บทที่ 1282 –  พลังแห่งศรัทธาคือกลื่นอายแห่งทรราชย์

 

“พวกผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจ ทุกคนล้วนมีพลังแห่งศรัทธา”

 

ชิงสุ่ยใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจในทันใด แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจหลายคนในอีกสามมหาทวีปที่เหลือก็ยังจัดได้ว่ามีจำนวนน้อยอยู่ดี อาจจะมีเพียงหนึ่งในร้อยล้านคนก็เป็นได้ และพวกเขาทุกคนยังเป็นที่รู้จักไปทั่วอีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาได้รับความนับถือ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมคนเหล่านั้นจะมีพลังพลังแห่งศรัทธาอยู่เคียงข้างพวกเขา

 

“เฉพาะผู้ที่ได้ครอบครองพลังพลังแห่งศรัทธา เท่านั้นที่เหมาะสมจะถูกเรียกว่าผู้ปกครองโลก ผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจล้วนต้องเกรงคนที่มีพลังเช่นนี้ เพราะเพียงกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมาก็น่ากลัวมากแล้ว”

 

“พลังแห่งศรัทธามีผลกระทบต่ออย่างอื่นด้วยหรือไม่? ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากพลังแห่งศรัทธาเช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยตระหนักดีว่าตัวเขาเองยังไม่มีพลังแห่งศรัทธา ดังนั้นเขาจึงอยากเข้าใจมันให้มากยิ่งขึ้น

 

“ก็ไม่ทั้งหมด ดั่งที่ข้าได้กล่าวไปก่อนหน้า  พลังแห่งศรัทธาไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ใดๆ ถ้าหากเจ้าได้ก้าวขึ้นมาถึงระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจแล้ว พลังของเจ้าจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายรอบๆตัวเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ลองนึกดูว่าถ้าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจในตอนนี้ ลึกๆในใจเจ้าย่อมรู้ดีว่าเจ้าจะขี้ขลาด แต่ถ้าเจ้าเชื่อว่าพลังแห่งศรัทธานั้นมีอยู่จริงเจ้าจะได้รับพลัง มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่สามารถรับมันได้ นี่เป็นความน่าอัศจรรย์ของพลังนี้ที่บุคคลหนึ่งสามารถส่งต่อให้กับอีกบุคคลหนึ่งได้ เหมือนกับพลังที่ตื่นขึ้นมานอกเหนือจากพลังของตนเอง พลังประเภทนี้ค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อน ในบางครั้งมันช่วยเจ้า ในบางครั้งมันก็ไม่ช่วยเจ้า” หญิงสาวอธิบายพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย

 

ชิงสุ่ยเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย พลังแห่งศรัทธาย่อมขึ้นอยู่กับตัวบุคคล แน่นอนว่าถ้าใช้อย่างถูกวิธีผลที่ได้รับก็จะดีมาก

 

“พลังจำพวกนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง มีคำกล่าวไว้ว่ามันคือพลังของเทพนี่เป็นเหตุผลที่เจ้าไม่อยากเชื่อเรื่องพวกนี้และมิอาจเชื่อได้อย่างสมบูรณ์” หญิงสาวพูดย้ำเมื่อเห็นสีหน้าของชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยส่ายศีรษะ หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ

 

“ต้องขอขอบคุณท่านมากสำหรับข้อมูลพวกนี้” ชิงสุ่ยรู้สึกขอบคุณต่อหญิงสาว ข้อมูลพวกนี้คงมิอาจหาได้จากที่ไหนหรือจากใครอื่นได้ง่ายดายนัก

 

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก อย่างไรก็ตามข้าได้ข่าวมาว่าอัจฉรินะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นสามารถได้รับพลังแห่งศรัทธาได้จากสัตว์อสูรบางตัวอีกด้วยเนื่องจากพวกเขามีสัตตะดวงใจอสูร ยังมีข่าวลืออีกว่าหนึ่งในนั้นสามารถได้รับพลังส่วนหนึ่งจากสัตว์อสูรที่เชื่อฟังเขา นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไม สัตตะดวงใจอสูร ทรงพลังยิ่งนัก”

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจเมื่อคิดถึงเรื่องมังกรไอยราเกล็ดทองคำและตัวเอง แต่พวกชนป่าเถื่อนพวกนั้นสามารถมีพลังเช่นเดียวกับเขาและยังสามารถได้รับพลังแห่งศรัทธา? พลังชนิดนี้สามารถเพิ่มได้ทีละนิดและค่อยๆใช้เวลาเก็บสะสมเพื่อกลายเป็นสิ่งที่ทรงพลัง ดั่งที่หญิงสาวได้บอกไว้ มันเป็นพลังที่ลึกซึ้งเพราะในบางครั้งมันจะช่วยเสริมพลังให้พวกเขา แน่นอนชิงสุ่ยย่อมรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าพลังที่ได้รับมาจากมังกรไอยราเกล็ดทองคำอีกแล้ว

 

“เช่นนั้นแล้วมนุษย์สามารถได้รับพลังแห่งศรัทธาจากสัตว์อสูรได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ด้วยอีกคำถาม

 

“แน่นอน สัตว์อสูรที่มีความเชื่องสูงจะสามารถมอบพลังแห่งศรัทธาให้แก่ผู้เป็นนายได้ ยิ่งมีระดับการเปลี่ยนแปลงที่มอบให้สัตว์อสูรได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะได้รับพลังแห่งศรัทธาจากอูสรกลับมาเท่านั้น”

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจ เขานึกถึงสัตว์อสูรของตนเองและตระหนักได้ว่าพวกมันก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทำไมตัวเขาถึงไม่ได้เคยได้รับรู้พลังแห่งศรัทธาเลย

 

“ท่านจะรู้สึกถึงพลังแห่งศรัทธาในตัวเองได้อย่างไร?” ชิงสุ่ยถาม

 

“พลังแห่งศรัทธาในตัวของเจ้าจะรับรู้ได้ผ่านกลิ่นอายทรราชย์หรืออย่างปราณราชันย์หรือปราณจักพรรดิ…” หญิงสาวตอบไปบางส่วน

 

ในที่สุดชิงสุ่ยก็เข้าใจในคำอธิบายของหญิงสาว ก้อนเมล็ดเจ็ดสีและปราณจักพรพรรดิเป็นที่รู้จักในนามของพลังแห่งความเชื่อมั่น ในอีกแง่นึงมันอาจจะเป็นพลังแห่งศรัทธาที่เขากำลังต้องการก็เป็นได้ ชิงสุ่ยรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาในทันใด อย่างน้อยเขาก็มีพลังบางส่วนของพลังแห่งศรัทธา แล้วการพัฒนาของก้อนเมล็ดเจ็ดสีครั้งล่าสุดจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพลังแห่งศรัทธาหรือไม่นะ?

 

ตัวมังกรไอยราเกล็ดทองคำเองก็ถูกพัฒนามาจากหมูป่าอสูรมณีรัตน์ ดังนั้นชิงสุ่ยรู้ดีเลยว่าเขาจะต้องได้รับประโยชน์จากมันได้ดีมาก

 

อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยรีบสลัดความคิดนี้ออกไปเสียก่อน เขาไม่ต้องการคิดเรื่องมันไปมากกว่านี้แล้ว เขายังคงต้องใช้พลังที่มีอยู่ต่อไปให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่หวังพึ่งพลังแห่งศรัทธามาเสริม

 

หลังจากที่ชิงสุ่ยคิดอยู่ชั่วครู่ เขากลับมาให้ความสนใจกับหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้า เขาตระหนักได้ว่านางมีพลังน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งเพราะว่ากลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมารอบๆตัว ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถคาดเดาถึงพลังที่แท้จริงของนางได้เลย

 

เวลาผ่านไปกว่าครึ่งค่อนวัน ชิงสุ่ยได้เรียนรู้หลายสิ่งที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งหมดล้วนเกี่ยวของกับสามมหาทวีปที่เหลือและมหาทวีปอู่เซียตะวันตก

 

…….

 

ในช่วงบ่ายแก่ๆ ชิงสุ่ย ถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานก็เดินทางกลับ เว้นแต่หญิงสาวคนนั้นยังคงอยู่ที่นี่ ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะขอช่องทางติดต่อของนางยังไงดีแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ หญิงสาวคนนี้จะต้องอยู่ในสามมหาทวีปที่เหลืออย่างแน่นอน เขาเป็นหญิงที่รักในการผจญภัย

 

“มุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิอวี้และพักสักสองสามวันเถอะ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยิ้ม

 

หญิงสาวทั้งสองจะต้องรู้สึกเบื่อและอยากออกไปหาอะไรสนุกๆทำเป็นแน่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกนางทั้งสองจึงรีบพยักหน้าเมื่อยินคำพูดของชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามทั้งสองยังเขินอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด

 

ชิงสุ่ยหัวเราะก่อนจะคว้ามือพวกนางท้งสองแล้วใช้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวา

 

ในทันทีที่พวกเขามาถึงเมืองตระกูลเหยียน พวกเขามุ่งหน้าไปยังฤหาสถ์ของชิงสุ่ย หญิงสาวถึงกับต้องประหลาดใจเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ทีใด เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงกลางคืนถานท่ายหยวนหันไปกล่าวกับทั้งสองคน

 

“ข้าจะไปตลาดนัดยามค่ำคืนเสียหน่อย!” ถานท่ายหยวนกล่าวต่อชิงสุ่ยและอวี้ลู่หยาน

 

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันสิ!” ชิงสุ่ยหันไปมองอวี้ลูหยานและพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้

 

“พะ พวกเจ้าทั้งสองคนก็จะไปด้วย เช่นนั้นในคืนนี้พวกเจ้า…” ถานท่ายหยวนกังวล นางไม่อยากจะพบเจอสถานการณ์เช่นนั้นอีก หัวใจของนางรู้สึกสับสนเมื่อมองหน้าชิงสุ่ย นางไม่สามารถสงบจิตใจได้เลย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะว่าไม่ว่าใครก็จะเกิดอาการเช่นนี้เมื่อพบเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันแต่ถึงอย่างนั้นมันก็มิใช่เหตุการณ์ทีสามารถลืมกันได้ง่ายๆ

 

“ดีแล้ว นี่มันเป็นปัญหาจริงๆ ข้าไม่คิดว่าเราจะสามารถทำเช่นนี้ได้ตลอดไป ในสองครั้งแรกนั่นเกิดจากเหตบังเอิญ อย่างไรก็เถอะ ข้ากับอวี้ลู่หยานได้ทำมันหลายครั้งและเจ้าก็เห็นเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ได้เห็นมันแล้วด้วย เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะมาเห็นมันอีก…” ชิงสุ่ยกล่าวความจริง พวกเขาถูกจับได้ถึงสองครั้ง เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้อีกที่พวกเขาจะถูกจับได้ แม้ว่าในสองครั้งแรกเป็นเพียงเหตุบังเอิญ อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาค่อนข้างแปลกประหลาดเมื่อกล่าวต่อหญิงสาว

 

“ชิงสุ่ย เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน” อวี้ลู่หยานพูดขึ้นก่อนจะดึงตัวถานท่ายหยวนมาฝั่งนางก่อนที่จะกล่าวต่อ “คืนนี้พวกเราจะไปเดินเล่นและนอนด้วยกัน”

 

“ห้ามพูดว่า’ไม่’เชียว อวี้ลู่หยานรีบแทรกขึ้น เมื่อนางเห็นชิงสุ่ยกำลังเอ่ยปากกล่าวบางอย่าง ”

 

ชิงสุ่ยปิดปากลงอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขานำหุ่นเชิดสวรรค์ออกมาสองตัว ก่อนจะมอบให้หญิงสาวทั้งสอง”นี่สำหรับพวกเจ้าทั้งสอง”

 

หลังจากนั้น เขาได้อธิบายถึงวิธีการใช้งานหุ่นเชิด นี่เป็นบทเรียนที่เรียนรู้ได้ผ่านสายตา พวกนางสามารถเข้าใจวิธีการใช้งานหลังได้รับการอธิบาย

 

หลังจากหยดเลือดลงไปยังหุ่นเชิดนี้ พวกมันจะมีชีวิตขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดูมีชีวตชีวามากเท่าที่เขาคิดไว้ก็ตาม แต่พวกมันก็ยังคงดูดี ความบรสุิทธิ์และสีผิวของพวกมันค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ไปในทางที่ดี

 

“เจ้าหุ่นเชิดนี่ช่างดีจริงๆ” ถานท่ายหยวนอุทานออกมาอย่างมีความสุข

 

“ของพวกนีอีกเช่นกัน เลือกตัวที่พวกเจ้าชอบแล้วเอาไปประดับตกแต่งห้องของพวกเจ้าสิ ชิงสุ่ยหยิบหุ่นเชิดพวกนี้ออกมากว่าร้อยตัวและมอบให้หญิงสาว ทั้งหมดล้วนเป็นหุ่นเชิดที่สวยงามและละอียดอ่อน”

 

ถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานเลือกพวกมันบางส่วนก่อนจะออกจากคฤหาสถ์ ทั่วทั้งถนนต่างตกแต่งไปด้วยโคมไฟ และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นถนนยอดนิยมในย่านนี้อีกด้วย

 

พวกเขาใช้เวลาอยู่ทีสถานที่แห่งนี้ซักพัก อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยเคยเดินไปทั่วทั้งถนนย่านนี้มาหมดแล้ว เป้าหมายของเขาก็คือการทิ้งรอยเท้าของตนเอาไว้ทั่วทั้งโลกเก้ามหาทวีป แต่ช่างโชคร้าย เขารู้ดีว่านี่เป็นความฝันที่มิอาจบรรลุได้ง่ายดายนัก

 

ทั้งสามคนต่างมีความรู้สึกเดียวกันเมื่อพวกเขาเดินไปทั่วทั้งตลาด พวกเขาแต่ละคนต่างมาจากคนละที่พบเจอเรื่องราวมาต่างกันแต่พวกเขาล้วนมีเป้าหมายชีวิตเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเป้าหมายพวกนั้นจะเหมือนหรือแตกต่างกัน ชิงสุ่ยก็ไม่คิดจะหยุดเดินเช่นเดียวกับที่เขาต้องพบเจอกับผู้คนต่างๆต่อไป

 

“ท่านแม่ ข้าจะเอาอันนั้น!” เสียงของเด็กคนหนึ่งดังขึ้นมา

 

ชิงสุ่ยเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกสาวตัวน้อยในอ้อมแขน หญิงสาวมิได้มีหน้าตาสวยงามและค่อนข้างดูธรรมดาเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นแม่ปรากฏอยู่ทั่วทั้งใบหน้าของนาง

 

สาวน้อยคนนั้นเพิ่งจะมีอายุสองหรือสามขวบ นางกำลังพูดกับแม่ในขณะที่กำลังชี้มือไปยังร้านเนื้อย่าง

 

“เจ้าตัวตะกละ ถ้าเจ้ากินมันอีกจะทำให้ปวดท้องเอานะ นี่เป็นชิ้นสุดท้ายแล้วนะ ” หญิงสาวยิ้มให้

 

“ก็ได้ ก็ได้…”

 

เมื่อพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ชิงสุ่ยรู้สึกคิดถึงลูกๆของตนขึ้นมาทันที แม้พวกคนจนและคนรวยจะมีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน แต่ทว่าความสุขที่เกิดขึ้นนั้นไม่ต่าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคลด้วย ความรักก็เช่นกันเพราะความรักไม่สามารถแบ่งด้วยระดับขั้นหรือชนชั้นได้

 

ในขณะที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ชิงสุ่ยยังคงสังเกตุความเป็นอยู่ของผู้คนต่อไป เขาสังเกตุสิ่งหนึ่งที่พบได้ทั่วไปนั่นคือความพยายามของบางคที่จะปีนขึ้นไปยังที่สูงของสถานที่แห่งนี้เพื่อให้เห็นทิวทัศ์ทีชัดเจน ก็เช่นเดียวกับความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลนั่นแหละต้องปีนป่ายเพื่อให้ไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า

 

ชิงสุ่ยนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาก่อนจะหันศีรษะไปมองรอบๆ ณ ช่วงเวลาแห่งความคิด มีความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยพลังเกิดขึ้นมาในใจของเขา หญิงสาวทั้งสองมองไปยังชิงสุ่ยที่กำลังปล่อยให้ความคิดและจิตใจเดินไปกับทั่วท้องถนนแห่งนี้ แม้จะดูพิลึกไป แต่ทั้งสองกลับตัดสินใจจะไม่ไปรบกวนเขา

 

ทันใดนั้นก็มีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้น สิ่งที่พวกนางได้เห็นต่อไปก็คือชิงสุ่ยได้ไปเดินชนเข้ากับใครซักคน ชิงสุ่ยไม่เป็นอะไรแต่คู่กรณีกระเด็นล้มลงไปกับพื้น อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรีบความมือและดึงเขาขึ้นมา “หลีกทาง หลีกทาง อย่ามายุ่งกับนายน้อยโจวของพวกเราที่กำลังตามจับใครบางคน ”

 

ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็ปรากฏเสียงดังอึกทึกอยู่บนท้องถนน

 

ในตอนนั้นชิงสุ่ยก็ได้รู้ว่าชายผู้นั้นที่เขาคว้ามือเอาไว้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือด สิ่งที่เขายังเหลืออยู่ก็มีเพียงลมหายใจที่รวยรินเท่านั้น

 

ชิงสุ่ยไม่ถามอะไรให้มากความ เขารีบสกัดจุดบนร่างกายของเด็กหนุ่มเพื่อหยุดอาการเลือดไหล และนั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่มีชายฉกรรจ์กว่าสิบคนรุมล้อมตัวเขาไว้

 

“หลางฉี รีบหนีในขณะที่เจ้ายังไหวสิ มาดูสิว่าเจ้าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหนหลังจากที่ได้ล่อลวงผู้หญิงของข้าแล้ว  ” เสียงแหลมดังปรากฏขึ้น

 

“ฮะฮ่า ผู้หญิงของเจ้า? นางเป็นภรรยาของข้า เจ้าต่างหากทีเป็นคนลักพาตัวนางไป และยังมาทำให้เป็นความผิดที่ไร้สาระของข้า”

 

“ผู้หญิงของเจ้า? ไม่ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นใคร ถ้าหากข้านายน้อยโจวต้องการก็จะต้องเป็นของข้า เจ้าเป็นใครที่ริอาจมาต่อกร?” ชายในชุดคลุมสีขาวเดินออกมาพร้อมกล่าวด้วยเสียงแหลม เขามีใบหน้าที่เรียวและดวงตาที่เล็ก ชายผู้นี้จัดอยู่ในมาตรฐาน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดับปานกลาง

 

“หากปราศจากตระกลโจว เจ้าก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เมื่อเข้าได้สียกับถางเอ๋อแล้ว ข้าก็ย่อมตายตาหลับ” หลางฉีกล่าวออกมาเสียงดัง

 

“เจ้าโง่ เจ้าคิดหรือว่าถางเอ๋อจะชอบคนอย่างเจ้า? ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมาณแม่งกระทั่งในความตาย” นายน้อยโจวหัวเราะออกมา เมื่อสิ้นเสียง หญิงงามก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังและก้าวเดินออกมา

 

หญิงสาวคนนี้ช่างงดงามจนสามารถปลุกวิญญาณของบุรุษได้ หญิงสาวที่ได้รับความสนใจจากนายน้อยโจวมักจะมีลักษณะเช่นนี้ ใบหน้าของนางงดงามราวกับหยกและที่สำคัญกว่านั้นคือความอ่อนช้อยที่จะทำให้ทุกคนเมตตาและหลงรักนาง แม้กระทั่งยอมปกป้องนางจากอันตรายทุกอย่าง

 

“ถางเอ๋อบอกไปสิ ว่าเจ้าชอบใครระหว่างข้ากับมัน”นายน้อยโจวจับข้อมือของนางพร้อมพูด้วยน้ำเสียงโกรธ

 

“ถางเอ๋อข้าบอกให้เจ้าหนีไปมิใช่หรือ? เจ้าควรจะวิ่งหนีไป…”

 

เมื่อหลางฉีเห็นหน้าของนาง หัวใจของเขาก็ค่อยๆเต้นช้าลง..