สองฮ่องเต้ปรากฏตัว

 

 

 

หานลี่และพวกคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่สำเภาวิญญาณที่พวกเขาขับเคลื่อนออกไปห่างจากระเบิดอสนีได้ไม่ไกลนัก กลุ่มเมฆสีดำที่พันรอบร่างเต่าอสนีก็หายไป เผยหน้าตาที่แท้จริงออกมา

 

 

ไม่ต้องพูดถึงว่าเต่าตัวนี้มีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร กระดองเต่าขนาดยักษ์สีเทาเข้ม แต่เปล่งแสงเจิดจ้าสีทองออกมา ดูเหมือนเกลี้ยงเกลาอย่างหาที่เปรียบมิได้

 

 

สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ นอกจากแขนข้าทั้งสี่ของเต่าตัวนี้แล้ว กลับมองไม่เห็นหัวหรือหาง ดูแล้วคงกำลังหดอยู่ในกระดอง ไม่ได้โผล่ออกมา

 

 

ครานี้ระเบิดอสนีระเบิดจนหมดแล้ว ท้องฟ้าทั้งหมดถูกลำแสงสีฟ้าอาบย้อมเอาไว้ จากท้องฟ้าที่สดใสมีประจุไฟฟ้าสีฟ้าขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับห่าฝน เล็กน้อยก็มีขนาดแค่สองสามฉื่อ ใหญ่หน่อยก็มีความยาวถึงสิบจั้งเศษ ล้วนตกลงมาบนพื้นอย่างน่าครั่นคร้าม เสียงอสนีฟ้าฟาดกลืนกินท้องฟ้าไปทั้งหมด

 

 

จากร่างกายที่ใหญ่โตของเต่าอสนี แน่นอนว่าจึงรับประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ แต่เมื่อประจุไฟฟ้าทั้งหมดสัมผัสกับร่างของเต่าตัวนั้น กลับจมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับโคลนที่จมลงไปในมหาสมุทร

 

 

สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ผิวของเต่าตัวนี้มีลำแสงสีขาวแผ่ออกเป็นระลอกๆ ประจุไฟฟ้าที่ตกลงรอบๆ กลับถูกดูดเข้าไปข้างในราวกับถูกพลังแม่เหล็กดูดเข้าไป ล้วนเปลี่ยนทิศพุ่งไปยังแผ่นหลังของเต่าตัวนั้น เช่นนี้ ประจุไฟฟ้ากว่าครึ่งที่ปรากฏขึ้นในระเบิดอสนี จึงถูกเต่าตัวนี้ดูเข้าไปในร่างกายจนหมดเต่าตัวนี้วาดแขนขาทั้งสี่ไปมาอย่างช้าๆ กลับดูเหมือนว่าพอใจมากที่อยู่ในระเบิดอสนี

 

 

ฉับพลันนั้นแขนข้าทั้งสี่ของเต่ายักษ์ก็หยุดชะงัก ชั่วครู่ก็หดเข้าไปในกระดองเต่าอย่างไม่รู้สาเหตุ

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้ารอบๆพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้น ลำแสงหลากสีสันพุ่งออกมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า หลังจากที่ลำแสงหม่นแสงลง วิหคกระดูกขนาดยักษ์แผ่สีสันหลากสีพลันปรากฏขึ้น

 

 

ถึงแม้ว่าวิหคกระดูกตัวนี้จะมีขนาดแค่สิบจั้งเศษ แต่ความน่าเกรงขามที่แผ่มาจากเรือนร่างของมัน ก็ไม่ด้อยไปกว่าเต่ายักษ์ที่ดูดซับอัสนีท่ามกลางระเบิดอสนีเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ ส่วนหัวของวิหคกระดูกนี้มีเงาร่างคนสองสายยืนอยู่

 

 

คนหนึ่งสูงสองจั้งแผ่ลำแสงสีดำออกมาจากเรือนกาย อีกคนหนึ่งร่างกายธรรมดา กลับถูกเมฆสีเขียวอ่อนกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน

 

 

“ไม่เลว ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะถูกส่งตัวมาที่นี่ และยังมาเจอกับเหยื่อที่โอชะขนาดนี้ มารยักษ์สิบหัวที่ข้าอยากหลอม ยังขาดวัตถุดิบอยู่นิดหน่อยพอดี เต่าอสนีตัวนี้ก็พอจะใช้ได้” เงาร่างคนหนึ่งในนั้นมองไปยังเต่ายักษ์ แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองขึ้นมา

 

 

“พี่เทียนเมี่ยว ของระดับนี้เป็นวาสนาของผู้พบเห็น มารสิบหัวของเจ้าใช้แค่โครงกระดูกของมัน ข้าช่วยเจ้าสังหารเต่าตัวนี้ แต่ไข่มุกอสนีสองเม็ดในร่างเต่าอสนี ข้าน้อยจะรับไว้” เงาร่างคนอีกคนหนึ่งได้ยินกลับเอ่ยพร้อมฉีกยิ้ม

 

 

“หึ พี่เสวียนอู่ช่างเจ้าแผนการนัก สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในร่างของเต่าตัวนี้ก็คือไข่มุกอสนีทั้งสองเม็ด สหายเอ่ยปากก็จะเอาทั้งสองเม็ด ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ?” เงาร่างคนในไอสีเขียวแค่นเสียงออกมา ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจนัก

 

 

“หึๆ ถึงแม้ว่าไข่มุกอสนีจะยอดเยี่ยม แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเจ้าและข้ามากนัก ที่ข้าต้องการมันเพราะมีเป้าหมายอื่น ไม่เช่นนั้น ข้าเอาแขนของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลน แลกกับไข่มุกอสนีสองเม็ดเป็นอย่างไร?” มนุษย์ร่างสูงใหญ่ดูเหมือนว่าจะไม่อยากโต้เถียงกับอีกฝ่ายนัก จึงเสนอเงื่อนไขออกมา

 

 

“มีเป้าหมายอื่น? อ๋อ ข้าเกือบลืมไป ชานหลิงตัวนั้นของพี่เสวียนอู่ ก็คือเต่าอสนี พี่เสวียนอู่อยากนำไข่มุกอัสนีสองเม็ดไปเพิ่มอายุขัยให้อสูรตัวนั้นสินะ” เงาร่างคนในไอสีเขียวเอ่ยอย่างถึงบางอ้อ

 

 

“สหายรู้แล้วก็ดี! อายุขัยของชานหลิงยืนยาวมาก มีประโยชน์ต่อเผ่ามนุษย์เป็นอย่างมาก มันสามารถนำมาใช้ต้านทานกับครึ่งจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ หากเกิดสงครามทำลายล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นตัวช่วยอีกแรงของข้าได้ พี่เทียนเมี่ยวคงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอกกระมัง” เงาร่างสูงใหญ่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

 

 

“ในเมื่อมีประโยชน์ต่อพี่เสวียนอู่จริงๆ น้องก็จะทำตัวเป็นคนเลว ตกลงตามนี้ ทว่าพวกเราต้องรีบลงมือหน่อย อย่าพลาดเรื่องใหญ่ไป การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ไม่ใช่การรวบรวมสมบัติฟ้าดิน แต่เพราะมีเรื่องสำคัญอื่นอยู่ จะต้องไปฐานที่มั่นของเผ่าประหลาดที่เข้าใกล้เมืองเทวะสวรรค์เหล่านั้นให้ได้” หลังจากเงาร่างคนในไอสีเขียวขบคิดอยู่นาน ถึงได้ตอบกลับอย่างเห็นด้วย

 

 

“ฮ่าๆ ห้ามพลาดเรื่องใหญ่เด็ดขาด เจ้ากับข้าร่วมมือกัน บวกกับหุ่นเชิดที่หลอมขึ้นจากโครงกระดูกหงส์โบราณ สังหารเต่าอสนีโตเต็มวัยตัวหนึ่ง คงใช้เวลาไม่เท่าไหร่” เงาร่างคนสูงใหญ่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กำมือทั้งสองทะลวงเข้าไปในระเบิดอสนี

 

 

ชั่วครู่เสียงตึงตังพลันดังขึ้นจากในระเบิดอสนี เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาก ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรนคำรามของอสูรดังมาเช่นกัน

 

 

เงาร่างคนในไอสีเขียวที่เหยียบอยู่บนหงส์กระดูก พลันสั่นศีรษะและถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าจะจนปัญญากับอารมณ์ขี้โมโหของสหายร่วมวิถีเช่นกัน แต่ทันใดนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ร่างของหงส์กระดูกใต้ฝ่าเท้าขยายใหญ่ขึ้นทันที ชั่วพริบตาก็กลายเป็นขนาดยักษ์ประมาณร้อยจั้งเศษ ภายใต้การเร่งเร้าของเงาร่างมนุษย์ที่อยู่บนศีรษะ หงส์กระดูกพลันกระโจนเข้าไปในระเบิดอสนี

 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงคำรามของอสูรในประจุไฟฟ้าสีฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งมีเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวอยู่สองสามส่วน

 

 

……

 

 

อีกด้าน หานลี่และพวกกำลังขับเคลื่อนสำเภาวิญญาณ เร่งรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพักเลยสักนิด

 

 

ไม่รู้ว่าถูกชายหนุ่มไฝแดงพูดจี้จุดจริงๆ หรือไม่ สองสามเดือนต่อจากนั้น ถึงแม้ว่าความเร็วของสำเภาเมฆาวิญญาณจะไม่เชื่องช้า และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาลวงตายังจัดอยู่ในชั้นสูง แต่ก็ยังคงพบกับอันตรายบ่อยๆ อยู่สองสามครั้ง

 

 

ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งถูกวายุประหลาดสีแดงสดม้วนเข้าไป และที่เรียกว่าวายุประหลาด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงตัวเล็กสีแดงสดขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารจำนวนนับไม่ถ้วน

 

 

หากไม่ใช่เพราะทุกคนร่วมมือกันด้วยอารามตกใจ หลบหนีออกมาจากวายุประหลาดได้ในทันใด เกรงว่าสำเภานี้คงถูกแมลงประหลาดกลืนกินไปจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา

 

 

เรื่องนี้ผ่านไปได้ไม่นานนัก สำเภาที่กำลังบินอยู่ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นเบื้องหน้า วิหคประหลาดสองหัวความยาวร้อยจั้งบินแหวกผ่านอากาศมา

 

 

วิหคตัวนี้มีสีเหลืองทอง รอบกายแผ่ไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงออกมา แค่มองก็รู้ว่าน่ากลัวไม่ต่างอะไรกับเต่าอสนี นี่จึงทำให้จิตใจของทุกคนแล่นมาจุกที่ลำคอ

 

 

ไม่รู้ว่าวิหคตัวนี้ไม่พบสำเภาวิญญาณจริงๆ หรือว่าเทียบกับขนาดร่างกายตนเองแล้วก็ไม่สนใจราวกับมดแมลงตัวหนึ่ง หลังจากที่มันกระพือปึกมหึมาสองสามครั้ง ก็บินออกไปเอง

 

 

หลังจากที่พวกของหานลี่ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้ว ก็มองสบตากันแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

หลังจากที่ทุกคนบนสำเภาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของแดนป่าเถื่อนแล้ว แน่นอนว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไรอีก ถึงแม้ว่าตัวจะอยู่ในห้องทำสมาธิ ทุกคนก็ยังรักษาระดับความตื่นตัวเอาไว้

 

 

การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดพลาดดังคาด อันตรายที่พบต่อจากนี้ ล้วนอาศัยความใส่ใจของทุกคน ถึงได้ผ่านมาได้

 

 

แต่สุดท้ายวันที่ความโชคดีหมดลงก็มาถึง

 

 

วันนี้ครั้นเมื่อชายหนุ่มคิ้วขาวเข้าเวรอยู่ด้านนอก หานลี่ก็กำลังเรียนรู้วิชายันต์อยู่ภายในห้องทำสมาธิ ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงกู่ร้องเตือนดังออกมาจากด้านนอก ทันใดนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นด้วยหน้าที่เปลี่ยนสิ แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใดๆ สำเภายักษ์ทั้งลำก็สั่นคลอน ร่างกายเซถลา จนเกือบจะไม่อาจยืนให้มั่นอยู่บนพื้นได้

 

 

หานลี่รู้สึกตะลึงงัน จากนั้นก็สั่นเทาอย่างหนักไม่หยุด ทันใดนั้นลำแสงสีขาวก็กะพริบวาบอยู่ที่กำแพงทั้งสี่ด้าน คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

เขามีสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดแขนเสื้อไปทางเพดานของห้องทำสมาธิ ชั่วขณะนั้นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพลันพุ่งแหวกอากาศขึ้นไป ชั่วครู่ก็ทะลุผ่านเพดานของห้องทำสมาธิออกไปจนเป็นรูขนาดใหญ่

 

 

ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมา กะพริบวาบสองสามแล้วก็ปรากฏตัวห่างจากสำเภาหยกไปยี่สิบจั้งเศษ แล้วถึงหันกลับมามองอย่างละเอียด

 

 

เห็นเพียงในครานี้ ยังมีลำแสงหลีกหนีอื่นๆ บินออกมาจากสำเภาอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือหล่งตงและพวกที่เห็นท่าไม่ดีแล้วจึงละทิ้งสำเภาวิญญาณหนีออกมา

 

 

ชั่วพริบตาที่ทุกคนหนีออกมาหมดแล้ว ก็ได้ยินเสียงตูมดังขึ้น ฉากสำเภาวิญญาณระเบิดท่ามกลางลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาวายุอันบ้าระห่ำก็พัดมาหาทุกคน

 

 

ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง แน่นอนว่าจึงไม่หวาดกลัววายุวิญญาณเหล่านี้ ต่างล่องหนลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แค่จ้องเขม็งไปยังจุดที่สำเภาวิญญาณระเบิดออก

 

 

นอกจากชายหนุ่มคิ้วขาวที่เข้าเวรอยู่แล้ว คนอื่นๆ ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คาดไม่ถึงว่าสำเภาเมฆาวิญญาณจะถูกทำลาย

 

 

แต่เมื่อทุกคนกวาดจิตสัมผัสไปอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบอะไรเลย

 

 

เช่นนี้ทุกคนจึงรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย

 

 

“พี่หลี่ ผู้ใดโจมตีพวกเรา!” เสี่ยวหงเอ่ยปากถามอย่างรวดเร็ว

 

 

“พวกเจ้ามองไปด้านล่างเถิด!” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยตอบอย่างเย็นชา

 

 

เมื่อได้ยินคำนี้ หลังจากที่หานลี่และพวกตกตะลึงแล้ว จิตสัมผัสก็กวาดลงไปด้านล่างทันที

 

 

ผลคือหลังจากที่มองเห็นสถานการณ์ด้านล่างอย่างชัดเจนแล้ว สตรีและพวกก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ หานลี่กลับย่นหัวคิ้ว

 

 

เห็นเพียงชีพจรภูเขาที่ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาด้านล่าง พวกเขาอยู่ระหว่างกลางภูเขายักษ์สองลูกอย่างพอดิบพอดี

 

 

และในสถานที่ที่ดูลึกลับเป็นพิเศษนี้ กลางต้นไม้ขนาดยักษ์หลากสีสัน มีที่ว่างแปลกประหลาดปรากฏขึ้น และตรงใจกลางของพื้นที่นี้ก็มีต้นหญ้ายักษ์สีม่วงเข้มสูงสามสิบถึงสี่สิบจั้งอยู่ต้นหนึ่ง ใบหญ้าแต่ละใบตั้งตรงราวกับกระบี่ยักษ์ รอบด้านมีหนามที่ดูแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน

 

 

สองฝั่งของต้นหญ้ายักษ์เหล่านี้ มีสิ่งมหึมายืนเผชิญหน้ากันอยู่

 

 

กิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่งยาวห้าสิบหกสิบจั้ง เรือนกายเป็นสีเขียวมรกต แผ่นหลังมีจุดกระดำกระด่างขนาดเท่าเหรียญจำนวนนับไม่ถ้วน บนศีรษะขนาดใหญ่มีเขาประหลาดสีแดงโลหิตสองเขาที่ดูเหมือนปะการังงอกออกมา

 

 

อีกตัวหนึ่งกลับเป็นมนุษย์ยักษ์แดนป่าเถื่อนสูงสามสิบจั้ง หน้าตาโหดเ**้ยม เรือนผมสีเหลือง แถมยังแบกกระบองไม้สีดำเอาไว้บนบ่า แต่ครั้นมองไปยังบนร่างของมนุษย์ยักษ์ ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง

 

 

ผิวบนร่างกายและแขนขาทั้งสี่ของมนุษย์ยักษ์นั้นมีลูกตาสีเงินขาวน้อยใหญ่แตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ ทุกดวงฉายแววเย็นชาออกมา

 

 

ทว่าไม่ว่ามนุษย์ยักษ์หรือว่ากิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นต่างก็มองกันด้วยความเป็นปฏิปักษ์ สายตามองไปยังต้นหญ้ายักษ์ที่อยู่ตรงกลาง

 

 

เช่นนั้น หานลี่จึงใจเต้นขณะแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบต้นหญ้ายักษ์เหล่านั้นอย่างละเอียด

 

 

ผลคือครู่ต่อมา หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี

 

 

ภายในใบหญ้าที่เหมือนกับคมกระบี่นั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีผลเจียงกั่ว (เบอร์รี) สีม่วงที่ดูเหมือนองุ่นอยู่พวงหนึ่ง

 

 

ผลเจียงกั่วเหล่านี้มีขนาดเท่ากำปั้น รูปทรงกลมมน ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยใสวาว แผ่กลิ่นหอมประหลาดๆ ที่เย้ายวนออกมา เมื่อจิตสัมผัสกวาดไปด้านในผลเจียงกั่ว ทุกผลต่างมีแกนที่เหมือนกับมังกรน้อยของจริงอยู่ในนั้น ทุกตัวล้วนโปร่งใสแวววาว แนบเนียนเสมือนจริงสุดๆ

 

 

มังกรน้อยเหล่านี้ไม่มีสัญญาณชีพใดๆ แต่ไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมา ถึงแม้ว่าหานลี่จะแค่กวาดจิตสัมผัสไป ก็ยังสัมผัสถึงความเย็นสบายเป็นอย่างยิ่งได้