บทที่ 106 ความสำเร็จที่กล้าหาญ ‘น้ำใจไมตรีที่มิอาจเทียบเทียม’

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 106 ความสำเร็จที่กล้าหาญ ‘น้ำใจไมตรีที่มิอาจเทียบเทียม’!
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ฟางหนิงเป็นคนใจอ่อน

ภายในเวลาไม่ถึงนาที หมาดำก็กลับมารายงานด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ‘หลังจากมันแจ้งเจิ้งเต้าเสร็จ อีกฝ่ายก็ได้เริ่มโทรศัพท์หาพ่อครัวฟาง ทีมพ่อครัวของร้านอาหารตระกูลฟางกำลังมุ่งหน้ามายังที่นี่อย่างรีบเร่ง…’

เดิมทีเขาอยากจะตำหนิหมาดำกับท่าทางเอ้อระเหยที่ไม่ฟังคำพูดของเจ้านายให้จบ แต่เมื่อเห็นสีหน้า ‘รีบมาชมผมเถอะ’ ของอีกฝ่าย ฟางหนิงจึงตัดสินใจให้อภัยสุนัขโง่เขลาตัวนี้

อย่างไรก็ตาม มันเองก็ได้ทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างตน เพียงแต่ลงมือเร็วไปหน่อย ก็เพราะมันชื่อ ‘ไป๋หลี่เท่อ’ น่ะสิ

ช่วยไม่ได้ สุนัขของใคร ใครก็รัก ถึงจะโง่ไปหน่อย แต่ก็ถือว่าฉลาดแล้ว ทว่าความกดดันคงมาตกอยู่ที่เขาแทนแล้วนี่สิ เพราะสุนัขฉลาดมักหลอกยาก

ฟางหนิงส่งเสียงไอ ‘แค่กๆ’ และพูดต่อว่า “เอาล่ะ ไป๋หลี่เท่อความกระฉับกระเฉงในการปฏิบัติตามหน้าที่ของแกดีเยี่ยม เรื่องนี้ขอชมเชย แต่ว่า ครั้งต่อไปอย่าลืมฟังฉันพูดให้จบก่อนล่ะ แล้วค่อยไปปฏิบัติตามหน้าที่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมาเหลืองเซวียปาก็ส่งสายตา ‘ดูถูก’ ให้กับเพื่อนที่เพิ่งทำภารกิจที่ต้องใช้ความเร็วเสร็จ ‘เจ้าไป๋หลี่ ดูแกสิ ไม่รอบคอบเอาซะเลย โดนตำหนิแล้วล่ะสิ? แกเรียนรู้ที่จะสุขุมแบบฉันไม่ได้เหรอ?’

จากการแย่งอาหารกันของสุนัขสองตัวนี้ในหลายวันที่ผ่านมา แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพื่อนยาก แต่หมาเหลืองเซวียปาก็ต้องการตั้งตัวเองให้เป็นลูกพี่ที่แท้จริง อย่างน้อยกระดูกชิ้นใหญ่ก็ต้องเป็นของมัน…

ดังนั้น มันจึงกดหมาดำให้ต่ำอยู่เป็นระยะๆ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับโดยดี…

หมาดำไป๋หลี่เท่อส่งสายตาเฉยเมยกลับ ‘เจ้านายกำลังชมเชยฉันชัดๆ เมื่อครู่เจ้านายบอกด้วยว่าความกระฉับกระเฉงในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันดีเยี่ยม ครั้งต่อไปฉันจะวิ่งให้เร็วกว่านี้อีก’

หมาเหลืองเซวียปาหมดคำพูด ‘ดูแกสิ ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรเลย มีแต่กล้ามเนื้อเน้นๆ ถึงไม่รู้ว่าคำพูดของมนุษย์นั้น ประเด็นมักอยู่หลังคำว่า ‘แต่ว่า’ เหรอ?’

หมาดำไป๋หลี่เท่อกลอกตา และโจมตีกลับอย่างรุนแรง ‘สุนัขเด็กเรียนอย่างแกรู้เยอะก็จริง แต่ก็ยังโสดไม่ต่างไปจากฉันไม่ใช่เหรอ?’

หมาเหลืองเซวียปา ‘ความคิดเราไม่ตรงกัน ตั้งใจฟังเจ้านายพูดเถอะ อย่าเบนความสนใจ’

หมาดำไป๋หลี่เท่อ ‘เห็นได้ชัดว่าแกทนความเหงาไม่ได้ แล้วมาเล่นหูเล่นตาใส่ฉันก่อน…’

หมาเหลืองเซวียปากระอักเลือด ‘แกไม่เคยอ่านหนังสือ แล้วไปเรียนสำนวนนี้มาจากไหน? เห็นจากในทีวีของมนุษย์น่ะสิ ใช้ผิดที่ผิดทางแล้ว อย่าไปบอกคนอื่นนะว่าเรารู้จักกัน’

ฟางหนิงไม่เข้าใจภาษาสุนัข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสื่อสารผ่านสายตาอย่างลึกซึ้งระหว่างสุนัขสองตัวแบบนี้

เขาไม่รู้ตัว และยังคงพูดต่ออย่างไม่สนใจใคร “เจ้าหมาเหลืองเซวีบปา ครั้งนี้แกทำได้ดีมาก ช่วยฉันหาตำแหน่งของแมลงปีศาจและพญาแมลงเจอได้อย่างราบรื่น จึงได้เจอกับพระโพธิสัตว์ปีศาจ และในที่สุดก็ได้รวมพลังกับท่านในการฆ่าแมลงปีศาจ เพื่อกำจัดมารผจญตัวนี้ให้กับโลก ครั้งนี้ฉันได้คิดไตร่ตรองแล้วว่าจะมอบรางวัลใหญ่ให้แก”

เมื่อได้ยินคำชมที่ชัดเจนของเจ้านาย และยังมีรางวัลใหญ่ที่จะมอบให้กับตนด้วย เจ้าเซวียปาก็ดีใจจนยิ้มหน้าบาน และอดไม่ได้ที่จะกระดิกหาง

หมาดำไป๋หลี่เท่อตอบกลับด้วยสายตา ‘ดูหมิ่น’ ‘เก็บอาการหน่อยได้ไหม? คิดไม่ถึงว่าจะกระดิกหางเหมือนหมาธรรมดาด้วย! ตอนนี้ฉันเองก็ไม่อยากรู้จักกับแกเหมือนกัน แกมาจากชนบทไหนเหรอ? แน่นอนว่าไม่ใช่หมาภาคพื้นชั้นสูงอย่างฉันแน่นอน’

หมาเหลืองเซวียปาไม่แม้แต่จะหันไปตอบโต้ เพียงเชิดหน้าขึ้นสูง และยังคงกระดิกหางต่อไป โดยไม่สนใจหมาดำแม้แต่น้อย มันแสดงท่าทาง ‘ถึงแกจะอิจฉาก็ไร้ประโยชน์’ ทำให้หมาดำได้แต่กัดฟัน

อย่างไรก็ตาม ฟางหนิงไม่ใช่เทพแห่งระบบ จึงขาดความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนไปของสิ่งแวดล้อม เขาสนใจแต่ตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของสุนัขทั้งสองปะทะกันจนถึงจุดที่เกือบจะกัดกันแล้ว

เขาพูดต่อว่า “รางวัลใหญ่นี้ก็คือ ฉันจะสอนวิธีฝึกบำเพ็ญให้แกด้วยตัวเอง มันล้ำค่ามาก ซึ่งเป็นวิชาเดียวในโลก เพียงแต่ถ้าต้องการเริ่ม ต้องดูว่าสุขภาพจิตของแกมีคุณสมบัติหรือไม่ หลังจากสำเร็จ มันจะช่วยปกป้องร่างกายของแกได้เป็นอย่างดี ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด และยังสามารถพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตัวได้อย่างมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกไว้วางใจแกตั้งแต่แวบแรก

ฟางหนิงใช้วิธีการมอบรางวัลทั่วไปของเหล่าเจ้านาย โดยแนะนำผลงานที่ผ่านมาของผู้ได้รับรางวัลอย่างละเอียด แล้วอธิบายถึงมูลค่าของรางวัล เพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานอย่างเต็มที่

รางวัลที่สุนัขโสดสองตัวนี้อยากได้มากที่สุด ไม่ใช่พลัง แต่เป็นสุนัขสาว เขามองออกนานแล้ว ดังนั้น จึงได้พูดประโยคหลังเสริม ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาเองก็เจ้าเล่ห์ไม่น้อย…

เมื่อเจ้าหมาเหลืองได้ยินก็น้ำลายไหลไม่หยุด และส่งสายตา ‘หยิ่งลำพอง’ ให้กับเจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อทันที แล้วตอบโดยไม่ลังเลว่า “เจ้านาย ข้าน้อยชอบช่วยเหลือผู้อื่นตั้งแต่ชาติปางก่อน ไม่เคยรังแกผู้บริสุทธิ์แม้แต่คนเดียว ยิ่งกว่านั้น ข้าน้อยมีจิตใจซื่อตรง เมื่อเห็นสุนัขสาวๆ ก็ไม่เคยมีความคิดชั่วร้ายใดๆ ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งกายและใจแน่นอน”

เมื่อเจ้าหมาดำไป๋หลี่เท่อได้ยินก็น้ำลายไหลไม่หยุดเช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ‘ถ้าเจ้านายก็ให้รางวัลตนด้วย หลังจากบรรลุ ก็หมายความว่าตนจะสามารถทำให้สุนัขสาวรู้สึกปลอดภัยและน่าพึ่งพามากขึ้น แล้วยังต้องกังวลกับการต้องเป็นสุนัขโสดอีกหรือ? ครั้งต่อไปจะต้องพยายามมากกว่านี้ จะไม่ปล่อยให้เจ้าหมาเหลืองนั่นแย่งความดีความชอบไปอีก’

ฟางหนิงมองสีหน้าของสุนัขทั้งสอง และรู้สึกว่าถึงเวลาสำหรับมอบรางวัลแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในพื้นที่ของระบบ และเริ่มเรียกหาเทพแห่งระบบ “นำ ‘การฝึกพลังปราณแท้จักรวาล’ ฉบับสมบูรณ์และประณีตทั้งข้อความและภาพประกอบปัจจุบันมาพิมพ์ชุดหนังสือจริงหนึ่งชุด เพียงแค่แกมีค่าประสบการณ์เพียงพอ การสรุปสิ่งนั้นน่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว”

ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ

ระบบใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมากในการสรุป ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ฉบับสมบูรณ์

ระบบใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมากในการสรุป ‘คัมภีร์โพธิ’ ฉบับสมบูรณ์

ฟางหนิงหมดคำพูด “ฉันต้องการแค่ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เท่านั้น แกช่างใจกว้างเสียจริง สรุปสองเล่มพร้อมกันเลย ดูเหมือนว่ารอฉันอยู่ที่นี่นานแล้วสินะ! แต่ถึงแม้ว่าแกจะให้ ‘คัมภีร์โพธิ’ ฉันด้วย สัปดาห์นี้ฉันก็ไม่มีทางเรียนรู้มันหรอก ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากฉันหยุดแล้วกัน”

ระบบไม่ได้ตอบโต้ ผ่านไปพักใหญ่ บนโต๊ะของร้านอินเทอร์เน็ตของระบบถึงส่งเสียง ‘ตูม’ ‘ตูม’ สองครั้ง และมีหนังสือขนาดใหญ่และหนาปึกสองเล่มตกลงมาจากฟ้า

ฟางหนิงหยิบแค่หนังสือเล่มหนาที่มีชื่อว่า ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ขึ้นมา มันหนักมากจริงๆ แถมยังหนาขนาดนี้ ใช้ ‘ก้อนอิฐ’ มาพรรณนาไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ความหนาของ ‘แผ่นซีเมนต์’ จึงจะเหมาะสม

หลังจากระบบส่งหนังสือหนาปึกทั้งสองเล่มนี้ออกมาจึงพูดขึ้นว่า “ฟังจากที่โฮสต์พูดเมื่อครู่ ต้องการถ่ายทอด ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เล่มนี้ให้ผู้ติดตามสินะ”

ฟางหนิง “ใช่ มีปัญหาอะไรไหม?”

ระบบ “ระบบใช้กฎของระบบ และค่าประสบการณ์มากมายในการสรุปทักษะวิชาฉบับสมบูรณ์ ล้วนแต่เป็นฉบับที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ใช้คำพูดของสุนัขเด็กเรียนก็คือ มีกฎเกณฑ์ในนั้น”

“ความภักดีของผู้ติดตามได้รับการตรวจสอบตามกฎแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตจากโฮสต์ จะไม่มีทางเปิดเผยแม้แต่ตัวอักษรเดียว แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันในตอนนี้ต่ำมาก ยากที่จะรับประกันว่าพวกมันจะไม่ถูกคนอื่นจับตัวไป แล้วใช้วิธีบางอย่างให้ได้ทักษะวิชาต้นฉบับ และสุดท้ายก็จะรั่วไหลออกไป ทำให้เกิดภัยพิบัติ โฮสต์ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เหรอ?”

ฟางหนิงสีหน้านิ่งเฉย “ไอคิวระดับแกยังคิดได้ ทำไมฉันจะคิดไม่ถึงล่ะ? จะว่าไป เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนและการอัพเกรด ไอคิวของแกก็ยังสามารถกลับสู่ระดับปกติได้นะ”

ระบบสงสัย “ไร้สาระ ระบบขอถามคุณ แล้วทำไมคุณถึงถ่ายทอดให้พวกมันได้โดยไม่ลังเลสักนิด?”

ฟางหนิงถอนหายใจยาวและแสดงสีหน้าลึกล้ำ “ช่วยไม่ได้ เพราะฉันไม่อยากเห็นคนที่หวังดีกับฉันจริงๆ ต้องตายเปล่าในยุคใหม่ที่คาดเดาอะไรไม่ได้นี้ เมื่อก่อนฉันเป็นคนธรรมดา จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดถึงเรื่องปกป้อง หลังจากนั้นแกก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนที่แกยังเป็นแค่ระบบเล็กๆ ฉันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย”

“แต่ตอนนี้แกกลายเป็นเทพแห่งระบบแล้ว และยังสามารถเทียบเคียงกับเหล่าบอสใหญ่ได้ ฉันได้สร้างทักษะคุ้มกันปราณแท้ให้แกด้วย เพียงแค่สำรองพลังปราณแท้เพียงพอ ทักษะ ‘ปราณแท้คุ้มร่าง’ ก็จะสามารถปกป้องผู้ติดตามและพันธมิตรของเราได้ สำหรับแกแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนที่มีความภักดีและเป็นมิตรที่ได้รับการรับรองตามกฎ”

“แต่สำหรับฉัน พวกเขาก็คือคนที่หวังดีกับฉันจริงๆ เพียงแค่พวกเขาสามารถสำเร็จ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ พลังปราณแท้จำนวนมากที่เราได้รับในยามทั่วไปก็จะสามารถสะสมได้มากขึ้น และพวกเขาก็จะปลอดภัยมากขึ้น ส่วนภัยแฝงเร้นที่แกพูดถึงนั้น ก็เป็นแค่ภัยแฝงเร้นเท่านั้น ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องทั้งหมดก็ง่ายแบบนี้ล่ะ”

ระบบ “ไม่คิดว่าโฮสต์จะวิเคราะห์แบบนี้ ระ… ระบบคิดว่า…”

ฟางหนิงจนปัญญา “แกไม่ใช่มนุษย์ ทำไมถึงรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกล่ะ?”

ระบบ “ไร้สาระ ระบบไม่รู้สึกตื้นตันหรอก ระบบหมายความว่า ความรู้สึกที่แท้จริงของโฮสต์ถูกเปิดเผยกะทันหัน ระบบคิดว่าอาจไปกระตุ้นการตั้งค่าลับอีกแล้ว…”

ตอนนี้ต่อมความรู้สึกของเทพแห่งระบบเฉียบขาดจริงๆ ทันทีที่มันพูดจบ ระบบแจ้งเตือนก็ปรากฏขึ้น

โฮสต์ทำตามความโหยหาสำเร็จ ‘ปกป้องสิ่งที่ต้องการปกป้อง…’ กระตุ้นความสำเร็จที่กล้าหาญหนึ่งเดียวในการตั้งค่าเฉพาะ ‘น้ำใจไมตรีที่มิอาจเทียบเทียม’ ได้รับทักษะในตำนาน ‘ช่วยเหลือหมื่นลี้’ ประสิทธิภาพของทักษะ ‘เมื่อพันธมิตรหรือผู้ติดตามตกอยู่ในภัยคุกคามร้ายแรง แผนที่ใกล้เคียงจะถูกบังคับให้เปิดชั่วคราวเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง ระบบสามารถเลือกใช้ค่าพลังปราณจำนวนมากเพื่อส่งไปยังจุดที่กำหนดที่ใกล้กับอีกฝ่าย เพื่อทำการช่วยเหลือ ซึ่งค่าพลังปราณที่ใช้สัมพันธ์กับระยะทางและอุปสรรค

ฟางหนิงชะงัก “ประสิทธิภาพของทักษะนี้เป็นอย่างไร? ฉันคิดว่าอย่างน้อยในอนาคตเราก็ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนร่วมทีมของเราจะบุกเข้าไปในกลุ่มปีศาจ และถูกทำลายอย่างงงๆ…”

ระบบ “ประโยชน์ไม่ได้มีแค่นี้ ตามคาด เพียงแค่กระตุ้นตั้งค่าลับ สิ่งที่ได้รับก็จะไม่แย่หรอก โมดูลปราณแท้ที่ถูกเปิดใช้งานก่อนเวลาครั้งที่แล้ว โฮสต์ก็ได้เห็นมูลค่าทั้งหมดของมันแล้วนี่”

ฟางหนิงพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีมัน ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ของเราก็ไร้ประโยชน์ เพราะยังคงเปลี่ยนเป็นร่างมังกรไม่ได้ และยังคงไม่สามารถเอาชนะบอสใหญ่พวกนั้นได้ ไม่แม้แต่จะทำลายการป้องกันได้ด้วยซ้ำ”

ระบบ “มูลค่าที่แท้จริงของทักษะนี้ คล้ายกับโมดูลปราณแท้นั้น ซึ่งโฮสต์จะรู้ในภายหลัง เอาล่ะ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เป็นเพียงการฝึกฝนพลังปราณแท้ คนของตระกูลเฉียวก็ทำได้ ไม่ใช่ทักษะวิชาเฉพาะของเรา ถ่ายทอดให้ผู้ติดตามเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แล้วได้รับทักษะในตำนานที่มีศักยภาพไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งนี้ระบบเห็นด้วย แต่ครั้งต่อไปโฮสต์อย่าคิดเองเออเองอีก เพราะระบบไม่มีทางถ่ายทอดทักษะวิชาหลักของระบบให้ใครเด็ดขาด ขืนรายละเอียดเบื้องลึกรั่วไหลออกไป กลายเป็นเป้าหมายของใครเข้า จะอันตรายเกินไป”

ฟางหนิง “เรื่องนี้ต้องรอให้แกสอนอีกเหรอ? แกดูสิฉันไม่เคยพูดถึง ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ สักคำ”

ระบบ “ถึงโฮศต์จะพูดถึงระบบก็ไม่มีทางเห็นด้วยเด็ดขาด… จริงด้วย เดี๋ยวตอนโฮสต์ออกไปสอนอย่าลืมเปลี่ยนสีหน้าลึกล้ำของโฮสต์กลับล่ะ มันไม่เข้ากับตัวตนของอัศวิน A เลย อย่าทำให้สุนัขสองตัวที่อยู่ข้างนอกกลัวล่ะ พวกมันคุ้นชินกับอัศวิน A หน้านิ่งไปแล้ว”

ฟางหนิง “ให้ตายสิ ถ้าพวกมันเห็นสีหน้าลึกล้ำที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของพวกมันของฉันแล้ว มีแต่จะภักดีต่อฉันมากขึ้น จะกลัวได้อย่างไร?”

ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่หลังจากเทพแห่งระบบพูดเตือน ฟางหนิงก็กลับไปแสดงสีหน้าปกติ จากนั้นจึงหยิบ ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ เล่มนั้นออกมาจากพื้นที่ของระบบ แล้วกลับไปควบคุมร่างกายของอัศวิน A อีกครั้ง

เมื่อเห็นเจ้านายหยิบหนังสือเล่มใหญ่และหนาปึกออกมา สุนัขเด็กเรียนก็ตาลุกวาว กระดิกหางอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม มันแสดงท่าทางดีอกดีใจกระโดดโลดเต้น ใบหน้าฉายชัดเป็นคำว่า ‘ผมอยากอ่าน’

ส่วนเจ้าหมาดำไป๋หลี่กลับถอยออกไปเงียบๆ ก่อนจะมุดหัวเข้าไประหว่างขาหน้าด้วยท่าทางราวกับต้องการบอกว่า ‘ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น’

…………………………………………………………..