ตอนที่ 214 พนันประลองยุทธ์

ชายาเคียงหทัย

ม่อซิวเหยาก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมไอเย็นเยียบ มองเจิ้นหนานอ๋องด้วยสีหน้าข่มขู่ ในแววตาที่เป็นประกายเย็นเยียบมีรังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย

 

 

แน่นอนว่าเดิมทีตำแหน่งอัครเสนาบดีของแคว้นซีหลิงย่อมมิใช่ตำแหน่งลอยๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอัครเสนาบดีหรือตำแหน่งใกล้เคียงกันของแคว้นใด ก็ล้วนมีความสำคัญ อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น

 

 

แต่เมื่อมาถึงสมัยเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิกลับเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น เดิมทีตำแหน่งอัครเสนาบดีของซีหลิง เป็นอัครเสนาบดีที่มีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แห่งซีหลิง จึงย่อมจงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้มาจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ในช่วงแรกย่อมต้องคอยขัดแข้งขัดขาเจิ้นหนานอ๋องมาไม่น้อย แต่กระนั้น ถึงแม้ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะไม่ฉลาดหลักแหลมเท่าเจิ้นหนานอ๋อง แต่ก็ยังรู้ว่าอัครเสนาบดีเป็นคนของตน ยามพระองค์ออกว่าราชการก็มีผู้คนคอยปกป้องช่วยเหลือ จนทำให้เจิ้นหนานอ๋องอยู่ไม่เป็นสุขอยู่หลายปี จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในที่สุดอัครเสนาบดีเฒ่าที่รับราชการมาถึงสองแผ่นดินก็เสียชีวิตลงเสียที อัครเสนาบดีรุ่นต่อๆ มาก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ตัดสินใจอันใดไม่ได้ทั้งสิ้น ยามนี้เมื่อเจิ้นหนานอ๋องมาบอกว่าจะให้เยี่ยหลีเป็นอัครเสนาบดี หากผู้ที่รู้ทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งได้มาฟัง ย่อมรู้ว่าเป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น

 

 

สวีชิงเฉินที่เดินตามม่อซิวเหยาเข้ามา เมื่อเห็นเจิ้นหนานอ๋องกับเหลยเถิงเฟิง ก็เพียงหันไปอมยิ้มยเลิกคิ้วให้เยี่ยหลีเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ส่งยิ้มตอบ โบกมือให้คนยกน้ำชามาให้ม่อซิวเหยากับสวีชิงเฉิน

 

 

เหลยเถิงเฟิงมองสวีชิงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาว่า “คุณชายชิงเฉิน ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูมีสง่าราศีเปล่งปลั่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกนะ”

 

 

สวีชิงเฉินยิ้มอย่างสุภาพ ประหนึ่งไม่แปดเปื้อนใดๆ ทั้งสิ้น “ซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว ก็ไม่ถือว่านานอันใด เมื่อปีที่แล้วพวกเรายังได้พบกันที่ทางใต้เลยมิใช่หรือ”

 

 

แววตาเหลยเถิงเฟิงขรึมไปเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าน้อยจำผิดไปเอง”

 

 

เมื่อปีที่แล้ว สวีชิงเฉินสร้างปัญหาให้เขาไว้ไม่น้อย เหลยเถิงเฟิงย่อมไม่มีทางดูถูกผู้ที่ดูประหนึ่งเอาตัวออกห่างจากทางโลก แต่กลับได้รับการแต่งตั้งจากคนต้าฉู่ให้เป็นคุณชายอายุน้อยอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า

 

 

ทางฟากนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบ แต่อีกด้านหนึ่งกลับไม่เกรงใจกันเช่นนี้

 

 

ม่อซิวเหยาทิ้งตัวลงนั่งข้างกายเยี่ยหลี เอนข้างพิงพนักเก้าอี้พร้อมปรายตามองเจิ้นหนานอ๋องที่นั่งอยู่ถัดลงไปอย่างเกียจคร้าน พลางเอ่ยถามว่า “ที่เจิ้นหนานอ๋องให้เกียรติมาในวันนี้ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะมีธุระอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยอธิบายจุดประสงค์ที่เจิ้นหนานอ๋องมาให้เขาฟังเบาๆ คนอื่นๆ ในห้องโถงเมื่อได้ฟังก็รอว่าม่อซิวเหยาจะตอบกลับเช่นไร เพราะถึงอย่างไร ในซีเป่ยและในตำหนักติ้งอ๋องก็มีม่อซิวเหยาที่เป็นผู้ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด หากเขาไม่ยอมรับปาก ต่อให้ผู้อื่นพูดมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์

 

 

บนใบหน้าเยียบเย็นของม่อซิวเหยามีประกายเยาะหยัน หันมองเจิ้นหนานอ๋องแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เจิ้นหนานอ๋องมิได้บอกว่าอยากประลองยุทธกับข้าสักหน่อยหรือ วันนี้ข้าว่างอยู่พอดี ขอเพียงเจิ้นหนานอ๋องเอาชนะข้าได้ จะคุยอันใดก็ง่ายนัก!”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งไป ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาคิดจะประมือกับเจิ้นหนานอ๋องในเวลานี้

 

 

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้ว “ติ้งอ๋อง ยามนี้…”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเอ่ยขัดเหลยเถิงเฟิง “ซื่อจื่อโปรดวางใจ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจิ้นหนานอ๋องที่แขนขาดไปข้างหนึ่งหรอก อย่างมากข้าก็จะใช้มือข้างเดียวประมือกับเจิ้นหนานอ๋องก็แล้วกัน”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ก็เย็นวาบขึ้นทันที เจิ้นหนานอ๋องจ้องเขม็งไปที่ม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ติ้งอ๋องอย่าลำบากตนเองเกินไปนักเลย ประมือกับข้าโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว ท่านมีความสามารถเช่นนั้นหรือ”

 

 

ทุกคนต่างรู้ดีว่า เรื่องแขนข้างซ้ายของเจิ้นหนานอ๋องเป็นเรื่องต้องห้ามที่ห้ามพูดถึง เพราะนั่นถือเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าสมเพชที่สุดในชีวิตของเจิ้นหนานอ๋อง เพราะไม่เพียงแต่การสู้รบที่ถูกศัตรูทำลาย หน่วยองครักษ์ประจำตัวเขากว่าจะช่วยชีวิตเขาออกมาได้ก็แทบจะสูญสิ้นกันไปทั้งหน่วยเลยทีเดียว หนำซ้ำ ถึงแม้จะเป็นถึงเช่นนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังต้องเสียแขนข้างหนึ่งไป ถึงจะรอดตายจากเงื้อมือม่อหลิวฟางมาได้

 

 

แต่ในยามนี้ คนที่มาท้าทายเขากลับเปลี่ยนเป็นบุตรชายของม่อหลิวฟาง จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกเกินจะทานทนเข้าไปใหญ่

 

 

ม่อซิวเหยาไม่ใยดีความโกรธเกรี้ยวในแววตาของเจิ้นหนานอ๋องแม้แต่น้อย เอ่ยลอยๆ ว่า “ถึงอย่างไรก็ง่ายกว่ารอให้แขนเจิ้นหนานอ๋องงอกขึ้นมาใหม่กระมัง”

 

 

“บังอาจ!” เจิ้นหนานอ๋องโกรธจัด มือขวาตบหนักๆ ลงบนที่เท้าแขน พร้อมถลึงตัวลุกขึ้น พุ่งฝ่ามือเข้าใส่ม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ สะบัดแขนเสื้อขึ้นโอบเยี่ยหลีให้หลบฝ่ามือที่โจมตีเข้ามาของเจิ้นหนานอ๋อง ก่อนลอยตัวออกไปด้านนอก

 

 

กว่าพวกเจิ้นหนานอ๋องจะตามออกมาด้านนอก ม่อซิวเหยาก็อุ้มเยี่ยหลีลงมายืนถึงพื้น ทั้งยังมีเวลาจัดผมที่ถูกลมพัดให้เป็นระเบียบอีกด้วย แล้วถึงได้หันไปหาเจิ้นหนานอ๋องพร้อมก้าวเข้าไปสองก้าว เอ่ยเรียบๆ ว่า “เชิญ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ กระโดดลอยตัวขึ้นพุ่งเข้าใส่ม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยาเองก็ไม่น้อยหน้า ถีบตัวลอยขึ้นไปเช่นกัน แล้วทั้งสองก็เริ่มออกอาวุธเข้าใส่กันที่ลานนอกห้องโถงใหญ่

 

 

เมื่อเกิดการปะทะกันขึ้น ย่อมมีคนของตำหนักติ้งอ๋องจำนวนมากเข้ามาล้อมมุงดู ผู้คนที่ตามเสียงเข้ามาต่างจับจ้องไปยังเจิ้นหนานอ๋องที่กำลังต่อสู้อยู่และเหลยเถิงเฟิงที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร

 

 

เฟิ่งจือเหยาประหนึ่งเกรงว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย ยืนหัวเราะอยู่ข้างกายเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “พระชายา ท่านอ๋องของพวกเราวิทยายุทธแก่กล้าขึ้นอีกขั้นแล้วกระมัง ติ้งอ๋องท้าทายยอดฝีมืออันดับหนึ่งของซีหลิงด้วยการใช้มือเพียงข้างเดียว หากกระจายข่าวนี้ออกไป ไม่รู้ว่าจะมีอีกสักกี่คนที่ต้องยอมสยบให้กับชื่อเสียงของท่านอ๋องของพวกเรา”

 

 

ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนเป็นคนที่มีประสาทหูเป็นเลิศ ย่อมได้ยินสิ่งที่เฟิ่งจือเหยาพูดอย่างชัดเจน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าติ้งอ๋องกำลังต่อสู้กับเจิ้นหนานอ๋องโดยใช้มือเพียงข้างเดียวอยู่จริง ส่วนอีกข้างหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลังโดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

 

 

คำพูดประโยคนี้ตัวเจิ้นหนานอ๋องเองก็ย่อมได้ยิน สีหน้าจึงยิ่งดูบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก การออกอาวุธก็ดูดุดันขึ้นเช่นกัน

 

 

ถึงแม้จะว่าไปแล้วการใช้มือหนึ่งข้างสู้กับมือหนึ่งข้างนั้นฟังดูเป็นเรื่องยุติธรรมดี แต่ในโลกใบนี้คนที่โง่เขลาจริงๆ นั้นมีอยู่ไม่มากเช่นนั้น เจิ้นหนานอ๋องพิการมาเป็นสิบปี คุ้นชินกับการใช้มือข้างเดียวมานานแล้ว แต่ติ้งอ๋องมีแขนสองข้างมาโดยตลอด เมื่อจู่ๆ ต้องมาใช้แขนข้างเดียว พลังในการต่อสู้ย่อมน้อยกว่ายามปกติมากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจิ้นหนานอ๋องแพ้ย่อมดูไม่ดีอย่างแน่นอน หรือต่อให้ชนะ ก็มิใช่ชัยชนะที่น่ายินดี

 

 

แม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ในยามที่ผู้คนว่างจากงานกลับค่อนข้างมีอิสระกันพอสมควร อย่างเช่นในยามนี้ คนว่างจากงานที่มายืนมุงดูนายของตนประลองยุทธกับเจิ้นหนานอ๋อง ก็เริ่มวางเงินพนันว่าผู้จะแพ้ผู้ใดจะชนะกันแล้ว แต่การวางเงินเดิมพันนั้นออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย เพราะมีแต่คนลงพนันฝ่ายติ้งอ๋องว่าจะเป็นผู้ชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากติ้งอ๋องแพ้ก็ไม่มีผู้ใดเสียเงิน แต่หากชนะก็ไม่มีเงินให้ได้เหมือนกันนี่สิ การพนันเช่นนี้ถึงอย่างไรก็พนันกันไม่ได้

 

 

เฟิ่งจือเหยาเดินยิ้มร่าไปหยุดตรงหน้าเหลยเถิงเฟิง พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เหลยซื่อจื่อ อยากวางเดิมพันกันหรือไม่ ท่านเดาว่าท่านอ๋องของพวกเราจะเป็นผู้ชนะ หรือว่าเสด็จพ่อของท่านจะเป็นผู้ชนะ”

 

 

เหลยเถิงเฟิงปรายตามองเขาเรียบๆ ย่อมไม่มีทางตอบคำถามนี้

 

 

เฟิ่งจือเหยาเองก็หาได้สนใจความเย็นชาของเขาไม่ หันไปเอ่ยถามเยี่ยหลีว่า “พระชายาท่านล่ะว่าอย่างไร”

 

 

เยี่ยหลีมัวแต่สนใจการต่อสู้ตรงหน้า ไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจคำพูดของเฟิ่งจือเหยา จะว่าไปนี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นการทดสอบฝีมือที่จริงจังของยอดฝีมือทั้งสี่ของใต้หล้า คนอื่นๆ เองก็ล้วนสังเกตการณ์ด้วยความตั้งใจ เพราะถึงอย่างไร การต่อสู้กันเช่นนี้ก็มิได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ สำหรับคนที่ฝึกวิทยายุทธแล้ว การได้มาสังเกตการณ์ยอดฝีมือประลองกันเช่นนี้ อย่างไรก็มีประโยชน์ต่อการฝึกวิชาการต่อสู้ของตนอย่างมากแน่นอน

 

 

ผู้เดียวที่ไม่สนใจในการต่อสู้นี้ดูจะมีเพียงสวีชิงเฉินเท่านั้น คุณชายชิงเฉินเป็นอัจฉริยะบุคคลจากสวรรค์ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องกระบวนท่าทั้งหลายของวิทยายุทธอยู่แล้ว ด้วยการอบรมเลี้ยงดูและความรู้ความเข้าใจของเขา ก็ย่อมไม่สนใจการมุงดูเรื่องน่าสนุกเหล่านี้เช่นกัน เมื่อเห็นทุกคนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างมองดูประหนึ่งโดนดูดเข้าไปเช่นนั้น คุณชายชิงเฉินจึงทำได้เพียงถอยฉากกลับไปที่ห้องหนังสือเพื่อจัดการงานของตนต่อไป

 

 

การต่อสู้ดำเนินต่อเนื่องไปเกือบสองชั่วยาม ส่วนการวางเงินพนันก็ค่อยๆ ขยายจากตำหนักติ้งอ๋องไปถึงทั่วทั้งเมืองหรู่หยาง

 

 

หานหมิงซีที่ได้ยินข่าวและรีบกลับเข้ามาดู ยังได้ให้คนคอยออกไปรายงานสถานการณ์ให้กับคนที่ด้านนอกฟังอย่างต่อเนื่อง และคอยจดบันทึกการวางเดิมพันกันใหม่เรื่อยๆ อีกด้วย

 

 

ชาวบ้านในเมืองหรู่หยางย่อมสนับสนุนท่านอ๋องของพวกตนอย่างไม่ลังเล แต่คนที่เลือกฝ่ายเจิ้นหนานอ๋องก็ไม่น้อยหน้า ถึงแม้จำนวนคนจะไม่มากเท่าติ้งอ๋อง แต่คนที่วางเดิมพันต่างเป็นผู้มีอิทธิพลของแต่ละแคว้น จำนวนตัวเลขจึงย่อมไม่น้อยไปกว่ากัน ดังนั้นเพียงชั่วพริบตา ทั้งสองจึงมีคนสนับสนุนมากพอๆ กัน

 

 

ภายในสวนของตำหนักติ้งอ๋อง ร่างคนที่ปะทะกันสองร่างเดี๋ยวแยกกันเดี๋ยประชิดกัน ทุกกระบวนท่าเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จนยากที่จะมองกระบวนท่าของทั้งสองได้อย่างชัดเจน เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างถอยกันไปคนละหลายก้าว

 

 

เจิ้นหนานอ๋องมีสีหน้าบึ้งตึง แขนเสื้อที่เคยกรุยกรายหรูหราถูกพลังอันรุนแรงจากฝ่ามืออีกฝ่ายจนรุ่งริ่งไปหมด

 

 

ม่อซิวเหยาหลุบตาลง สีหน้าดูขาวซีดเล็กน้อย เส้นผมสีขาวปลิวว่อนอยู่ตรงหน้าเขา เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือเมื่อครู่ตัดผมเขาเข้าจนขาด

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึอย่างเยาะหยัน “ม่อซิวเหยา เจ้าคิดว่าใช้มือข้างเดียวจะเอาชนะข้าได้หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เหตุใดท่านไม่ลองดูเล่า ว่าข้าจะสามารถตัดแขนอีกข้างของท่านได้หรือไม่”

 

 

“เด็กเมื่อวานซืนไร้มารยาท!” เจิ้นหนานอ๋องสบถอย่างโกรธเกรี้ยว พุ่งฝ่ามือรุนแรงประหนึ่งสามารถแยกภูเขาพลิกทะเลได้เข้าใส่ม่อซิวเหยาไม่หยุด

 

 

ม่อซิวเหยาสะบัดหมุนตัว ลอยตัวขึ้นด้านบนประหนึ่งลูกข่าง ก่อนพลิกตัวกลางอากาศหมุนกลับมาพุ่งเป้าไปยังแขนข้างขวาของเจิ้นหนานอ๋อง

 

 

“เสด็จพ่อระวัง!” เหลยเถิงเฟิงร้องด้วยความตกใจ

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเย็นๆ พุ่งฝ่ามือเข้าใส่ม่อซิวเหยาอย่างต่อเนื่องเพื่อสะกัดกั้นการโจมตีของม่อซิวเหยา แล้วทั้งสองก็เริ่มออกอาวุธเข้าใส่กันอีกครั้ง

 

 

เยี่ยหลีมิได้อยู่ดูการต่อสู้จนรู้ผลสุดท้าย เมื่อเห็นตะวันตกใกล้ลับฟ้า เยี่ยหลีก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไปดูแลบุตรของตน เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง ต่อให้ม่อซิวเหยาเอาชนะเจิ้นหนานอ๋องไม่ได้ เจิ้นหนานอ๋องก็ไม่มีทางทำร้ายเขาได้

 

 

เมื่อกลับไปถึงห้อง ม่อตัวน้อยกำลังตื่นอยู่ตามที่คาดไว้ และกำลังร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขนของแม่นม

 

 

ด้วยเพราะเยี่ยหลีไม่ชื่นชอบให้แม่นมเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรของตน ดังนั้นนอกจากเวลากินนมแล้ว ม่อตัวน้อยจึงไม่ชอบให้แม่นมอุ้มสักเท่าไร แม้แต่ฮูหยินทั้งสองคนของตระกูลสวี ม่อตัวน้อยยังชื่นชอบพวกนางมากกว่าแม่นมเสียอีก

 

 

เมื่อเยี่ยหลีกลับไปถึงห้อง แม่นมสองคนกำลังถูกม่อตัวน้อยทำให้ปวดหัวอยู่ไม่น้อย นางจึงเดินเข้าไปรับเขามาอยู่ในอ้อมอกตน ม่อตัวน้อยมองมารดาของตนด้วยตาโตๆ ที่มีน้ำตากลบตา สูดจมูกน้อยๆ ดิ้นขลุกๆ อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยหลี แล้วก็ผล็อยหลับไป

 

 

เยี่ยหลีมองซาลาเปาตัวน้อยในอ้อมแขนอย่างเห็นขัน นางไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยที่ตัวเพียงเท่านั้นแยกคนออกแล้วหรือยัง แต่ที่รู้แน่ๆ คือบุตรตัวน้อยรู้จักนางกับม่อซิวเหยา สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือ ไม่ว่าม่อตัวน้อยจะร้องไห้จ้ามากเพียงใด แต่เพียงมาอยู่ในอ้อมแขนของนาง ก็จะหยุดร้องไห้ทันที และเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะกำลังหัวเราะอยู่อย่างอารมณ์ดีเพียงใด ขอเพียงไปอยู่ในมือม่อซิวเหยายามที่ตื่นเต็มที่ ก็จะร้องไห้ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทะลายเลยทันที จนเยี่ยหลีอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า เด็กที่อายุเพียงหนึ่งเดือน ไปเอาพลังและน้ำตาจำนวนมากเช่นนั้นมาจากที่ใด

 

 

ในขณะที่กำลังกล่อมลูกน้อยให้หลับอยู่นั้น สาวใช้ที่ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า สวีฮูหยินใหญ่ สวีฮูหยินรองและคุณหนูฉินมา

 

 

เยี่ยหลีจึงรีบให้คนเชิญทั้งสามเข้ามา

 

 

“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้รอง พี่เจิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงมาเวลานี้ได้” เยี่ยหลีอุ้มม่อตัวน้อยเดินออกมา พร้อมเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ

 

 

สวีฮูหยินใหญ่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าที่เรือนหน้ามีการต่อสู้กัน?” ถึงแม้ตระกูลสวีจะไม่ถือระเบียบเคร่งครัด แต่ยามปกติสตรีมักไม่ไปที่เรือนหน้าสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่ฉินเจิงกำลังเตรียมจะออกเรือน ฮูหยินทั้งสองก็ต้องจัดเตรียมงานแต่งงาน

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ท่านป้าสะใภ้ไม่ต้องกังวลไป ท่านอ๋องกับเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงเพียงเล่นสนุกกันเท่านั้น”

 

 

ชื่อเสียงของเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิง ถึงแม้พวกนางที่เป็นสตรีก็ยังเคยได้ยินมาอยู่บ้าง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร พวกนางจึงมานั่งพูดคุยที่โถงรับแขกเป็นเพื่อนเยี่ยหลี พร้อมถือโอกาสรอฟังข่าวไปด้วย

 

 

จนเมื่อฟ้ามืดสนิทแล้ว ชิงหลวนถึงได้ยิ้มร่าวิ่งเข้ามา “เรียนพระชายา ที่เรือนหน้าประลองกันจบแล้วเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ผู้ใดชนะหรือ”

 

 

ชิงหลวนจับปลายผมเปียขึ้น เอ่ยด้วยความงงงวยว่า “เรื่องนี้…ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดชนะไม่มีผู้ใดแพ้ เห็นว่าเสมอกันเพคะ เพียงแต่สุดท้ายแล้วเจิ้นหนานอ๋องกระอักเลือดออกมา ก็น่าจะเป็นเจิ้นหนานอ๋องที่แพ้กระมังเพคะ”

 

 

“ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ? เช่นนั้นหมิงซีก็ชนะน่ะสิ?” หากผลการประลองเสมอ ผู้เป็นเจ้าก็ได้กินเรียบ

 

 

ชิงหลวนปิดปากหัวเราะ “คงจะเป็นเช่นนั้นเพคะ เมื่อครู่ตอนกลับมา เห็นคุณชายหานยิ้มหน้าบานมาทีเดียวเพคะ ท่านอ๋องบอกว่า เมื่อส่งเจิ้นหนานอ๋องกับซื่อจื่อกลับไปแล้ว จะมารับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนพระชายาเพคะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มพยักหน้า “ให้โรงครัวเตรียมกับข้าวที่ท่านอ๋องชอบสักสามสี่อย่างก็แล้วกัน”

 

 

ชิงหลวนอมยิ้มรับคำ ก่อนเดินออกไป