นอย่างมาก

        เวลาผ่านไปไม่นาน ซูจิ่นซีก็มาถึงห้องหนังสือ

        ประตูห้องถูกเปิดแง้มไว้ ซูจิ่นซีเดินเข้าไปหลังจากมั่นใจว่าข้างในนั้นปลอดภัยแล้วแน่นอน

        ภายในห้องหนังสือช่างยุ่งเหยิงและระเกะระกะเหลือทน ราวกับขโมยขึ้นอย่างไรอย่างนั้น เอกสารและหนังสือกระจัดกระจายไปทั่วพื้น

        ดูเหมือนว่าซูจิ่นซีจะเดาไม่ผิด ที่นี่เคยถูกรื้อค้นมาแล้วรอบหนึ่ง

        ซูจิ่นซีเดินไปยังด้านข้างชั้นวางหนังสือตามที่ซูจ้งบอกกับนางในคุกหลวง นางพบแจกันโบราณอยู่บนชั้นสามของชั้นหนังสือแล้ว ภายในแจกันโบราณจะพบปุ่มกดหนึ่งปุ่ม หลังจากยกแจกันขึ้น ด้านหลังคือภาพวาดบนกำแพง ทันใดนั้นทางด้านขวาก็มีเสียงดัง “แก๊ก”

        ซูจิ่นซีเดินเข้าไป เอียงลำตัวหลบลูกเกาทัณฑ์ลับสองดอกเล็กน้อยและยกภาพวาดออก

        หลังจากนั้นก็พบอั้นเก๋อหีบเล็กๆ หีบหนึ่งอยู่ด้านหลังภาพวาด

        ภายในอั้นเก๋อ [2] มีกล่องสองกล่องวางอยู่

        ตามที่ซูจ้งบอกใบ้ไว้ ในกล่องทางซ้ายมีแผ่นป้ายสัญลักษณ์ของประมุขสกุลอยู่จริงๆ ซูจิ่นซีแยกกล่องสองกล่องออกจากกัน เปรียบเทียบแผ่นป้ายสัญลักษณ์ของสกุลทั้งสองอัน

        หากไม่ใช่เพราะซูจ้งบอกใบ้ ซูจิ่นซีก็คงแยกไม่ออกว่าอันใดเป็นของจริง อันใดเป็นของปลอมอย่างแน่นอน

        ซูจิ่นซีถือแผ่นป้ายสัญลักษณ์สกุลของจริงไว้ในอ้อมแขน นำของปลอมวางเก็บกลับไปเช่นเดิม

        ขณะกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู กำลังเดินใกล้เข้ามาทางนี้

        ซูจิ่นซีรีบเก็บแผ่นป้ายสัญลักษณ์สกุลคืนสู่อั้นเก๋อในลักษณะเดิม จากนั้นจึงเดินไปที่ด้านหลังประตูอย่างแผ่วเบา

        ผู้ใดอยู่ด้านนอกประตูกัน?

        ซูจิ่นซีขยายขอบเขตช่วงการรับเสียงของกำไลปี่อั้นให้สูงถึงขีดสุด วิทยายุทธของคนผู้นี้สูงส่งเพียงใดกัน คาดไม่ถึงว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการได้ยินของซูจิ่นซีได้ รอจนเดินมาใกล้ถึงหน้าประตูแล้วซูจิ่นซีถึงจะทราบ?

        อย่างไรก็ตามเมื่อบุคคลผู้นั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้หน้าประตู ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าอีกหนึ่งเสียงดังอยู่ไม่ไกล คนผู้นั้นอาจพบความผิดปกติ จึงรีบจากไปโดยทันที

        ซูจิ่นซีรีบเปิดประตู นางมองเห็นร่างหนึ่งกำลังหายลับไปจากระเบียง

        คนผู้นั้นเป็นสตรี ทว่าเงาร่างช่างคุ้นเคยยิ่งนัก…

        เป็นผู้ใดกันแน่?

        ด้วยความกล้า ซูจิ่นซีจึงตัดสินใจเดินตามไปดูว่าความจริงเป็นอย่างไร

        ซูจิ่นซีตามบุคคลผู้นั้นไป เดินอ้อมไปทางสวนเหอเซียงที่นางเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นก็ไม่พบบุคคลผู้นั้นแล้ว

        นกฮูกส่งเสียงร้อง ท่ามกลางลมหนาวอันโศกเศร้า

        ซูจิ่นอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาไปชั่วขณะ

        นางสังเกตสถานการณ์โดยรอบ พบว่าที่นี่เป็นเรือนทางใต้ที่ห่างไกลที่สุดของจวนสกุลซู หากเดินไปอีกก็จะเป็นป่าไผ่รกร้างและบ่อน้ำแห่งหนึ่ง บริเวณโดยรอบมีเพียงแค่เรือนหนึ่งหลังเท่านั้น ด้านในเป็นอนุซุนที่อาศัยอยู่

        ทว่าอนุซุนถูกซูจิ่นซีใช้วิธีการฝังเข็มให้เป็นกลายเป็นผัก ตั้งแต่ก่อนที่ซูจิ่นซีจะออกเรือน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะออกมา

        อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัย ซูจิ่นซีจึงตัดสินใจเข้าไปดูสภาพของอนุซุน

        ซูจิ่นซีเข้าไปในเรือนของอนุซุน

        ในเรือนมีสาวน้อยนางหนึ่งที่คอยรับใช้อนุซุน นางหลับพิงเสาตรงหน้าประตู ข้างกายมีชาที่กำลังเดือดบนเตาฟืนเล็กๆ

        อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ สาวน้อยจึงลืมตาขึ้นมาทันใด

        หลังจากมองเห็นว่าเป็นซูจิ่นซีก็ตระหนกตกใจ รีบลุกขึ้นคำนับซูจิ่นซี “ข้าน้อยพบพระชายา”

        “อนุซุนเล่า? ” ซูจิ่นซีแสดงเจตนาเอ่ยถามขึ้น

        “ทูลพระชายา อนุซุนอยู่ด้านในเพคะ” หญิงสาวชี้ไปที่เรือนด้านหลัง

        ซูจิ่นซีจ้องมองสาวน้อยอย่างละเอียด พบว่านางขลาดกลัวเล็กน้อยเมื่อสนทนากับตน

        ผู้ที่อยู่ด้านนอกห้องหนังสือไม่น่าจะใช่นาง

        “อนุซุนอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ? ” ซูจิ่นซีถามขึ้นอีกครั้ง

        “เพคะพระชายา อนุซุนนอนหมดสติตั้งแต่เป็นโรคหลอดเลือดหดตัวครั้งก่อน ยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยเพคะ ท่านประมุขเคยมาที่นี่อยู่หลายครั้ง บอกว่าอนุซุนจะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาอีกตลอดชีวิตเพคะ”

        ที่หญิงสาวพูดคงไม่ใช่เรื่องหลอกลวง

        “ข้าจะเข้าไปดูอนุซุน เจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกเถิด! ไม่ต้องเข้ามา! ”

        “เพคะ! ”

        หญิงสาวตอบรับอย่างน่าเอ็นดู

        ซูจิ่นซีเปิดประตูและเดินเข้าไป

        ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็น

        อนุซุนไม่ได้ขยับตัวเป็นเวลานาน จึงมีกลิ่นตัว

        เหมือนว่าอนุซุนจะหลับไปเป็นเวลานานแล้ว

        ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่วางใจ นางค่อยๆ เดินไปที่เตียงของอนุซุน

        “อนุซุน… อนุซุน… ”

        ซูจิ่นซีเรียกสองครั้ง อนุซุนไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจคงที่ เหมือนหลับไปอย่างไรอย่างนั้น

        ซูจิ่นซีใช้เล็บหยิกอนุซุน ทว่ายังคงไม่มีการตอบสนอง

        ซูจิ่นซียืนดูอนุซุนเป็นเวลานาน

        ตามหลักแล้วไม่ว่าคนจะแกล้งหลับได้เก่งเพียงใด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะต้องแสดงอาการออกมาอยู่ดี

        ทว่าซูจิ่นซียืนดูอยู่นาน กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

        เมื่อทดสอบมาถึงจุดนี้ ซูจิ่นซีก็ควรวางใจได้แล้ว

        ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่วางใจอยู่ดี

        นางหยิบกระเป๋ายาออกจากแขนเสื้อ ล้วงหยิบเข็มสองสามเล่มออกมาจากด้านใน แบ่งเข็มมาฝังบนมือ บนเท้า ทั้งยังฝังบนลำคอของอนุซุน

        การฝังเข็มชุดนี้เป็นการฝังเข็มที่ทำให้คนธรรมดาเกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ หากอนุซุนแกล้งหลับจริง ภายใต้การฝังเข็มชุดนี้ ทุกอย่างจะเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน

        จนกว่าจะแน่ใจว่าอนุซุนไม่มีวี่แววของการตอบสนอง ซูจิ่นซีจึงจะวางใจได้

        หลังจากนั้น ซูจิ่นซีจึงถอนเข็มทั้งหมดออก

        ก่อนออกไป ซูจิ่นซีได้ทำการฝังเข็มขนาดใหญ่บนศีรษะของอนุซุน

        เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง

        แม้อนุซุนจะฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วยแล้ว ทว่าเข็มที่ฝังเพิ่มเข้าไปนี้จะทำให้นางฟื้นขึ้นมาไม่ได้อีก

        หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วซูจิ่นซีก็เดินออกประตูมา

        สาวน้อยคนนั้นยังคงเฝ้าประตูอยู่ เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินออกมาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองซูจิ่นซีแม้แต่น้อย

        “เอานี่ไป อย่าบอกผู้ใดว่าข้ามาที่นี่”

        ซูจิ่นซีควักเงินออกมาให้สาวน้อยผู้นั้นจำนวนหนึ่ง

        สาวน้อยไม่กล้ารับไว้

        “หรือว่าเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของข้าอย่างนั้นหรือ? ” ซูจิ่นซีกล่าวอย่างดุดัน

        “ข้าน้อยมิไม่บังอาจเพคะ! ”

        สาวน้อยเอื้อมมือไปรับเงินจำนวนนั้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ

        “ดูแลอนุซุนให้ดี! ”

        “เพคะ! ”

        หลังออกมาจากเรือนของอนุซุน ซูจิ่นซีก็คิดเรื่องนี้มาตลอดทาง เงาร่างคุ้นเคยที่อยู่ใกล้ห้องหนังสือเป็นผู้ใดกัน?

        ในเมื่อไม่ใช่อนุซุน แล้วเหตุใดจึงได้นำทางให้นางมาที่นี่?

        บุคคลผู้นั้นมีจุดประสงค์อันใดกันแน่?

        ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ซูจิ่นซีเงยหน้า มองเห็นลวี่หลีเดินมาแต่ไกล

        “คุณหนูเจ้าคะ เจอคุณหนูจนได้ ท่านอ๋องมาเจ้าค่ะ! ”

        เยี่ยโยวเหยามา?

        “มาเมื่อใด แล้วตอนนี้อยู่ที่ใด? ”

        “มาเมื่อตอนคุณหนูเพิ่งออกไปเจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่ในเรือนฮั่นเซียง ท่านอ๋องมาหาคุณหนูโดยเฉพาะ ไม่ได้เข้ามาทางประตูใหญ่ คนในจวนจึงไม่มีผู้ใดรู้เจ้าค่ะ”

        พ่อคนนี้ ดึกดื่นยามสามป่านนี้ควรจะอยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋นไม่ใช่หรือ?

        มาหานางด้วยเหตุใดกัน?

        อีกทั้งยังไม่เข้าทางประตูหลักอีกด้วย?

        หูของซูจิ่นซีขึ้นริ้วแดง ทันใดนั้นก็นึกถึงนิยายรักๆ ใคร่ๆ ที่เคยอ่าน ฉากที่พระเอกปีนข้ามกำแพงมาหานางเอกที่เตียงกลางดึกยามสาม

        เขาคงไม่ได้มา…

……