บทที่ 352 ฉินเหยาเยว่หายตัวไป?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

การสยบกระบี่อวี๋ฉางได้อย่างสะดวกราบรื่นเป็นเรื่องที่เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึง เดิมทีคิดว่าจะต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก จะอย่างไรคนในตำนานที่เคยใช้กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มก็แข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นเพียงรอยประทับจิตวิญญาณเล็กๆ ก็มากพอที่จะทำให้เย่เทียนเฉินต้องต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสำคัญกระบี่อวี๋ฉางก็ใช้ปราณกระบี่ดั้งเดิมของตนกักขังวิญญาณที่บุคคลในตำนานประทับเอาไว้ในตัวกระบี่ ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ ถูกเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบจนศีรษะกระจุยไปครึ่งหนึ่ง สุดท้ายจึงหายไป

กระบี่ทุกเล่มในหมู่ 10 กระบี่บรรพกาลมีพลังดั้งเดิมที่สุดของมันอยู่ หากต้องการไปถึงขั้นที่สามารถใช้ได้อย่างแท้จริงก็ต้องนำความคิดและพลังของตนหลอมรวมเข้าไป และได้รับการยอมรับจากพลังดั้งเดิมที่อยู่ภายในตัวกระบี่

แต่ในกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางที่เย่เทียนเฉินสยบได้ บุคคลในตำนานผู้นั้นก็ใช้รอยประทับจิตวิญญาณของตนสยบพลังดั้งเดิมในตัวกระบี่เอาไว้ ไม่ได้หลอมรวมกับมันอย่างแท้จริง มิฉะนั้นเขาคงไม่ได้กระบี่เทพทั้งสองเล่มมาง่ายๆ ขนาดนี้ ที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจก็คือ บุคคลในตำนานที่เคยใช้กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มนี้ ทำไมถึงไม่นำพลังของตนหลอมรวมเข้ากับพลังดั้งเดิมของกระบี่?

มันมีปัญหาอะไรอยู่กันแน่? หรือจะกล่าวว่าหากต้องการหลอมรวมพลังของตนและพลังดั้งเดิมของกระบี่เข้าด้วยกันเป็นเรื่องยาก?

หากคิดจะหลอมรวมพลังของตนและพลังของกระบี่เข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ในส่วนนี้เย่เทียนเฉินเองก็เคยประสบมาแล้ว เขาทำได้เพียงใช้เวลารอให้ความสามารถของตนเติบโต ค่อยๆ ทำให้เป็นจริง ตอนนี้ทำได้เพียงบังคับกระบี่ทั้งสองเล่มนี้เท่านั้น กระทั่งทำไมคนในตำนานคนนั้นถึงไม่หลอมรวมพลังเข้าไปก็ยังไม่อาจรู้ได้!

เย่เทียนเฉินเก็บกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉาง นำพวกมันไปใส่ไว้ในช่องว่างเก็บของภายในร่างกายของตน เดินเข้าไปในคฤหาสน์ ตอนนี้เสี้ยวหยากำลังยกบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วออก มาถ้วยหนึ่งเป็นบะหมี่ใส เป็นบะหมี่ของเสี้ยวหยาเอง อีกถ้วยหนึ่งเป็นบะหมี่ผัดซอส ด้านบนมีเนื้อบดอยู่จำนวนมาก ดูแล้วไม่เลวเลย

“ทำไมสองถ้วยไม่เหมือนกัน?” เย่เทียนเฉินนั่งลง อดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม

“นายลองชิมดูก่อนสิ อร่อยหรือเปล่า…” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างอ่อนโยน

เมื่อเห็นท่าทีระมัดระวังของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เสี้ยวหยาทำบะหมี่ผัดซอส จึงยิ้มออกมา ทำท่าทางอยากกิน ใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาแล้วกินเข้าไปคำใหญ่ หลังจากกินลงไปพบว่าเย่เทียนเฉินมองตนอย่างเคร่งเครียด พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“รสชาติไม่เลวเลย คิดไม่ถึงว่าบะหมี่ผัดซอสที่เธอทำจะอร่อยเหมือนกัน!”

“จริงเหรอ? ฉันยังคิดว่าฉันทำไม่อร่อยซะอีก ได้ยินพี่สาวอวี่สวิ๋นบอกว่านายชอบกินบะหมี่ผัดซอสตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อครู่นี้เลยคิดจะลองทำดูซักหน่อย นายชอบก็ดีแล้ว!” เสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักอย่างไร้เดียงสา

ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจ เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่จริงใจและใจดีคนหนึ่ง มักจะคิดถึงคนอื่นทุกเมื่อ ควรจะทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องเจ็บปวดและโศกเศร้าถึงจะถูก เพียงแต่การตายของแม่เธอกลายเป็นความเจ็บปวดไปตลอดกาลแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับมาได้ สิ่งที่ตนสามารถทำได้ก็คือ ทำให้วันเวลาต่อจากนี้ไปของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เสี้ยวหยาเห็นท่าทางเย่เทียนเฉินกินอย่างดีใจอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก กินไปพลางพูดกับเย่เทียนเฉินไปพลาง หลังจากกินอาหารมื้อนี้ลงไปก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เดิมทีเย่เทียนเฉินคิดจะล้างจาน แต่เสี้ยวหยาไม่สนใจคำโน้มน้าวของเย่เทียนเฉิน แย่งจานและตะเกียบทั้งสองไปแล้วพูดขึ้นว่า

ทำอาหาร ล้างจาน เก็บกวาดบ้าน ล้วนเป็นเรื่องของผู้หญิง เย่เทียนเฉินไม่ต้องทำ!

ความดีของเสี้ยวหยา ความอ่อนโยนและความใจดีของเสี้ยวหยา ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกซาบซึ้งมาก หากพูดถึงผู้หญิงในยุคปัจจุบันนี้ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่รู้จักทำกับข้าวล้างจานเก็บกวาดบ้าน เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ผู้หญิงสมควรกระทำ บางทีอาจจะมีบางคนกล่าวว่าทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน แต่ละคนเท่าเทียมกัน นี่ก็ไม่ผิดอะไร แต่ตอนนี้ผู้หญิงหลายคนมีความคิดผู้หญิงเป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้างั้นทำไมถึงไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงล่ะ?

หลังจากเสี้ยวหยาล้างจานเก็บกวาดห้องครัวเสร็จ เย่เทียนเฉินก็นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา ภายในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หญิงโสดชายโสด ถึงแม้บรรยากาศจะไม่กระอักกระอ่วนแต่ก็ไม่ดีถึงขั้นนั้น เมื่อเห็นเสี้ยวหยาเดินออกมา เย่เทียนเฉินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“หยาเอ๋อร์ พรุ่งนี้เธอต้องไปเรียน พักผ่อนเถอะ อีกสักพักฉันก็จะนอนแล้ว!”

“อืม ใช่แล้วเทียนเฉิน ช่วงนี้นายไม่ไปเรียนเหรอ?” เสี้ยวหยาถามด้วยความแปลกใจ

“อาจจะไม่มีเวลาไป เรื่องทางนี้วุ่นวายมาก มีอะไรเหรอ?”

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่ได้ยินว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะพวกนายดูเหมือนจะลาออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงลาออกกะทันหัน…” เสี้ยวหยาคิดถึงข่าวลือในมหาวิทยาลัยวันนี้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา

“ลาออกแล้ว? ฉินเหยาเยว่น่ะเหรอ?” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัยเช่นกัน

“ใช่แล้ว ได้ยินว่าวันนี้มีคนไปหาฉินเหยาเยว่ที่ตึกการเรียนการสอนของคณะโบราณคดี และยังทะเลาะกันด้วย จากนั้นอาจารย์ฉินก็ไปยื่นใบลาออก!” เสี้ยวหยาพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

เย่เทียนเฉินชะงักไป จากนั้นมองไปที่เสี้ยวหยาแล้วพูดว่า

“ไม่ต้องสนใจเธอหรอก เธอลาออกแล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็จะส่งอาจารย์คนอื่นมา เธอไปนอนเถอะ อีกสักพักฉันก็จะนอนแล้ว ดูทีวีก่อนซักหน่อย!”

“อืม!”

เมื่อเห็นเสี้ยวหยาเดินขึ้นไปชั้นสองของคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้นนั่งบนโซฟา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกอยู่บ้าง ฉินเหยาเยว่ไม่ใช่คนธรรมดา วิชาสะกดใจแข็งแกร่งมาก และเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่งด้วย

ครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้พบกับฉินเหยาเยว่ก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากนั้นจึงพบว่าความสามารถของฉินเหยาเยว่แข็งแกร่งมาก แล้วยังมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้คณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยหลงเถิงอีกด้วย แต่ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าเท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแน่นอน บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ แต่เย่เทียนเฉินไม่คิดว่าฉินเหยาเยว่จะมามหาวิทยาลัยหลงเถิงเพื่อมาสอนหนังสือ

บนร่างของผู้หญิงคนนี้จะต้องมีเรื่องราวอยู่แน่นอน จะต้องมีจุดประสงค์ของเธออยู่ ตอนนี้ลาออกอย่างกะทันหัน จะต้องไม่ธรรมดาแน่

เวลาตีสอง ประตูห้องของเสี้ยวหยาถูกเปิดออก ถึงแม้เธอจะล็อกประตูไว้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้องนอนของเสี้ยวหยา มองเสี้ยวหยาที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ยื่นมือขวาของตนออกไปค่อยๆ ห่มผ้าห่มให้เสี้ยวหยา ในตอนที่มือขวาสัมผัสศีรษะของเสี้ยวหยา มือขวาของเย่เทียนเฉินก็ส่องแสงขึ้นเหมือนกับกลิ่นอายพลัง ครอบคลุมเสี้ยวหยาตั้งแต่หัวลงไปจนทั่วทั้งร่าง นี่คือการปกป้องที่เย่เทียนเฉินมีให้เสี้ยวหยา ถ้าหากมีอันตรายถึงชีวิต พลังพิเศษนี้ก็จะคุ้มครองเสี้ยวหยา ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินก็จะรู้ทันทีด้วย

หลังจากทิ้งพลังพิเศษเอาไว้ในร่างกายของเสี้ยวหยาเพื่อปกป้องเธอ เย่เทียนเฉินก็เดินออกไปจากคฤหาสน์ ในชั่วขณะที่เดินจากไป เย่เทียนเฉินใช้พลังคุ้มครองไว้อีกครั้ง ปกป้องไว้ทั่วทั้งคฤหาสน์ ขอเพียงไม่ใช่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเกินพิกัดมาโจมตี เย่เทียนเฉินเชื่อว่าคนที่จะสามารถทำลายพลังคุ้มครองนี้ของตนมีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงมีคนมาโจมตีคฤหาสน์ตนก็จะรู้ทันทีและสามารถกลับมาได้ทันเวลา

เวลาตีสี่ เย่เทียนเฉินปรากฏตัวภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเพียงคนเดียว ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเงียบสงบ ภายในมหาวิทยาลัยไม่มีคนแม้แต่คนเดียว กระทั่งยามที่ต้องเดินตรวจตราก็หลับไปแล้ว ถึงแม้ประตูใหญ่จะปิดสนิท แต่เย่เทียนเฉินก็ลอบเข้าไปโดยไม่ถูกใครพบ เขาเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิงช้าๆ แบบนี้ การลาออกอย่างกระทันหันของฉินเหยาเยว่ทำให้เขาจำเป็นต้องมาดูสักหน่อย ผู้หญิงคนนี้ลาออกกระทันหัน ผิดปกติมาก ควรจะมีเหตุผลอะไรถึงจะถูก ดังนั้นเขาจึงต้องไปดูที่ตึกการเรียนการสอนของคณะโบราณคดีเสียหน่อยว่าจะมีเบาะแสอะไรหรือไม่

ยามค่ำคืนที่ไร้ผู้คนเช่นนี้ เย่เทียนเฉินเดินไปยังบริเวณประตูของตึกการเรียนการสอนคณะโบราณคดี ประตูถูกล็อกอยู่ เย่เทียนเฉินกระโดดครั้งหนึ่งขึ้นไปถึงชั้นที่มีห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาของตึกการเรียนการสอนอยู่ มองไปรอบด้าน เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ฉินเหยาเยว่หลงเหลือเอาไว้เลย จึงต้องขมวดคิ้ว ไม่ว่าคนหรือสัตว์หรืออาจกล่าวได้ว่าสิ่งของใดๆ ก็ตาม เมื่ออาศัยอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งก็จะต้องหลงเหลือกลิ่นอายเอาไว้ กลิ่นอายนี้คนปกติจะมองไม่เห็น

แต่ผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแบบเย่เทียนเฉิน ขอเพียงใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ก็จะค้นพบได้ แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปแล้ว สำรวจตึกโบราณคดีทั้งตึกไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังสัมผัสกลิ่นอายของฉินเหยาเยว่ไม่ได้ นี่มันผิดปกติมาก

“ดูท่าจะไปอย่างสะอาดสะอ้านจริงๆ ไม่เหลืออะไรไว้เลย ถ้ารู้แบบนี้ฉันควรจะตรวจสอบเรื่องของเธอก่อน!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

เดิมทีการที่เขามาเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง ประการแรกเป็นเพราะเป็นการจัดการภายในครอบครัวของเย่เทียนเฉิน เขาเองก็เพิ่งจะอายุ 20 ปี ตามการพัฒนาของสังคม ถ้าไม่เล่าเรียนแล้วจะทำอะไรได้ นอกจากนั้นหยางอี้และยังมีท่านผู้นำสูงสุด ต่างให้เย่เทียนเฉินมาจับตาดูการแข่งขันยอดฝีมือของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณที่นี่อีกด้วย

พรรควรยุทธโบราณลึกล้ำไม่อาจคาดเดา กระทั่งคนระดับสูงของทางการก็ยังต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จะอย่างไรคนของพรรควรยุทธโบราณก็เหมือนกับผู้มีพลังพิเศษ เป็นกลุ่มคนที่ต่างออกไป กระทั่งทางการก็ไม่สามารถควบคุมได้ง่ายๆ ทำได้เพียงควบคุมข้อมูลเอาไว้ในมือ ดังนั้นการแข่งขันของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้จึงได้รับความสนใจจากคนระดับสูงของทางการมาก

ได้ยินชางหลางและเฮยเมี่ยนกล่าวว่า พรรควรยุทธโบราณทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศจีนต่างให้สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากครั้งนี้ พรรคใหญ่ทั้งสี่พรรคต่างส่งคนในพรรคของตนมาทั้งสิ้น เป็นผู้แข็งแกร่งที่อายุน้อยที่สุด ไม่ว่าพรรคไหนจะชนะหรือบางทีอาจจะแพ้ ล้วนดึงดูดการต่อสู้ระหว่างพรรควรยุทธโบราณ เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้ตัดสินความเป็นความตายของแต่ละคน จะต้องมีคนได้รับบาดเจ็บล้มตายแน่ และพรรคอื่นๆ และยอดฝีมือคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถสอดมือได้ ทำได้เพียงต่อสู้แย่งชิงกันในหมู่สี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น

ระยะนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้มามหาวิทยาลัย เขาคาดเดาว่าการต่อสู้ของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณอาจจะยืดเวลาออกไป หรือบางทีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในตอนที่เขาไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของฉินเหยาเยว่กลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งอีกหลายสาย ในตอนที่อยู่ที่ภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เขาก็ต้องขมวดคิ้ว หลงเหลือไว้เพียงภาพติดตา หายไปแล้ว!