บทที่ 353 : ล้างบางเมืองจิงฉู (2)

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันหน้าไปทางห้องน้ำ..

ถังเมิ่งที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกมาพอดี เมื่อความจริงปรากฏต่อหน้า หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก

“ลูก..?!” นางชว่างเหวินฮุ่ยที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้อง รีบเดินดิ่งเข้าไปหาลูกชาย และกอดเข้าไว้แน่น1

ถังเมิ่งเองก็กำลังตื่นเต้นอย่างมาก เขาซบศรีษะลงบนไหล่ของนางชว่างเหวินฮุ่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“แม่ครับ.. ผมไม่เป็นไรแล้ว ผมหายดีแล้วครับ! ผมเคยบอกแม่หลายครั้งแล้วไง.. ถ้าพี่หลิงหยุนกลับมาเมื่อไหร่ เขาจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บของผมได้!”

ตั้งแต่ที่นางชว่างเหวินฮุ่ยมาเฝ้าถังเมิ่งที่โรงพยาบาลนั้น เธอก็ได้ยินถังเมิ่งพูดถึงหลิงหยุนนับครั้งไม่ถ้วน และคอยปลอบใจเธออยู่เสมอว่า อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับหลิงหยุนเลย เธอเองก็ฟังลูกชายพูดจนรู้สึกสบายใจและมั่นใจไปด้วย..

แต่ถึงอย่างนั้น เธอเองก็รู้ดีว่าถังเมิ่งคงจะพูดปลอบใจเพื่อให้เธอสบายใจเท่านั้นเอง เพราะสภาพที่แขนขาเข้าเฝือกและอาการโคม่าแบบนี้ ต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจเพียงใหน ก็ไม่มีทางที่จะทำให้คนที่กระดูกหักสามารถหายและวิ่งได้ในทันที!

แต่ตอนนี้.. ลูกชายของเธอกลับลุกขึ้นมาจากเตียง และกำลังเดินอยู่ต่อหน้าเธอ ชว่างเหวินฮุ่ยรู้สึกราวกับมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น เธอได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข!

สำหรับหัวอกของคนเป็นแม่นั้น.. การที่ลูกชายได้รับการรักษาจนกระทั่งหายดีนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!

ถังเมิ่งยังคงซบอยู่ที่ไหล่ของแม่เขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืดตัวตรง และพูดกับนางชว่างเหวินฮุ่ยว่า

“แม่ครับ.. พี่หลิงหยุนกลับมาแล้ว มีธุระอีกหลายเรื่องที่พวกเราต้องรีบไปจัดการ..”

เวลานี้.. ทั้งสามคนยังต้องไปช่วยคนอื่นต่อ พวกเขาจึงไม่สามารถชักช้าได้!

ชว่างเหวินฮุ่ยช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย! เธอเองก็เคยได้ยินความอัศจรรย์ของหลิงหยุนจากปากสามีและลูกชายของเธออยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้หลิงหยุนก็กลับมาแล้วจริงๆ คงถึงเวลาที่ถังเมิ่งต้องกลับไปแก้แค้น เธอจึงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า

“ลูกไปเถอะ.. ไม่ต้องห่วงที่นี่หรอก เดี๋ยวแม่จะให้คนมาเก็บของเอง!”

ชว่างเหวินฮุ่ยคิดว่า.. ในเมื่อหลิงหยุนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บเข้าขั้นโคม่าของถังเมิ่งได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ยังจะมีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้อีก!

“ขอบคุณครับแม่!” ถังเมิ่งได้แต่ลูบหัวโล้นของตัวเองพร้อมกับยิ้มให้แม่ของเขา

ชว่างเหวินฮุ่ยลูบไหล่ถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หันไปยิ้มให้หลิงหยุน และพูดกับเขาว่า

“หลิงหยุน.. หลายวันมานี้ถังเมิ่งเอาแต่เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง ป้าได้แต่ฝากให้เธอช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของถังเมิ่งแทนป้าด้วย หวังว่าเธอจะช่วยดูแลเขาแทนป้าด้วยนะ!”

หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าแม่ของถังเมิ่จะเป็นคนเปิดเผยเช่นนี้ เขาจึงพยักหน้ารับปากเพื่อให้นางชว่างเหวินฮุ่ยมั่นใจและสบายใจ..

เมื่อทั้งสามคนหันหลังและกำลังจะเดินออกจากห้องไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงของชว่างเหวินฮุ่ยร้องตามหลังมาว่า

“ถ้าพวกเธอได้เจอกับเสียเจิ้นเหยิน จำไว้ว่าอย่าได้ทำอะไรรุนแรงเกินไป..”

เมื่อทั้งสามคนได้ยิน ต่างก็หันมามองหน้ากัน ถังเมิ่งอดคิดไม่ได้ว่าแม่ของเขากลายเป็นคนใจดีแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ส่วนหลิงหยุนก็ได้แต่ขมวดคิ้วเช่นกัน.. จากนั้นเสียงของนางชว่างเหวินฮุ่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“แค่หักแขนหักขาทั้งสองข้างก็พอ.. จะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก..”

ส่วนถังเมิ่งนั้น ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของแม่ เขาถึงกับหันไปพูดกับเธอว่า “แม่ครับ.. ผมว่าแม่ก็ทำปากดีไปแบบนั้นเองล่ะ คงไม่ได้อยากให้ทำอย่างนั้นจริงๆใช่ไม๊ล่ะ.. เห็นไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน..”

หลิงหยุนได้แต่หัวเราะเสียงดังพร้อมกับหันไปตอบนางชว่างเหวินฮุ่ยว่า “ป้าชว่างครับ.. ผมจะให้ถังเมิ่งเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะลงโทษเสียเจิ้นเหยินยังไง?”

หลิงหยุนคิดในใจว่า.. นางชว่างเหวินฮุ่ยเป็นคนแบบนี้นี่เอง ถึงได้อบรมเพลย์บอยอย่างถังเมิ่งได้อยู่หมัด แม่แบบนี้ต่างหากจึงสมควรที่จะมีลูกชาย!

แม้แต่เด็กสาวตัวแสบเอาแต่ใจอย่างเสี่ยวเม่ยหนิงยังอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับขยิบตาให้ชว่างเหวินฮุ่ย..

……..

ทั้งสามคนรีบร้อนออกจากโรงพยาบาลทันที และครั้งนี้ถังเมิ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถ และกำลังมุ่งหน้าไปยังอพาร์ทเมนท์ของหลิงหยุน

ตอนนี้บ้านของหลิงหยุนทั้งสองหลังถูกสั่งปิดไปแล้ว ส่วนคลีนิคก็ถูกคนบุกรุกและทำลายจนพังเสียหาย แต่โชคดีที่อพาร์ทเมนท์เป็นห้องที่หลิงหยุนเช่าจากคนอื่นอีกที มิเช่นนั้นแล้ว.. ก็คงถูกทางราชการสั่งปิดเช่นกัน!

“แล้วลุงถังเป็นไงบ้าง?” ทันทีที่ขึ้นไปบนรถ หลิงหยุนก็ถามเรื่องของถังเทียนห่าวจากถังเมิ่งทันที

ใบหน้าของถังเมิ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ตอนนี้ก็ถูกพักราชการชั่วคราว แล้วก็ถูกหลัวจ้งตรวจสอบ ครั้งนี้พวกเราถูกโจมตีโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเลย พวกเราถูกโจมตีจากทุกทาง และพวกมันก็ใช้อำนาจทุกอย่างเข้ามาจัดการกับพวกเรา!”

หลิงหยุนเชื่อว่าศัตรูของเขาเลือกที่จะจู่โจมคนรอบตัวเขาในช่วงที่เขาหายตัวไป พวกมันคงจะปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้ จึงได้ใช้ทุกวิถีทางควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้!

หากคุณสามารถมองเห็นความไม่มีเหตุผลในสิ่งที่มีเหตุผล คุณก็จะสามารถตรวจสอบหน่วยงานราชการได้ ภายในวันเดียวกัน ถังเทียนห่าวทั้งถูกปลดจากตำแหน่ง และถูกควบคุมตัวไว้เพื่อสอบปากคำ นอกจากตระกูลซันแล้ว คงจะไม่มีใครที่มีอำนาจอิทธิพลได้มากถึงเพียงนี้..

หลิงหยุนและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขากำลังถูกอำนาจรัฐบีบบังคับ และนั่นเป็นผลมาจากการสั่งการของตระกูลซันอีกที!

ตอนนี้หลิงหยุนพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว แต่เขาต้องค่อยๆแก้ไขไปทีละเรื่อง และสิ่งที่เขาต้องทำก่อนเป็นอันดับแรกในเวลานี้คือการช่วยชีวิต!

“แล้วตี้เสี่ยวอู๋ล่ะ?!” หลิงหยุนถามถึงตี้เสี่ยวอู๋ต่อ

ถังเมิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เท่าที่ฉันรู้.. หวงเฟยหยางมันหนีไปตั้งแต่ตอนที่พวกเราไปบุกบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น แต่ไม่รู้ว่ามันกลับมาตอนใหน แต่พอมันปรากฏตัว ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถูกจับในข้อหากรรโชกทรัพย์ คนที่สั่งจับกุมก็คือหลัวจ้ง และตอนนี้ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถูกขังอยู่ที่สถานีตำรวจ!”

หลิงหยุนรู้สึกผิดอย่างที่สุด เขาเองเป็นคนต้นคิดในเรื่องนี้ และหลังจากที่ได้เงินทั้งหมดจากบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น เขาก็สั่งให้ปล่อยหวงเฟยหยางไป..

แต่หลิงหยุนกลับคิดไม่ถึงว่า หวงเฟยหยางจะยังคงซ่อนตัวอยู่ในเมืองจิงฉู และปรากฏตัวออกมาแจ้งความตี้เสี่ยวอู่ในเวลาเดียวกันกับที่เกิดเรื่องอื่นๆด้วย จนทำให้ตี้เสี่ยวอู๋ถูกจับกุมในที่สุด!

“เป็นความผิดของฉันเอง! เป็นเพราะฉันใจดีปล่อยมันไป..”

หลิงหยุนรู้สึกผิดอย่างที่สุด หากครั้งนั้นเขาจัดการจี้จุดหวงเฟยหยางไว้ ต่อให้มันกล้าหาญชาญชัยแค่ใหน มันก็คงไม่กล้าที่จะแว้งกัดเขาอย่างแน่นอน

“อ้อ.. พี่หยุน! ลูกน้องคนสนิทของพ่อฉันที่ชื่อกังหลิวหย่ง คนที่พาตำรวจหลายสิบนายบุกไปที่บ้านตระกูลเฉิงในคืนนั้น ก็โดนสั่งพักงานด้วยเหมือนกัน..”

หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจและพูดขึ้นมาว่า “ถังเมิ่ง.. ฉันมั่นใจว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ตระกูลซันคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะซับซ้อนแค่ใหน หรือแม้แต่ตระกูลซันจะลงมาสั่งการด้วยตัวเองก็ตาม ปัญหาทุกอย่างจะต้องแก้ไขได้อย่างแน่นอน!”

ตระกูลซันแอบติดต่อกับหน่วยงานราชการของเมืองจิงฉูที่เป็นคนของรองนายกเทศมนตรีเสียเจิ้นถิงอย่างลับๆ และร่วมมือกับหลัวจ้ง ใช้โอกาสนี้จัดการกับหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าว ด้วยการอ้างการกระทำที่น่าสัยของทั้งคู่เเล่นงานพวกเขา!

และเพียงแค่ตระกูลซันจัดการปลดหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าว ก็สามารถพลิกสถานการณ์ในเมืองจิงฉูทั้งเมืองได้แล้ว!

ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก็คือตระกูลซัน!

หลิงหยุนมีความคิดที่จะบุกไปที่เมืองหลวง และจัดการปลดชื่อของตระกูลซันออกจากตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ด แต่เขาก็ต้องยับยั้งใจไว้ชั่วคราวก่อน เพราะเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสือสิงห์ หากเขาเข้าไปตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าไปในกับดักที่ตระกูลซันวางไว้

“หนิงน้อย.. วันนี้วันเกิดของคุณ ผมยังไม่ได้อวยพรเลย สุขสันต์วันเกิด ขอให้คุณมีความสุขมากๆ..”

ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัว ถังเมิ่งก็ไม่กลัวอะไรอีก และตอนนี้สภาพจิตใจของเขาก็กลับสู่ปกติเหมือนเช่นเคยแล้ว

เสี่ยวเม่ยหนิงซุกตัวลงในอ้อมแขนของหลิงหยุน พร้อมกับพูดออกมาว่า “พี่หลิงหยุน.. เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ฉันจะมีความสุขได้ยังไงกัน!? แต่แค่ฉันได้รับของขวัญวันเกิดจากพี่ ฉันก็มีความสุขมากแล้วล่ะ!”

ถังเมิ่งหัวเราะพร้อมกับหยอกล้อเสี่ยวเม่ยหนิง “แค่พี่หยุนให้หลอดสักอัน เธอก็คงมีความสุขแล้วล่ะหนิงน้อย..”

เสี่ยวเม่ยหนิงกอดหลิงหยุนแน่นขึ้นพร้อมกับพึมพำว่า.. “ใช่แล้ว..”

หลิงหยุนโอบไหล่เสี่ยวเม่ยหนิงไว้แน่น พร้อมกับสั่งถังเมิ่งว่า “นายขับให้เร็วกว่านี้หน่อย!”

หลิงหยุนรู้สึกเป็นกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมาก แม้ตอนนี้ถังเมิ่งจะขับรถด้วยความเร็วเกือบจะสูงสุดแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่ายังช้าเกินไป

ถังเมิ่งจึงรีบเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น และตอนนี้รถเฟอรารี่ก็ไม่ต่างจากลูกศรที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง..

สิบนาทีต่อมา.. ถังเมิ่งก็ขับมาถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ และยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิท หลิงหยุนก็รีบเปิดประตูออกไป จากนั้นก็ยื่นกุญแจห้องให้กับถังเมิ่งและเสี่ยวเม่ยหนิง ส่วนเขาก็เตรียมกระโดดขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสองแทน

กลิ่นเหม็นฉุนโชยออกมาจากห้อง หลิงหยุนรู้ดีว่ามันคือพิษที่กระจายออกมา เขาจึงสั่งให้ถังเมิ่งและเสี่ยวเม่ยหนิงคอยอยู่ในรถก่อน!

ท่านหมอเสี่ยววิเคราะห์ได้ถูกต้อง พิษหนอนกู่ช่างรุนแรง หากคนธรรมดาได้สูดดมเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็สามารถถูกพิษได้แล้ว

แต่กายอัปสรของหนิงหลิงยู่นั้นกลับสามารถต้านทานพิษหนอนกู่ที่ร้ายแรงนี้ได้ ส่วนคนอื่นอย่าหวังที่จะเข้าใกล้ได้เลย

……

ภายในห้องนอนของหลิงหยุน..

หนิงหลิงยู่กำลังนั่งอยู่ที่ขอบเตียง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและโศกเศร้า หนิงหลิงยู่นั่งมองเหยาลู่ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ในมือถือผ้าขนหนู และกำลังเช็ดตัวให้กับเหยาลู่

เมื่อวานซืน เหยาลู่ได้รับอุบัติเหตุที่คลีนิค ท่านหมอเสี่ยวได้จัดการฝังเข็มเพื่อยับยั้งพิษของหนอนกู่ไว้ จากนั้นจึงพาเหยาลู่มาพักที่นี่ และขอให้หนิงหลิงยู่ช่วยดูแลเธอ

ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนจนถึงตอนนี้ หนิงหลิงยู่เองก็ต้องคอยดูแลเหยาลู่อยู่ตลอดเวลา.. ตั้งแต่เช็ดตัวให้เธอด้วยน้ำอุ่น และต้องคอยนำปัสสาวะของเธอไปทิ้ง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหนิงหลิงยู่อย่างมาก และเธอเองก็ไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลาสามวันสามคืนแล้ว..

เหยาลู่ไม่เพียงถูกพิษหนอนกู่ที่ร้ายแรง แต่เธอยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจาการเข้าขัดขวางกลุ่มคนเซียงซี จนถูกยอดฝีมือคนหนึ่งซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอก!

แต่เพราะชายผู้นั้นไม่กล้าฆ่าคนตอนกลางวันแสกๆ และดูเหมือนยอดฝีมือผู้นั้นก็ไม่ต้องการให้เหยาลู่ได้ตายอย่างสบาย มันจึงได้แสดงความโหดเหี้ยมด้วยการทำให้ร่างกายของเหยาลู่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และทำให้เธอไม่สามาถตายได้ และต้องทุกข์ทรมานจากพิษของหนอนกู่อีกเป็นเวลานาน

ที่หน้าอกของเหยาลู่มีรอยฝ่ามือสีเขียวคล้ำ และตอนนี้มันก็เริ่มเน่าและมีหนอง จนส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา..

เหยาลู่ต้องทนเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ราวกับมีมดเป็นฝูงมารุมกัดอยู่ตามร่างกาย แม้อยากจะนอนหลับก็ยังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้เหยาลู่ได้แต่นอนสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ส่วนริมฝีปาก็ขบกันแน่นด้วยความเจ็บปวด!

หลิงหยุนย่องเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ หลังจากที่ได้เห็นสภาพของหญิงสาวทั้งสอง สายตาของเขาที่มองไปนั้น ก็เต็มไปด้วยรังสีแห่งความอำมหิตและไอสังหาร!

“หลิงยู่.. พี่กลับมาแล้ว!”