บทที่ 393 สร้างรากฐาน (3)
เจิงเสี่ยนคุยกับคนในหมอกดำเป็นการลับสักพักหนึ่ง ก็คล้ายเจรจาบางอย่างเสร็จ จนกระทั่งคนในหมอกสีดำค่อยๆ สลายหายไปจากที่ไกล เขาจึงค่อยลุกขึ้น แล้วกลับหุบเขาคล้ายมีความคิดใด
“ท่านพ่อ” ตรงปากหุบเขามีคนหนุ่มสาวหลายคนรออยู่ บุรุษรูปงามที่มีเขากวางงอกบนศีรษะคนหนึ่งในนี้เข้ามาต้อนรับ
“ทางตระกูลหวังในเขตเมือง…ไม่เจอสิ่งของขอรับ”
เจิงเสี่ยนขมวดคิ้ว “หวังหรงเล่า”
“กินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้วในตอนที่พวกเราบุกเข้าไป มีแต่บุตรชายคนเดียวที่หลบหนีไป” บุรุษรีบตอบ
“ตรวจสอบเสีย! ส่งคนไปผนึกทางเข้าออกทั้งเมือง จะให้เจ้าหนูนั่นเอาของหนีไปไม่ได้เด็ดขาด” เจิงเสี่ยนหน้านิ่วคิ้วขมวดพร้อมกับกล่าวเสียงเย็นชา
“ขอรับ!” บุรุษรูปงามขานรับ “จริงด้วย เป็นไปได้มากที่สุดว่าจางเชียนตระกูลจางที่เป็นญาติของตระกูลหวังจะให้ที่หลบซ่อนแก่ผู้หลบหนี”
“เจ้าจงพาคนไปสั่งให้พวกเขาส่งคนมา! ล่วงเกินข้าเจิงเสี่ยนในเขตจันทราสารทแต่ยังคิดว่าจะปลอดภัยไร้เรื่องราวอีกหรือ ของจะต้องทิ้งไว้ ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น มันผู้ใดขัดขวาง ล้วนทุบตีให้หมด!” เจินเสี่ยนเอ่ยเสียงเย็นชา
“ท่านพ่อ ถ้าหากสามสำนัก…” บุรุษรูปงามลำบากใจเล็กน้อย
“ข้าจะติดต่อกับทางสามสำนักเอง ที่อื่นไม่กล้าพูดถึง แต่ในเขตจันทราสารท คนที่ไม่เห็นแก่หน้าข้ามีไม่กี่คนเท่านั้น” เจิงเสี่ยนมองบุตรชายของตนเองแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อจากไป
…
ในป่ารกชัฏ
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่อายุเพียงสิบกว่าปี สวมชุดสกปรกมอมแมม หมอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้เงียบๆ โดยไม่กล้าขยับเขยื้อน ชุดบนร่างของเขายังพอจะเห็นได้ว่ามาจากครอบครัวร่ำรวย แต่ตอนนี้ภาพลักษณ์ที่หรูราทั้งหมดล้วนถูกโคลนและเศษหญ้าอำพรางไว้
เด็กหนุ่มมีคิ้วกระบี่ดวงตาสุกสกาว บุคลิกเหมือนนักกวี มองดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายนายน้อยที่ไม่เคยลำบากมาก่อน ทว่าตอนนี้กลับได้แต่กลั้นน้ำตา ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหญ้าอย่างไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้แต่ระบายลมหายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้า
“อยู่ที่ไหนกัน เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่เลย”
“เกรงว่าจะเป็นกระต่ายป่าหรือหนูกระมัง”
“ทางกลุ่มสองมีข่าวหรือไม่”
ไกลออกไปได้ยินเสียงตะโกนของผู้คนรำไร ในป่ารกชัฏท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มมองเห็นไม่ชัดเจนเช่นกัน เพียงมองเห็นดวงตาที่เรืองแสงสีเขียวมรกตหลายคู่โฉบผ่านจากที่ไกลไป เป็นครั้งคราว
เขารู้ว่านั่นคือคนของเผ่ากวางดำที่ออกค้นหาตนเอง
“ไม่ต้องห่วง” ด้านข้างเด็กหนุ่มมีหนูไผ่ขนาดเท่ากำปั้นอยู่ตัวหนึ่ง มันยืดพุงกลมพลางกล่าวเบาๆ “ข้าใช้กลิ่นที่มีเฉพาะในปุ๋ย ผสมพอกบนตัวเจ้าสามรอบแล้ว ต่อให้เป็นหมาล่าเนื้อที่มีจุดเด่นในเรื่องการดมมากที่สุดก็ไม่มีทางค้นหาตำแหน่งของเจ้าเจอ”
หนูไผ่มองดูคนจากเผ่ากวางดำที่อยู่ในความมืดด้วยสายตาขนาดเท่าเม็ดงาซึ่งแจ่มใสแวววาว
“ข้าไม่กลัว…ไม่กลัว…ขอบคุณท่าน พี่เฉียง…ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน…” เด็กหนุ่มพูดไปพูดมาก็นึกถึงท่านตากับท่านยาย และท่านพ่อกับท่านแม่ที่ถูกฆ่าทิ้ง ในใจอดเกิดความโศกเศร้าไม่ได้ น้ำตาไหลตามแก้มลงมาอย่างมิอาจข่มกลั้น
“เฮ้อ…พวกเราสนิทกันดั่งพี่น้อง เจ้าเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าแล้วใครจะช่วยเล่า” หนูไผ่ถอนใจอย่างจนใจ “เผ่ากวางดำควบคุมเขตจันทราสารท แถมไม่มีใครกล้าล่วงเกิน ขุมกำลังที่พวกมันกลัวมีแค่สามสำนัก แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้ประโยชน์ ก็ไม่มีทางคุ้มครองเจ้าโดยไร้สาเหตุเด็ดขาด”
“ข้ารู้…” เด็กหนุ่มปาดน้ำตา “ข้าคิดจะไปยังนครจังหวัด เผ่ากวางดำเพียงใช้มือเดียวบังฟ้า แต่ว่านครจังหวัดต่างจากที่นี่ มือของพวกมันยื่นไปไม่ได้ไกลปานนั้น!” เขาผุดสีหน้าแน่วแน่
“เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ” หนูไผ่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอรับ พี่เฉียงโปรดช่วยข้าด้วย!” เด็กหนุ่มพยักหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “นอกจากนี้ ขอให้พี่เฉียงช่วยข้าหาสถานที่ซ่อนของสิ่งนั้นด้วย”
“เจ้าเก็บไว้เองเถอะ” หนูไผ่ส่ายหน้า “นั่นเป็นสมบัติสำคัญที่ทำให้คนของตระกูลเจ้าสูญสิ้น ถ้าเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นก็ใช้มันเป็นแต้มต่อเพื่อแลกกับการแก้แค้นเผ่ากวางดำก็แล้วกัน”
“ข้า…ข้าจะพิจารณาดู!” เด็กหนุ่มพยักหน้า
“พอแล้ว พวกเราไปเถอะ อีกเดี๋ยวสถานที่นี้จะไม่ปลอดภัยแล้ว พวกเผ่ากวางดำยังมีคนมีความสามารถส่วนหนึ่ง ถึงขั้นไล่ตามทันขนขาของพี่เฉียง ไม่อาจดูแคลนคนในใต้หล้าจริงๆ” หนูไผ่พ่นลมหายใจ
“พี่เฉียง…” เด็กหนุ่มอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไว้
“ไม่ต้องพูดแล้ว! ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร!” หนูไผ่ยกขาข้างหนึ่งขึ้น แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “ในเมื่อข้าจู๋เหวินเฉียงตอบรับแล้วว่าจะช่วยเจ้าออกจากเขต ก็จะต้องทำให้ได้”
“พี่เฉียง…” เด็กน้อยขอบตาเปียกชื้นแล้ว
เขามีความสามารถพิเศษโดยกำเนิด สามารถเข้าใจคำพูดของสัตว์ทุกชนิดได้ เพราะเหตุนี้จึงมักจะเล่นกับสัตว์แต่ละชนิดในป่าเขาเป็นประจำ อีกทั้งยังได้กราบหนูไผ่ที่ชื่อจู๋เหวินเฉียงเป็นพี่ใหญ่โดยบังเอิญ ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีอิสระเสรีในป่า
คาดไม่ถึงว่าภัยร้ายจะมาเยือน ของชิ้นหนึ่งที่ตระกูลได้มาโดยบังเอิญกลับทำให้ตระกูลหวังทั้งตระกูลประสบภัยพิบัติถูกทำลายล้าง
ถ้าไม่ใช่จู๋เหวินเฉียงรายงานข่าวก่อน เกรงว่าครั้งนี้เขาก็คงยากจะหนีพ้นจากอันตรายเช่นกัน
“ตรงนี้เหมือนมีการเคลื่อนไหว” อยู่ๆ คนของเผ่ากวางดำหลายคนก็มองมายังทิศทางที่เด็กหนุ่มอยู่
“ข้าจะไปดูเอง”
บุรุษถือดาบหลายคนแหวกพุ่มหญ้าพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ทางนี้ช้าๆ
ขณะมองคนของเผ่ากวางดำที่ค่อยๆ กดดันเข้ามาใกล้ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็บังเกิดความเคียดแค้นชิงชัง “คอยดูให้ดีเถอะ…ต้องมีสักวัน…ข้าหวังอวี้ฮุยจะต้องกลับมา! แค้นล้างตระกูล ไม่ขออยู่ร่วมฟ้า!”
สวบ!
อยู่ๆ ก็เกิดเสียงทึบหนัก คนของเผ่ากวางดำหลายคนที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มล้มลง ไม่ได้ร้องโหยหวน ไม่ได้ร้องโอดโอย คนของเผ่ากวางดำที่ล้มลงโดยไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยราวกับว่าตายไปแล้ว
“ตรงนี้กระมัง” บุรุษที่สงบนิ่งเยือกเย็นคนหนึ่งลอยมาจากด้านหลังเด็กหนุ่มไกลๆ
“เรียนเจ้าสำนัก เป็นตรงนี้ขอรับ” บุรุษอีกคนตอบด้วยน้ำเสียงเคารพ
“อย่างนั้นก็ไปเถอะ ห้ามปล่อยให้หลุดไปแม้แต่คนเดียว” บุรุษคนก่อนหน้ากล่าวอย่างเรียบเฉย
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง” เสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
เด็กหนุ่มหวังอวี้ฮุยยังไม่ทันได้สติ ก็เห็นเงาคนพร่ามัวหลายสายพุ่งออกมาจากด้านหลังทางขวาซึ่งอยู่ห่างออกไป แล้วกระโจนใส่คนของเผ่ากวางดำที่กำลังค้นหาตนเอง ด้วยความเร็วอันน่าตะลึง
“ใครกัน!”
อ๊ากๆๆ!
ท่ามกลางป่ายามราตรี ได้ยินแค่เสียงโหยหวนสั้นๆ ดังขึ้นติดต่อกัน เสียงโหยหวนไม่ได้ดังออกไปไกล แสดงให้เห็นว่าคนเผ่ากวางดำล้มลงทันที ถูกคนลึกลับกลุ่มนี้ฆ่าตายอย่างง่ายดาย
“รีบไป มีคนเหี้ยมโหดกว่าเดิมมาแล้ว!” จู๋เหวินเฉียงตัวสั่น คิดจะพาหวังอวี้ฮุยหลบหนี
“ไม่ พี่เฉียงท่านไปเถอะ ข้าจะไปดูว่าเผ่ากวางดำมีจุดจบอย่างไร!” ตอนแรกหวังอวี้ฮุยตกใจ จากนั้นก็ลิงโลด ความเคียดแค้นที่ล้ำลึกกะพริบระยิบระยับในดวงตา
“เจ้า…” จู๋เหวินเฉียงถอนใจยาวอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
…
พรวด
ศีรษะกระเด็น เลือดพุ่งออกมาดุจน้ำพุ แล้วกระจายออกไปรอบๆ
“สำนักพันอาทิตย์!? พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
ประตูหินสีดำที่หนักอึ้ง ตรงปากหุบเขาราชากวาง อันเป็นพื้นที่ประจำเผ่ากวางดำขัดขวางพวกคนจากสำนักพันอาทิตย์ที่มากวาดล้าง ผู้พิทักษ์เหยี่ยวทองที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ากวางดำกลุ่มใหญ่ยืนอยู่หน้าประตู
หัวหน้าเผ่าเจิงเสี่ยนจ้องมองบุรุษหนุ่มที่ผู้คนโอบล้อมไว้ตรงกลางอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำและสายตาเย็นชา ตรงกลางคนสองกลุ่ม ยอดฝีมือของสำนักพันอาทิตย์หลายคนค่อยๆ เก็บดาบ โดยเช็ดคมดาบกับชุดของศพจนสะอาด
“ลู่เซิ่งเจ้าสำนักลู่ ท่านคิดทำอะไรกันแน่ แม้จะมาหายามวิกาล พวกเราก็คิดจะต้อนรับอย่างดีและน้อมส่งด้วยของขวัญ แต่ท่านกลับสังหารคนของเผ่าข้าอย่างไร้สาเหตุ ทั้งยังพาคนมาบุกรุกปากหุบเขาราชากวางของข้าด้วยเจตนาร้ายอีก! ต่อให้แจ้งเรื่องนี้ต่อนครจังหวัด ท่านก็ต้องมอบคำว่ากล่าวให้เผ่าเราเช่นกัน!”
“คำว่ากล่าวหรือ” ลู่เซิ่งกำลังคลึงผลึกมุกงดงามก้อนหนึ่งเล่นอย่างเบื่อหน่าย พอได้ยินคำพูดนี้ก็เบือนหน้าไปยิ้มให้ผู้เฒ่าสือที่อยู่ด้านข้าง
“เช่นนั้นก็มอบคำว่ากล่าวให้มันเถอะ” ผู้เฒ่าสือให้ความร่วมมืออย่างดี แสยะยิ้มอย่างดุร้าย “เผ่ากวางดำซุกซ่อนไส้ศึกจากพิภพมาร ติดสินบนแม่ทัพดูแลเสบียงในนครเขต หมายจะกบฏ สมควรตายหมื่นครั้ง สังหารตามกฎหมาย” เขาประกาศเหตุผลที่พวกตนลงมือเสียงดัง
“เหลวไหล!” เจิงเสี่ยนโกรธจนตัวสั่น เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกพิภพมาร ยิ่งอย่าว่าแต่ติดสินบนแม่ทัพดูแลเสบียงในนครเขตหรือคิดจะกบฏ
อย่างมากสุดก็มีข้อตกลงลับๆ บางส่วน แต่ไม่มีการแลกเปลี่ยนกันเด็ดขาด อยู่ดีๆ เขาจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม
“อยากใส่ร้ายป้ายสี จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น! พวกเจ้าใส่ความกันชัดๆ เจ้าสำนักลู่ ไม่มีหลักฐานสักอย่าง! พวกเจ้าจงใจสาดโคลนใส่พวกเราเผ่ากวางดำ!” เจิงเสี่ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สบถด่าดุเดือด
“ความหมายของเจ้าคือ ข้ากำลังปรักปรำเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“หรือว่าไม่ใช่?!” เจิงเสี่ยนยังคิดด่าอีก ทว่าสตรีวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างยื่นมือไปห้ามไว้ บนศีรษะของนางมีเขากวางสีขาวเรียวเล็กสองข้างงอกอยู่ สวมเสื้อผ้าหรูหรา สภาวะไม่ธรรมดา
“เจ้าสำนักลู่ ก่อนจะทำอะไร ขอให้ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาให้ดี พวกเราเผ่ากวางดำรักษากฎ ทั้งคุ้มครองป่า ทั้งควบคุมเผ่าปีศาจเพื่อต้าอิน เพื่อราชสำนัก เพื่อใต้หล้ามาโดยตลอด ท่านทำแบบนี้ออกจะล้ำเส้นไปหรือไม่”
ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความจริงข้าไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลเหมือนกัน เพียงแต่ช่วงนี้ได้ข่าวมาว่า มีคนรายงานต่อสำนักข้าเป็นการลับว่า อาวุธเทพหมอกมัวประจำเผ่ากวางดำสบคบคิดศัตรู แอบซ่อนแม่ทัพมารเอาไว้ ถ้าหากพวกเจ้ายอมมอบอาวุธเทพหมอกมัวมา สำนักเราก็ยินดีจะรายงานราชสำนักเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบาได้”
การแสดงย่ำแย่ไปแล้ว…
ผู้เฒ่าสือกับราชาเงามืดที่อยู่ด้านข้างมุมปากกระตุก เกิดความรู้สึกประดักประเดิด เจ้าสำนักของตนโกหกหน้าตายจริงๆ
ไม่ใช่ว่าอาวุธเทพทุกชิ้นจะกลายเป็นศัสตราเทพคลั่งได้ อาวุธเทพศัสตรามารที่ไม่ใช่ศัสตราเทพคลั่งไม่ได้มีสติปัญญาสูงนัก ยิ่งอย่าว่าแต่สมคบคิดศัตรู หรือซ่อนตัวแม่ทัพมาร…
คิดจะเอาอาวุธเทพของคนอื่นก็น่าจะพูดตรงๆ ถ้าจะหาเหตุผลก็ควรหาดีๆ หน่อย พอทำแบบนี้ ต่อให้เผ่ากวางดำอยากยอมแพ้ ก็…
“ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!” ในที่สุดหัวหน้าเผ่ากวางดำเจิงเสี่ยนที่อยู่อีกด้านก็ทนไม่ไหวแล้ว “ลู่เซิ่ง! สำนักพันอาทิตย์! พวกเจ้า! พวกเจ้า! ช่าง!”
เด็กหนุ่มหวังอวี้ฮุยที่ซ่อนตัวอยู่ไกลออกไปสะใจจนตัวสั่น
“พวกเจ้าก็มีวันนี้! มีวันนี้เหมือนกันหรือนี่!?” ความลิงโลดกับความบิดเบี้ยวบนใบหน้าเขาผสมกัน กลายเป็นสีหน้าประหลาดที่ไม่อาจบรรยาย
“เฮ้อ…” หนูไผ่จู๋เหวินเฉียงถอนใจยาวขึ้นด้านข้าง เขาเข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของหวังอวี้ฮุยดี เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดสำนักพันอาทิตย์ที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมมาโดยตลอด อยู่ๆ ก็หาเรื่องเผ่ากวางดำ เกรงว่าในนี้จะต้องมีเลศนัยแน่…เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าป่าแห่งนี้จะเกิดความวุ่นวายนับไม่ถ้วน
ตอนนี้ที่ไกลออกไปมีการเปลี่ยนแปลงใหม่
คนของสำนักพันอาทิตย์มาไม่กี่คน ทว่าแต่ละคนต่างก็เป็นหัวกะทิ ห้อมล้อมปากทางเข้าออกหุบเขาราชากวางไว้รอบด้าน
ตอนนี้ ผู้เฒ่าสือถือศีรษะมีเขาที่โชกเลือดอย่างน่ากลัวไว้
“นี่คือแม่ทัพมารจากพิภพมารที่พวกเราสังหารในหุบเขาเทพกวางของเผ่ากวางดำ!” เขากล่าวดังๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ปรักปรำ! เป็นหุบราชากวางต่างหาก! หุบเขาราชากวางเปิดครั้งล่าสุด แม้แต่คนของเผ่าเราก็ไม่ได้เข้าไปสักคน” เจิงเสี่ยนเส้นเอ็นปูดโปนทั่วร่าง เลือดลมพลุ่งพล่าน ไฟแทบพุ่งออกมาจากสองตา อีกฝ่ายยังไม่รู้จักชื่อของสถานที่ประจำเผ่าด้วยซ้ำ ถึงกับกล้าปรักปรำต่อหน้า นี่มันช่าง…
“พอแล้ว หยุดพูดมากเสียที” ลู่เซิ่งหงุดหงิดบ้างแล้ว แค่ล้อมปราบเผ่ากวางดำ จะหาข้ออ้างอะไรก็ได้ ตอนนี้ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว “ลงมือ!”
“ขอรับ”
ผู้เฒ่าสือกับราชาเงามืดรับคำสั่งพร้อมกัน หัวกะทิที่ยืมมาจากสำนักพันอาทิตย์พากันยิ้มแย้ม การมาในครั้งนี้ ลู่เซิ่งได้สัญญาผลประโยชน์จำนวนไม่น้อยไว้ก่อนแล้ว ถึงอย่างไรก็มีเจ้าสำนักลู่ ลู่เซิ่งคอยคุ้มกะลาหัว พวกเขาเพียงทำตามคำสั่ง ก่อนออกเดินทางก็ได้คุยกันไว้ชัดเจนแล้วว่าจะแย่งผลประโยชน์ได้เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับตัวเอง
“ฆ่า!” หัวหน้าเผ่ากวางดำเห็นท่าไม่ดี ในที่สุดก็สิ้นหวังโดยโดยสมบูรณ์ ก่อนจะนำกลุ่มพุ่งไปฝั่งตรงข้ามเป็นคนแรก
……………………………………….