“หึ ๆ ๆ ในเมื่อลั่วเฉินประกาศจบการศึกษาไปเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลาสมควรที่ข้าจะต้องออกจากโรงเรียนบ้าง”
เมื่อความโกลาหลเริ่มสร่างซาลงเล็กน้อย ปิงเสวียนก็กล่าวขึ้น เสียงอันสุขุมของเขาดึงความสนใจจากผู้คนได้อย่างฉับพลัน เสียงกระหึ่มของฝูงชนที่กำลังตกตะลึงกับตัวตนและการจากไปของลั่วเฉินหรือแม้แต่บางคนที่รู้สึกโกรธแค้นกับการกระทำอันโหดเหี้ยมของนักเรียนหัวกะทิที่เพิ่งทราบว่าเป็นคนจากขุมกำลังฝ่ายศัตรูผู้นั้นหยุดชะงักไปในทันที
“รุ่นพี่ปิงเสวียน…”
เมื่อได้ยินวาจาของปิงเสวียน ฉินอวี้โม่ก็ตกใจไม่น้อย ทว่านางก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใด
จากคำบอกเล่าของหลินซิวหยา ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของปิงเสวียนเกือบจะแตะขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้เขายังอยู่ในอันดับที่หนึ่งของทำเนียบนภา นักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนผู้นี้สามารถประกาศตัวเพื่อขอจบการศึกษาได้ตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าปิงเสวียนจะประกาศจบการศึกษาในยามที่ศึกประชันยุทธ์รอบแข่งเดี่ยวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นนี้
สำหรับฉินอวี้โม่แล้ว การจากไปของปิงเสวียนและลั่วเฉินก็น่าจะถือเป็นเรื่องดี เนื่องจากจำนวนคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของนางลดลงไปถึงสองคน แน่นอนว่าความมั่นใจว่าจะได้รางวัลชนะเลิศประเภทบุคคลก็สูงขึ้นด้วย ทว่าในเวลาเดียวกันอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ เพราะเช่นนี้ก็เท่ากับว่านางพลาดโอกาสประชันยุทธ์กับสุดยอดฝีมือผู้เป็นหนึ่งในโรงเรียนไปถึงสองคน
“เจ้าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม ?”
อาจารย์ที่ปรึกษาของปิงเสวียนหรือก็คือผู้อาวุโสหลิวผู้ทำหน้าที่เฝ้าบันไดทางขึ้นไปยังชั้นที่สี่ของหอคอยวิญญาณเปิดปากกล่าว เมื่อได้ยินวาจาของศิษย์มากพรสวรรค์ที่ได้สั่งสอนมา อาจารย์ผู้เฒ่าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ขอรับ ศิษย์ตัดสินใจดีแล้ว”
ปิงเสวียนพยักหน้า พลันโค้งคำนับอาจารย์อาวุโสที่เขานับถือมากที่สุด
“หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็จะไม่ห้าม ปิงเสวียนเจ้ามีพรสวรรค์สูงส่ง จงใช้ความสามารถในเส้นทางที่เหมาะควร จากนี้ไปขอให้ประสบความสำเร็จ”
ผู้อาวุโสหลิวก้าวเข้าไปหาลูกศิษย์หนุ่มที่กำลังขอลาจบศึกษา ก่อนจะตบบ่าของเขาแผ่วเบา ถึงแม้นัยน์ตาคมกริบจะเจือแววแห่งความเสียดาย แต่บนใบหน้าของบุรุษอาวุโสก็ปรากฏรอยยิ้มแสนภาคภูมิใจ
“ท่านอธิการ หลายปีมานี้ข้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้ วิชาความรู้นับไม่ถ้วน ประสบการณ์การต่อสู้และประสบการณ์ชีวิตมากมาย ทุกสิ่งล้วนมิอาจประมาณค่าได้ ที่ผ่านมาข้าต้องขอขอบพระคุณท่านอธิการและอาจารย์ทุกท่านที่ช่วยอบรมสั่งสอนและสนับสนุนในการฝึกฝน ในอนาคตแม้ว่าข้าจะออกจากโรงเรียนไปแล้ว แต่พระคุณของโรงเรียนราชสำนัก ข้าปิงเสวียนจะขอจำจดไว้ในใจตลอดไป”
ปิงเสวียนโค้งคำนับมู่อวิ๋น คณาจารย์ และผู้อาวุโสทั้งหลายบนเวที ก่อนจะเอ่ยขอบคุณและกล่าวลา ในเวลาเช่นนี้ แม้แต่บุรุษที่มีนิสัยสุขุมจนติดจะเย็นชาอย่างเขาก็ยังมีน้ำเสียงที่สั่นเครืออยู่เล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ หนุ่มน้อย ความรักโรงเรียนของเจ้านั้นพวกเราทุกคนทราบดี ถึงเจ้าจะไม่พูดก็คงไม่มีใครสงสัยข้อนี้ หากอยากทำอะไรก็ขอให้เจ้าทำอย่างเต็มที่ ข้าเชื่อว่าอนาคตของเจ้าจะต้องรุ่งโรจน์ในแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน”
มู่อวิ๋นส่งสัญญาณมือเพื่อบอกให้ปิงเสวียนยืดตัวตรง ขณะนี้ใบหน้าของบุรุษผู้ดำรงตำแหน่งอธิการแห่งสถาบันมีชื่อเสียงประดับไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความภูมิใจ โรงเรียนของเขาได้ผลิต*‘สุดยอดฝีมือแห่งแผ่นดิน’*ขึ้นมาอีกคนหนึ่งและบัดนี้คนผู้นั้นก็พร้อมที่จะก้าวออกสู่โลกกว้างอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว
ทั้งลั่วเฉินและปิงเสวียนคือนักเรียนที่โรงเรียนราชสำนักภาคภูมิใจเสมอมา แม้ว่าจะไม่เท่ากับสองนักเรียนยอดอัจฉริยะแห่งยุคซึ่งเป็นตำนานเล่าขานของโรงเรียน แต่ก็ถือว่าพวกเขายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง มู่อวิ๋นไม่สงสัยเลยว่า อนาคตข้างหน้าศิษย์ทั้งสองคนนี้จะต้องขึ้นมาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ผู้โดดเด่นแห่งแผ่นดินได้อย่างแน่นอน
“ขอบพระคุณท่านอธิการ ข้าจะตั้งใจอย่างเต็มที่”
ปิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“ฉินอวี้โม่ หลินซิวหยา เนี่ยหรูเฟิง เพ่ยหลง หลินหยวน สหายและรุ่นน้องทั้งหลาย ข้ารู้สึกดีใจที่ได้รู้จักพบเจอและเคยได้ประมือกับพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนเป็นความทรงจำแสนล้ำค่าของข้า ในวันข้างหน้าถ้ามีโอกาสหวังว่าจะได้พบพวกเจ้าอีกครั้ง”
หลังจากหันมากวาดตามองบรรดาสหายทั้งหลาย ปิงเสวียนก็เผยรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นออกมา เขากล่าววาจาทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าทุกคน
เมื่อเห็นการจากลาอย่างกะทันหันของปิงเสวียน ทุกคนก็นิ่งค้างไป เพียงเวลาไม่กี่ลมหายใจ นักเรียนหัวกะทิที่สุดสองคนของโรงเรียนก็จากไปเสียแล้ว หลังจากนี้ เมื่อศึกประชันยุทธ์ประเภทเดี่ยวจบลง อันดับบนทำเนียบนภาก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
“อะแฮ่ม ! ทุกคน โปรดดึงสติกลับมาก่อน พวกเราจะได้ประกาศผลของการแข่งขันประเภทหมู่คณะกันต่อ”
มู่อวิ๋นกล่าวเพื่อเรียกความสนใจของฝูงชนกลับมา ไม่เพียงแต่ศิษย์น้อยทั้งหลายเท่านั้นแต่เหล่าอาจารย์เองก็ตกอยู่ในสภาวะมึนงงไม่น้อย ขณะเดียวกันบุรุษผมสีมหาสมุทรก็ลอบพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสสองสามคนข้างกายเข้าไปจัดการกับศพของนักเรียนที่ถูกลั่วเฉินสังหาร เสร็จสิ้นงานใหญ่ครั้งนี้คงมีความยุ่งยากที่จะต้องเผชิญอีกไม่น้อย
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะเริ่มประกาศอันดับของการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ณ บัดนี้”
อาจารย์ลิ้วหยวยแย้มรอยยิ้มให้นักเรียนผู้เข้าชมอีกครั้ง เขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนจะดำเนินการประกาศอันดับการแข่งขันต่อ
ในระหว่างนั้น หลังจากจัดการกับศพของนักเรียนผู้ถูกสังหารเสร็จ ผู้อาวุโสของโรงเรียนก็นำตัวสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่ที่ใส่ร้ายฉินอวี้โม่ออกไปจากจัตุรัสกลางซึ่งเป็นสถานที่ประกาศรางวัลด้วย
การดำเนินการทั้งหมดกระทำอย่างระมัดระวังและเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้นักเรียนทั้งหลายแตกตื่น แม้จะมีสักขีพยานเห็นเหตุการณ์มากมายแต่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจุดสนใจจนทำลายขวัญกำลังใจศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายไม่ได้
อธิการมู๋อวิ๋นเป็นผู้ควบคุมและสั่งการให้พาตัวสหายของหนี้ป่าชี่ออกไปด้วยตนเอง นักเรียนทั้งสี่จะต้องถูกไต่สวน หากมีความผิดก็จะมีโทษถึงขั้นถูกไล่ออก ความผิดที่จงใจให้ร้ายเพื่อนร่วมสถาบันนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความผิดที่พยายามสังหารคนในกลุ่มของฉีอวี้นับว่าร้ายแรงมาก
“รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งหรือก็คือกลุ่มที่ได้อันดับสองของการแข่งขัน ได้แก่ กลุ่มฉินอวี้โม่ ที่มีสมาชิกประกอบด้วย ฉินอวี้โม่ หลินซิวหยา เจียงหลิวเยว่ เนี่ยหรูเฟิงและหลี่จิ้ง นักเรียนกลุ่มนี้รวบรวมแผ่นป้ายได้ทั้งหมดสิบสี่แผ่นและยังอยู่รอดจนถึงวันสุดท้ายของการแข่งขัน นับว่าเยี่ยมยอดมาก”
สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มฉินอวี้โม่ฉีกยิ้มกว้าง เดิมทีเหล่าพันธมิตรทั้งห้าได้แผ่นป้ายจากแหวนมิติที่ลั่วเฉินทั้งไว้สามสิบแผ่น เนื่องจากได้รับแผ่นป้ายจากกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงมาเพิ่มทำให้กลุ่มของพวกเขามีแต้มขึ้นมาเป็นอันดับที่สองของศึกประเภทหมู่คณะ
“ต่อไปเป็นอันดับที่สาม ผู้ได้อันดับนี้ ได้แก่ กลุ่มปิงเสวียน กลุ่มปิงเสวียนครอบครองแผ่นป้ายทั้งหมดสิบแผ่นและอยู่รอดได้จนถึงวันสุดท้าย สมาชิกกลุ่มประกอบด้วย….”
“อันดับสี่คือกลุ่มเพ่ยหลง ได้แผ่นป้ายทั้งหมดแปดแผ่น…”
“อันดับที่ห้าคือกลุ่มฉีอวี้ ได้แผ่นป้ายทั้งหมดเจ็ดแผ่น…”
“อันดับที่หกคือกลุ่มลั่วเฉิน ได้แผ่นป้ายทั้งหมดสี่แผ่น…”
“และอันดับที่เจ็ด ที่แม้จะใจดีไม่เลือกแย่งชิงแผ่นป้ายจากผู้ใด แต่ก็นับว่าเก่งกาจและชาญฉลาดที่ยังคงเอาตัวเราอยู่จนครบเวลาการแข่งขันได้ ผู้ได้อันดับนี้ นั่นคือกลุ่มหลิวฉาน”
อาจารย์ลิ้วหยวยประกาศอันดับของการแข่งขันทั้งเจ็ดอันดับของเจ็ดกลุ่มที่ยังเหลือรอดจนครบเวลาสามสิบวัน
“ส่วนอันดับอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้เนื่องจากไม่มีกลุ่มไหนมีแผ่นป้ายจึงต้องจัดอันดับตามลำดับการถูกคัดออก ดังนั้นสำหรับอันดับที่แปดเป็นต้นไปทางโรงเรียนได้ติดประกาศไว้ที่กระดานแจ้งข่าวสารแล้ว ทุกคนสามารถไปดูได้ที่นั่น”
นักเรียนทุกคนพยักรับ
“ตลอดสามสิบวันที่อยู่ภายในป่าเหมันต์ทุกคนพยายามกันอย่างหนัก ซึ่งทำให้ท่านอธิการและอาจารย์ทั้งหลายพึงพอใจมาก ทางโรงเรียนจึงตัดสินใจจะมอบรางวัลให้กับนักเรียนทุกคนที่เข้าไปแข่งขันยังป่าเหมันต์ หลังจากจบศึกประชันยุทธ์ประเภทเดี่ยวแล้ว ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันประเภทหมู่คณะจะสามารถเข้าไปใช้หอคอยวิญญาณได้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนหินมายา”
ลิ้วหยวยยิ้มพลางกวาดสายตามองนักเรียนทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวที เมื่อเห็นว่าศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลายมีใบหน้าแจ่มใสขึ้น อาจารย์ผู้ทำหน้าที่ดูแลการแข่งขันก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ขอบคุณท่านอธิการและท่านอาจารย์ทั้งหลาย”
นักเรียนผู้เข้าร่วมการแข่งขันประเภทหมู่คณะส่งเสียงกล่าวขอบคุณโดยพร้อมเพรียง รางวัลเช่นนี้ช่วยปลอดขวัญพวกเขาจากเรื่องราวไม่คาดฝันก่อนหน้านี้ให้ดีขึ้นได้ไม่น้อยทีเดียว
“เอาล่ะ นักเรียนที่รัก ลำดับถัดไปคือสิ่งที่ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าหลายคนคงจะรอคอยอย่างจดจ่อ นั่นคือ การแข่งขันประเภทเดี่ยว !”
“ปีนี้จะพิเศษขึ้นอีกระดับนั่นคือ กลุ่มที่สามารถอยู่จนถึงวันสุดท้ายของการแข่งขันแบบหมู่คณะได้จะสามารถเข้าไปสู่การแข่งขันรอบจริงซึ่งเป็นรอบหกสิบสี่คนได้ทันที ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือจะต้องมีการจับสลากแบ่งกลุ่มประลองยุทธ์ในรอบคัดเลือกกันก่อน ซึ่งผู้ชนะในรอบคัดเลือกนี้ก็จะผ่านเข้าไปแข่งขันในศึกประชันยุทธ์รอบจริงต่อไป โดย….”
หลังจากอาจารย์ลิ้วหยวยชี้แจงเกี่ยวกับการแข่งขันประเภทบุคคลจบลง นักเรียนที่ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าไปแข่งในรอบจริงทุกคนก็ถูกเรียกขึ้นมาบนเวทีเพื่อจับสลากแบ่งกลุ่มสำหรับลงสนามแข่งในรอบคัดเลือก
ถึงแม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว จำนวนของนักเรียนในโรงเรียนราชสำนักจะนับว่ามีไม่มากนัก แต่ก็ยังมีถึงเกือบห้าร้อยคน ซึ่งถ้าหากจะให้ต่อสู้กันแบบประกบคู่บนลานประลองจนครบทุกคู่ก็เกรงว่ากว่าจะตัดสินหาผู้ชนะเลิศได้คงต้องใช้เวลาอยู่หลายเดือน ดังนั้นแล้วเพื่อให้การแข่งขันจบลงในเวลาอันสั้น ทางโรงเรียนจึงต้องใช้วิธีพิเศษจัดการแข่งขันรอบคัดเลือกก่อน เพื่อทำการคัดตัวผู้ที่จะเข้าสู่รอบจริงตามจำนวนที่ต้องการ โดยจำนวนดังกล่าวสำหรับศึกประชันยุทธ์ในปีนี้ก็คือหกสิบสี่คน
ในการแข่งขันจริงรอบแรกนั้น ทั้งเจ็ดกลุ่มที่อยู่ได้จนถึงวันสุดท้ายของการแข่งแบบหมู่จะผ่านเข้าไปแข่งขันโดยไม่ต้องคัดตัวในรอบคัดเลือก นักเรียนกลุ่มนี้มีทั้งหมดสามสิบสองคน
ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลืออีกกว่าสี่ร้อยคนจะถูกแบ่งออกเป็นยี่สิบแปดกลุ่มโดยการจับสลาก ซึ่งหนึ่งกลุ่มจะประกอบด้วยนักเรียนที่ต้องแข่งขันกันจำนวนสิบห้าคน
สำหรับการแข่งขันในรอบคัดเลือก ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวของแต่ละกลุ่มจะได้ผ่านเข้าไปต่อสู้ในรอบจริง ดังนั้นนักเรียนที่จะลงสนามจริงนี้จึงมีจำนวนเพียงยี่สิบแปดคนหรือหนึ่งในสิบห้า ซึ่งก็นับว่าการคัดตัวของทางโรงเรียนโหดหินอยู่ไม่น้อย ในอีกแง่มุนหนึ่งก็หมายความว่าเพียงแต่รอบคัดเลือกเริ่มต้นนักเรียนทุกคนก็จะต้องฝ่าฟันความยากลำบากอย่างยิ่งยวดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีดังกล่าวก็จะยังคงเหลือนักเรียนที่เป็นจำนวนเศษที่เกินจากจำนวนนักเรียนทั้งหมดอีกทั้งหมดสี่คน ซึ่งทางโรงเรียนจะให้เหล่าผู้ที่เป็นเศษนี้ได้รับสิทธิ์เข้าไปแข่งในรอบจริงได้ทันที และการหาผู้ได้รับสิทธิ์พิเศษเหนือผู้ใดนี้จะใช้วิธีจับตั๋วเปล่า นั่นคือในการจับสลากแบ่งกลุ่มจะมีตั๋วเปล่ารวมอยู่ด้วย นักเรียนคนใดที่จับได้ตั๋วเปล่าก็จะเป็นผู้โชคดีได้เข้ารอบต่อไปโดยไม่ต้องผ่านการต่อสู้รอบคัดเลือก
เพราะฉินอวี้โม่และเหล่าสหายในกลุ่มของนางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้ามากมายนัก แม้ว่าจะออกมาจากป่าเหมันต์เป็นกลุ่มสุดท้ายแต่พวกนางก็ได้พักอยู่ในปราสาทเหมันต์อันอุ่นสบายอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ร่างกายยังคงสมบูรณ์พร้อมและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เมื่อเห็นการแข่งขันคัดตัวรอบคัดเลือกกำลังจะเริ่มขึ้น แน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่พลาดที่จะรับชมอยู่แล้ว หลังออกมาจากจัตุรัสกลางของโรงเรียนพวกนางก็ออกมาจับจองที่นั่งรอบลานประลองและจับเข่าสนทนากันรอคอยให้การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น
ผู้ที่จะเข้าแข่งขันในรอบคัดเลือกนี้มีสหายรวมถึงคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักมักคุ้นอยู่หลายคน
ตัวอย่างเช่น ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ย เนื่องจากไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของฉินอวี้โม่ ทั้งสองคนจึงตั้งกลุ่มเล็ก ๆ ของตัวเองขึ้นมาคล้ายกับที่เยว่ชิงเฉิงทำ ทว่าในท้ายที่สุดก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน พวกเขาได้เพียงอันดับที่สิบสามซึ่งยังไม่ผ่านเข้ารอบต่อไปและต้องเข้าแข่งในรอบคัดเลือก
คุณชายรองและคุณหนูสามตระกูลฉินยิ้มให้น้องสาวคนเล็กก่อนจะเดินไปจับสลาก หลังจากผ่านไปสักพักทั้งคู่ก็เดินลงมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกันแล้วใบหน้าของฉินอี้เฉียงดูสดใสกว่าทางฉินอี้เพ่ยอย่างเห็นได้ชัด
“พี่รองโชคดีจริง ๆ เขาได้ตั๋วเปล่าจึงได้เข้ารอบต่อไปโดยไม่ต้องเหนื่อยเหมือนข้า”
ฉินอี้เพ่ยพร่ำบ่นกระปอดกระแปดตั้งแต่เดินลงมาจากเวทีจนมาถึงจุดที่เหล่าสหายนั่งอยู่ ทว่าถึงปากจะบ่นอย่างไรแต่แท้จริงแล้วในใจนั้นนางก็ตื่นเต้นและดีใจกับพี่ชายที่ได้ตั๋วเปล่าเข้ารอบต่อไปอยู่ไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเจ้าต้องการ ข้ายกให้เจ้าก็ได้นะ”
ฉินอี้เฉียงยิ้มและยื่นตั๋วเปล่าให้น้องสาว
“ไม่ได้ ที่ต้องสู้ในรอบคัดเลือกก่อนถือว่าดีสำหรับข้าแล้ว ข้าจะได้ใช้โอกาสนี้ฝึกฝนจะได้ไม่ตื่นสนาม ที่สำคัญจะได้ไม่ทำขายหน้าในรอบจริง”
ฉินอี้เพ่ยปฏิเสธทันควัน อันที่จริงคุณหนูสามรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผู้เป็นพี่ชายจะต้องทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็รับมาไม่ได้ ในเมื่อโชคชะตากำหนดแล้วนางก็พร้อมรับมือ
ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของนางยังแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ฉินอี้เพ่ยในฐานะพี่สาวก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่าย ๆ การได้มีโอกาสอุ่นเครื่องก่อนในรอบคัดเลือกนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ดี
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
เมื่อได้เห็นท่าทีและได้ฟังน้ำเสียงแน่วแน่บวกกับความมั่นใจเด่นชัดบนใบหน้านวลของฉินอี้เพ่ย ฉินอี้เฉียงก็ได้แต่ถอนหายใจและยอมให้น้องสาวทำตามความต้องการ
“ข้าจะพยายาม”
ฉินอี้เพ่ยแจกรอยยิ้มแป้นให้พี่น้อง เพื่อให้พวกเขามั่นใจและเป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่านางจะพยายามอย่างสุดความสามารถ
ในเวลาไม่นานนักการจับสลากแบ่งกลุ่มในรอบคัดเลือกก็สิ้นสุดลง โชคของฉินอี้เพ่ยก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เพราะคู่ต่อสู้ในกลุ่มของนางไม่ได้เป็นนักเรียนหัวกะทิและมีฝีมืออยู่ในระดับกลาง ๆ
“สู้เขาพี่สาม !”
ฉินอวี้โม่ส่งเสียงให้กำลังใจฉินอี้เพ่ยเสียงสดใส
“รอฟังข่าวดีก็พอ”
คุณหนูสามตระกูลฉินยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจตอบกลับมา ตอนนี้นางเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนแล้ว แม้ว่านางจะอยู่เพียงระดับสองดาราแต่ก็ไม่ได้นับว่าอ่อนแอ เพราะในกลุ่มเดียวกันนี้ อย่างน้อยฉินอี้เพ่ยก็ได้เปรียบคนส่วนมากอยู่ขั้นหนึ่ง
กลุ่มในรอบคัดเลือกของฉินอี้เพ่ยคือกลุ่มที่สี่ ดังนั้นยังไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องรีบไปเตรียมตัว ณ จุดพักด้านข้างสนามประลอง คุณหนูคนงามตระกูลฉินเดินมานั่งข้างกายผู้เป็นน้องสาวและสนทนากับคนอื่น ๆ ด้วยใบหน้าผ่อนคลาย
และแล้วการต่อสู้รอบคัดเลือกของกลุ่มที่หนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น รูปแบบการแข่งขันของรอบนี้จะแตกต่างจากรอบถัด ๆ ไปอย่างมาก นั่นคือสมาชิกทั้งสิบห้าคนของกลุ่มจะต้องเข้าสู่ลานประลองและพุ่งตรงเข้าห้ำหั่นกันทั้งหมด ผู้ที่ไม่สามารถสู้ต่อได้จะถูกคัดออก ส่วนผู้ที่สามารถหยัดยืนอยู่ในลานประลองได้เป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะและผ่านเข้ารอบ
ในกลุ่มที่หนึ่งมีตัวเต็งที่น่ากลัวอยู่ เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นจีหย่งรุ่นพี่ชั่วช้าที่ฉินอวี้โม่คุ้นเคยดี ศัตรูคู่อาฆาตที่ถ้าหากไม่มีกฎของโรงเรียนห้ามเอาไว้ สตรีผู้เคยเป็นนักฆ่าก็คงจะหาทางสังหารให้ตายไปนานแล้ว
จีหย่งอยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่มีสิ่งใดต้องกล่าวถึงอีก คู่ต่อสู้ของเขาแทบไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเสียด้วยซ้ำ เพียงออกแรงเล็กน้อย บุรุษแซ่จีผู้พี่ก็ได้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไปอย่างง่ายดายแล้ว
ในกลุ่มที่สองไม่มีคนที่ฉินอวี้โม่รู้จัก การต่อสู้ของพวกเขาก็จบลงในเวลาไม่นานและผู้ที่เข้าสู่รอบต่อไปเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนสี่ดาราที่ทักษะสูงผู้หนึ่ง
ส่วนกลุ่มที่สามนั้นมีคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักดีอีกคนหนึ่ง เขาก็คือปู้เฟยเทียน หนึ่งในพันธมิตรแน่นแฟ้นของจีหย่ง
ปู้เฟยเทียนแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แน่นอนว่าเขาคือผู้ผ่านเข้ารอบอย่างไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดการแข่งขันก็ดำเนินมาถึงกลุ่มที่สี่ของฉินอี้เพ่ย
คุณหนูสามแห่งตระกูลฉินเดินขึ้นไปบนลานประลองอย่างไม่ลังเล บนใบหน้าที่งดงามไม่แพ้น้องสาวประดับรอยยิ้ม ความมั่นใจฉายชัดในดวงตาทั้งสองข้าง คู่ต่อสู้ของนางทั้งหมดเป็นบุรุษ เมื่อเห็นฉินอี้เพ่ยเดินเข้ามาในลานประลองพวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะแย้มรอยยิ้มเป็นเชิงทักทาย
ฉินอี้เพ่ยเองก็ทักทายทุกคนกลับไปอย่างสุภาพ
ไม่นานนักการต่อสู้ของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น
อาจเป็นเพราะฉินอี้เพ่ยเป็นสตรีเพียงคนเดียวบนลานประลอง บุรุษหลายคนบนนั้นจึงไม่ได้เปิดฉากจู่โจมนาง แต่เข้าห่ำหันกันเองและเล็งเป้าไปเล่นงานคนอื่น ๆ ที่ทำท่าจะพุ่งเข้าโจมตีสตรีตระกูลฉินก่อน นั่นทำให้ฉินอี้เพ่ยตกใจไม่น้อยแต่ก็ช่วยให้นางผ่อนแรงลงไปได้มาก
สุดท้ายแล้วลงจากการตะลุมบอนจบลง นอกเหนือจากฉินอี้เพ่ยก็เหลือคู่ต่อสู้อีกสองคนที่ยังไม่ยอมแพ้ คนหนึ่งคือจอมยุทธ์นภมายาเก้าดารา ส่วนอีกคนอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนสองดาราซึ่งมีความแข็งแกร่งที่เท่าเทียมกับฉินอี้เพ่ย ทว่าคนผู้นี้ดูเหมือนจะมีพละกำลังที่มากกว่า
ในไม่กี่อึดใจต่อมาจอมยุทธ์นภมายาเก้าดาราก็ถูกบุรุษผู้ในขอบเขตมายาบรรพชนซัดจนหมอบ บัดนี้บนลานประลองจึงเหลือเพียงฉินอี้เพ่ยและคนผู้นั้นประจันหน้ากัน
“รุ่นน้องฉินอี้เพ่ย ข้ามีนามว่าลิ้วเฟยอวิ๋น”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยนามของตัวเองให้ฉินอี้เพ่ยรับรู้ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทั้งใบหน้าและใบหูของเขาขึ้นสีแดง
“ยินดีที่ได้รู้จักรุ่นพี่ลิ้วเฟยอวิ๋น”
ฉินอี้เพ่ยยิ้มรับคำทักทาย การที่อีกฝ่ายรู้ชื่อของนางไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะนางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มนี้จึงย่อมเป็นที่จดจำได้ง่าย
“รุ่นน้องฉินอี้เพ่ยเจ้าช่างงดงามเหลือเกิน”
ยิ่งได้มอง ลิ้วเฟยอวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่อาจละสายตาไปจากสตรีตรงหน้าได้ จนในที่สุดเขาพลั้งเผลอหลุดปากเอ่ยชมความงามของนาง ฝูงชนที่ชมดูอยู่ด้านล่างได้ยินจนถ้วนทั่ว และยังไม่ทันที่คู่ต่อสู้สาวจะตั้งสติได้จอมยุทธ์มายาบรรพชนสองดารานามว่าลิ้วเฟยอวิ๋นก็หายตัวไปจากลานประลองเสียเช่นนั้น
ฉินอี้เพ่ยนิ่งค้างกล่าวสิ่งใดไม่ออก ขณะที่ผู้ชมด้านล่างเฮลั่นสนามประลอง
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา ‘ในที่สุดฉินอี้เพ่ยก็ได้พบผู้พิทักษ์ของนางแล้วสินะ’
หลังจากอาทิตย์ลับขอบฟ้าไม่นานนัก การต่อสู้ในรอบคัดเลือกก็สิ้นสุดลง โรงเรียนราชสำนักได้รายชื่อของผู้ผ่านเข้ารอบทั้งยี่สิบแปดคนเป็นที่เรียบร้อย
.