บทที่ 395 หมอกมัว (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 395 หมอกมัว (1)

ก้นหุบเขามีน้ำตกที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง ด้านในสระน้ำที่อยู่ใต้น้ำตกกำลังเรืองแสงสีเขียวอ่อน

แสงนี้ทะลุสายน้ำลอยสูงขึ้นไปตามไอน้ำหลายหมี่ เย็นเยียบเงียบสงัด ขมุกขมัว เหมือนกับแดนเซียน

ตอนที่พวกลู่เซิ่งไปถึง ที่นี่เหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกแม้แต่น้อย ยังคงสงบเงียบและไม่มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ

จิตแยกของราชาเงามืดเดินไปถึงข้างสระน้ำ ก่อนจะยื่นมือไปแตะน้ำในสระเบาๆ

“ที่นี่ขอรับ” เขาหันกลับมากล่าวเสียงทุ้ม

“เตรียมตัวให้พร้อม ลงมือเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “การล้อมปราบอาวุธเทพในครั้งนี้ เพียงอนุญาตให้ชนะไม่อนุญาตให้ล้มเหลว”

อาวุธเทพธาตุน้ำชิ้นหนึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาหมายหัวเผ่ากวางดำ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อยู่ดีๆ มาหาเรื่อง โดยการล่วงเกินเผ่ากวางดำที่มีรากฐานในราชสำนัก

ผู้เฒ่าสือกับราชาเงามืดล้วนทราบเบื้องหลัง รู้ถึงแผนการของลู่เซิ่ง แม้พวกเขาจะไม่ทราบว่าลู่เซิ่งจะเอาอาวุธเทพไปเพื่ออะไร แต่ในเมื่อสวามิภักดิ์กับสำนักมารกำเนิดและอยู่ใต้อาณัติของลู่เซิ่งแล้ว ย่อมต้องรับใช้เขาเหมือนคำพูดที่ว่าอยู่ตำแหน่งใดก็ควรกระทำหน้าที่ตามนั้น

ราชามารสองตนกับจิตแยกร่างหนึ่งแยกกันไปอยู่คนละจุด ล้อมรอบบึงน้ำเป็นรูปสามเหลี่ยม

ลู่เซิ่งเดินไปถึงข้างสระน้ำ

ฟู่ว

เยื่อแสงสีทองอ่อนผืนหนึ่งกระจายออกมาจากรอบตัวเขาอย่างฉับพลัน นั่นเป็นเยื่อดำปราณจริงแท้ที่รวมตัวขึ้นจากปราณจริงแท้สีแดงทองที่มีเฉพาะในสำนักมารกำเนิด

กฎของโลกใบนี้เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าท่านจะใช้พลังงานอะไร ใช้ระบบใด เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นรูปแบบที่คล้ายกับอาวุธเทพศัสตรามาร

หลังจากขึ้นไปอยู่สูงระดับหนึ่ง พลังงานทุกพลังงานจะจับตัวเป็นเยื่อดำ และเยื่อดำก็จะเสริมพลังฟื้นตัวและความแข็งแกร่งของกายเนื้อโดยอัตโนมัติ พละกำลังและความเร็วจะเพิ่มระดับขึ้นเช่นกัน

นี่เป็นความแตกต่างและระยะห่างที่กว้างที่สุดของยอดคนกับคนธรรมดา

ปราณจริงแท้สีแดงทองบนร่างลู่เซิ่งกระจายตัวอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนกับหมอกสีทองบางๆ กลุ่มหนึ่ง แต่จับตัวกันผิดปกติ และวนเวียนอยู่ห่างจากลู่เซิ่งสองสามหมี่ตลอดเวลา

เขายกเท้าขึ้นช้าๆ แล้วเดินลงไปในสระน้ำ อาวุธเทพศัสตรามารที่ไร้เจ้าของชิ้นหนึ่ง มิหนำซ้ำยังมีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำ มีผลต่อการยกระดับของเขาไม่น้อย สิ่งจำเป็นสำหรับขั้นต่อไปของวิชาไร้ขอบเขตก็คือของประเภทนี้ ดังนั้นวันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้อาวุธเทพชิ้นนี้หนีไปได้

น้ำในสระเย็นสุดขั้ว ลู่เซิ่งเพิ่งจะลงน้ำ เยื่อดำปราณจริงแท้สีแดงทองรอบๆ ตัวก็ไหลเวียนช้าลงทันที เกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งไต่ตามเยื่อดำปราณจริงแท้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“แดงฉาน” สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง นี่เป็นการวัดกำลังขั้นต้น ครั้งนี้เขาไม่คิดจะใช่พลังกายเนื้อของร่างหลัก แต่คิดจะใช้แก่นอาทิตย์ของวิชาไร้ขอบเขตมาทดลองแก้ไขดู

วิชาไร้ขอบเขตเพิ่งถูกสร้างขึ้น เขายังไม่เคยทดลองอานุภาพของวิชานี้มาก่อน

สิ้นเสียงของลู่เซิ่ง แสงสีทองจุดหนึ่งก็สว่างขึ้นบนปลายนิ้วของเขา แก่นอาทิตย์บนนิ้วเขากลายเป็นสีแดงและร้อนขึ้นด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็กลายเป็นปราณเหลวสีแดงทอง ลอยอยู่บนอุ้งนิ้วของเขาราวกับน้ำหมึกจุดหนึ่งที่ถูกย้อมเป็นสีแดง

“ไป” เขาเขวี้ยงปราณเหลวสีแดงบนนิ้วไปด้านหน้าเบาๆ

หยดของเหลวลอยออกไปด้านหน้าอย่างมั่นคง ถึงกับกดดันให้น้ำในสระทั้งหมดในรัศมีสองหมี่กว่าๆ กลายเป็นวงสุญญากาศวงใหญ่

ลู่เซิ่งเดินไปยังกลางวงกลมนี้ พร้อมกับค้นหาไปยังส่วนลึกของน้ำในสระทีละก้าวๆ

ยิ่งลงไปลึกลงไปในน้ำสีเขียวอ่อนเท่าไหร่ รอบๆ ก็ยิ่งเย็นเยียบเท่านั้น อีกทั้งสีเขียวยังยิ่งมายิ่งเข้มข้นขึ้นเช่นกัน

ลู่เซิ่งดำน้ำลงไปหลายสิบหมี่ แต่ยังไม่เห็นก้นสระ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

แต่ว่ากลิ่นอายอาวุธเทพอยู่ในส่วนลึก คล้ายอยู่ใกล้แค่คืบ

‘ขอแค่ไม่หนีไปก็พอ’ เขาค่อยๆ ดำน้ำลงไปต่อด้วยความมั่นใจ

หลังดำลงไปได้อีกสิบกว่าหมี่ น้ำรอบๆ ก็เกิดเสียงดังฟู่ๆ คล้ายมีอะไรบางอย่างรั่ว เหมือนกับลูกโป่งที่มีรู

ลู่เซิ่งมองไปตามเสียง กลับเห็นมังกรเขียวที่ทั่วทั้งร่างมีหนามน้ำแข็งสีขาวนับไม่ถ้วนปกคลุมอยู่ ขดตัวหลับปุ๋ยอยู่ในโคลนสีดำที่ก้นสระ เสียงก็คือเสียงหายใจของมันตอนหลับ

มังกรเขียวตัวนี้ยาวหลายสิบหมี่ ส่วนท้องมีห้ากรงเล็บ ส่วนหัวมีเขาสองคู่งอกอยู่ รวมเป็นสี่ข้าง ส่วนอื่นๆ ไม่แตกต่างกับมังกรเจียวในเทพนิยายทั่วไป แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดและพิเศษที่สุดก็คือ มังกรเขียวตัวนี้มีตาแค่ข้างเดียว

ตาข้างนั้นยึดครองพื้นที่มากกว่าครึ่งบนหัวมังกร เหมือนไม่ใช่ความพิการ หากเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด

หลังจากลู่เซิ่งกวาดตามองดู สายตาก็หยุดอยู่ตรงใจกลางร่างมังกรเขียวอย่างรวดเร็ว ตรงนั้นมีจุดแสงสีเขียวจุดหนึ่งส่องแสงระยิบระยับช้าๆ

“หมอกมัว” เขาส่งเสียงเรียกตรงๆ เสียงสั่นสะเทือนส่งผ่านน้ำ ครู่หนึ่งก็ไปถึงหูของมังกรเขียว

มังกรเขียวค่อยๆ ลืมตาข้างเดียวขึ้น ในน้ำเหมือนมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งโผล่มา เกิดความรู้สึกเย็นสุดขั้วมากขึ้นกว่าเดิม จนแม้แต่หยดของเหลวสีแดงด้านหน้าลู่เซิ่งยังค่อยๆ หดลงเล็กน้อย แต่ก็แค่นี้เท่านั้น

“เจ้าคือใคร” มังกรเขียวจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาระวังตัวและเย็นชา

“เจ้าคือหมอกมัวหรือ” ลู่เซิ่งพิจารณามังกรเขียวด้วยความสนอกสนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำไร้เจ้าของที่สมบูรณ์และเป็นปกติอยู่ตรงหน้า

“เจ้ามาเพื่อทำสัญญากับข้าเหมือนกันหรือ ควรรู้เงื่อนไขของข้าแล้วกระมัง ถ้าในหนึ่งปีไม่บูชายัญด้วยมนุษย์หนึ่งพันคนให้ข้า ก็ไม่ต้องพูดกันอีก” หมอกมัวกล่าวอย่างราบเรียบและโหดเหี้ยม

“มนุษย์หนึ่งพันคนหรือ” ลู่เซิ่งเงียบเสียง เขารู้แล้วว่าเหตุใดจนกระทั่งถึงวันนี้ เผ่ากวางดำยังตกลงกับมันไม่ได้

ตามเหตุผลเงื่อนไขการบูชาที่อาวุธเทพศัสตรามารเสนอก่อนที่จะเริ่มทำสัญญาในตอนแรกสุด จะต่ำที่สุด ภายหลังจะเพิ่มเงื่อนไขและจำนวนของของเซ่นขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของพลังฝึกปรือ

แต่พอมันเอ่ยปากก็ขอคนจำนวนหนึ่งพันคนมาเซ่นไหว้ทันที นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ถ้าเป็นภายหลังเล่า ภายหลังมิกลายเป็นสองพัน สามพัน หรือหมื่นคนหรอกหรือ

นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวอย่างมาก่อน อาวุธเทพคลั่งหรือศัสตรามารคลั่งจำนวนไม่น้อยถูกกำจัดทิ้งเพราะเงื่อนไขเลยเถิดเกินไป จนสร้างความปั่นป่วนให้แก่การปกครองพวกพวกจ้าวแห่งอาวุธอย่างรุนแรง

ดังนั้นจึงมีชิ้นส่วนอาวุธเทพศัสตรามารมากมายขนาดนั้น

“เจ้ายังกล้าคิดอีก” ลู่เซิ่งหัวเราะเหอะๆ “ช่างเถอะ จะให้สองทางเลือกกับเจ้า ทางเลือกแรกงอมือให้จับแล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับข้าเสียดีๆ สองคือยอมรับข้าเป็นนาย พวกเราทำสัญญากัน แต่ว่าอย่าได้หวังของเซ่น ตอนไหนข้าอารมณ์ดีค่อยหามาให้เจ้าสองสามอย่าง”

มังกรเขียวหมอกมัวพลันงงงัน มันตอบสนองไม่ทัน เกรงว่าคนผู้นี้จะเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงได้กล้ากล่าววาจาสามหาวนี้ต่อหน้าอาวุธเทพศัสตรามาร

มันเกิดความรู้สึกหลอนอย่างรุนแรง คล้ายกับคนที่คนตรงหน้าพูดด้วยไม่ใช่มัน หากเป็นอาวุธเทพที่เหมือนมันมากอีกชิ้นหนึ่ง

ทว่าที่นี่และตอนนี้ ในรัศมีสิบลี้รอบๆ ไม่มีอาวุธเทพชิ้นที่สองแล้ว

ดังนั้นหลังชะงักไปพักหนึ่ง หมอกมัวก็คลั่งแล้ว

กรรซ์!

มันเงยหน้าส่งเสียงคำราม หนามน้ำแข็งสีขาวรอบตัว พลันกระจายพุ่งไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ร่างมังกรเจียวยาวหลายสิบหมี่พลิกตัวและม้วนหมุนในน้ำดุจงูหลาม พร้อมกับพุ่งเข้ามาหาลู่เซิ่ง

“ไอ้หนูหาที่ตาย!”

ลู่เซิ่งไม่ลนลาน ถอยหลังก้าวหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปแตะด้านหน้าอีกรอบ

สีทองอ่อนจุดหนึ่งสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน ปัจจุบันปราณจริงแท้สีแดงทองสามารถเปลี่ยนแปลงจากแก่นหยางได้ตามใจแล้ว เนื่องจากวิชาไร้ขอบเขต ตอนนี้เขามีพลังฝึกปรือเท่าระดับจ้าวแห่งมาร ทว่าพลังฝึกปรือปราณจริงแท้ที่ทำการหลอมรวมเมื่อก่อนหน้านี้ยังไม่สูงนัก ดังนั้นอย่างมากสุดปราณจริงแท้สีแดงทองที่สร้างขึ้นมาในตอนนี้ จึงเพิ่งเข้าสู่ระดับผู้ถืออาวุธเบื้องต้น หรือก็คือระดับใบไม้ทองคำเท่ากัน

พลังที่ผู้ถืออาวุธซึ่งครอบครองอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำแสดงออกมาได้ ก็คือระดับผู้ถืออาวุธช่วงต้นเหมือนกัน ไม่สามารถแสดงพลานุภาพของอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำออกมาได้เหมือนกับจ้าวแห่งมารหรืออริยะเจ้า

แต่การใช้อานุภาพเช่นนี้รับมืออาวุธเทพธรรมดาชิ้นหนึ่งสมควรไม่มีปัญหา อย่างไรก็ไม่ใช่อาวุธเทพคลั่ง อาวุธเทพคลั่งกล่าวได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของอาวุธเทพ อาวุธเทพที่พัฒนาศักยภาพของตัวเองถึงขีดจำกัดก็คืออาวุธเทพคลั่ง แต่เห็นได้ชัดว่าหมอกมัวไม่ใช่

ลู่เซิ่งไม่ต้องการสร้างความอึกทึกมากเกินไป อย่างไรกรมสังข์เขียวและกรมหยินหยางก็ยังอยู่ เขาคิดจะคบหากับสามสำนักอย่างปรองดอง แม้สามสำนักจะมีแค่เจ้าแห่งอาวุธสองคนอยู่หลังฉาก ทว่าก็มีสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมาย อีกทั้งยังไม่ใช่ว่าไม่มีราชันผู้เข้มแข็งระดับอริยะเจ้าที่ใกล้เคียงกับเจ้าแห่งอาวุธ มิหนำซ้ำยังมีหลายคน

ดังนั้นแม้ตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งแล้ว แต่ก็ไม่อยากดึงดูดสายตาหรือสร้างความสนใจมากเกินไป

เดิมทีปราณจริงแท้สีแดงทองเป็นปราณจริงแท้ในระดับปฐมปฐพี ตอนนี้ถูกจิตวิญญาณอริยะเจ้าของลู่เซิ่งโคจร อานุภาพจึงเพิ่มขึ้นไปถึงระดับผู้ถืออาวุธ

ฟ้าว!

แสงสีทองจุดหนึ่งพุ่งออกมาแล้วกลายเป็นวงค่ายกลทรงรีที่มีสีสันแพรวพราวในทันที พร้อมกับหมุนวนอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่งช้าๆ งูมีปีกรูปสามเหลี่ยมปรากฏขึ้นกลางค่ายกลก่อนจะหายไปทันที

“ไป” ลู่เซิ่งแตะวงค่ายกล

ลำแสงสีทองเข้มสายหนึ่งพุ่งออกจากวงค่ายกลอย่างฉับพลัน ก่อนจะกระแทกใส่ศีรษะของหมอกมัวที่พุ่งเข้ามา

เปรี้ยง!

ลำแสงสีทองไม่สลาย กลับป้องกันสภาวะการพุ่งเข้ามาของหมอกมัวไว้อย่างแน่นหนาราวกับวัดกำลังกันอยู่

เสียงตูมดังขึ้น หมอกมัวถูกพละกำลังมหาศาลปัดเฉเปลี่ยนทิศทาง เอาหัวกระแทกใส่ผนังหินของสระน้ำด้านหลังลู่เซิ่งอย่างแรง

ทรายโคลนขุ่นมัว ก้อนหินแตกร้าว สายน้ำไหลเชี่ยวอยู่ชั่วขณะ น้ำในสระถูกกวนจนขุ่นคลั่กเป็นเหตุให้ไม่เห็นสิ่งใด

ลู่เซิ่งแตะนิ้วอีกครั้ง เส้นสีทองที่เหมือนเชือกหรือรากไม้ลอยออกมาจากวงค่ายกลตรงหน้าอย่างฉับพลัน แล้วห้อมล้อมรอบตัวเขาหลายชั้น หากมองไกลๆ จะเหมือนกับกลุ่มเส้นด้ายสีทองกลุ่มหนึ่ง

นี่เป็นรูปแบบการต่อสู้ดั้งเดิมของสำนักพันอาทิตย์ ควบคุมปราณจริงแท้สีแดงทอง ใช้วงค่ายกลล้ำค่าเป็นความสามารถ วงค่ายกลโจมตีใช้โจมตี วงค่ายกลป้องกันใช้ป้องกัน ทั้งยังใช้วงค่ายกลสืบเสาะเป็นการช่วยเหลือเพิ่มเติม

ลู่เซิ่งยื่นมือไปแตะอีกครั้ง ฉับพลันนั้นมีคลื่นใต้น้ำธาตุหยินหลายสายพุ่งออกไปจากด้านในกลุ่มด้ายสีทองด้านข้างเขา โดยลอยอยู่ในอาณาเขตหลายสิบหมี่รอบๆ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทั้งหมด

โครม!

ทันใดนั้นวงค่ายกลทั้งหมดเกิดเสียงดังสนั่น หมอกมัวใช้หางมังกรฟาดใส่ผิววงค่ายกลอย่างหนักหน่วง ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าปราณจริงแท้สีแดงทองกำลังสลายตัวด้วยความเร็วสูง แสดงให้เห็นว่าสูญเสียพลังงานไม่น้อย

“กระบี่รกร้าง” ลู่เซิ่งประสานสองมือเป็นมุทราท่าหนึ่ง

วงค่ายกลตรงหน้าระเบิดอย่างฉับพลันแล้วแยกออกเป็นห้าส่วน กระบี่ยาวสีทองประณีตเล่มหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นกลางชิ้นส่วนทั้งห้า รวมตัวกันอย่างรวดเร็วจากปราณจริงแท้สีแดงทองจำนวนมากที่ลู่เซิ่งปล่อยออกมา พร้อมกับหมุนวนด้วยความเร็วสูงด้านหน้าลู่เซิ่งกลางสระน้ำ

เสียงกระจ่างสั่นไหว ดังสะท้อนออกมาบนตัวกระบี่อย่างต่อเนื่อง

“วิชากระบี่ขับไล่อาทิตย์ อัสนีคำรน” ลู่เซิ่งกดฝ่ามือบนด้ามกระบี่

ทันใดนั้นตัวกระบี่ส่องแสงสีทองระยิบระยับ แล้วหายไปจากที่เดิม

จากนั้นก็เกิดเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดดังมาจากในสระน้ำซึ่งอยู่ไกลออกไปเป็นระยะ กระบี่ยาวสีทองปะทะกับเกล็ดมังกร หางมังกร และเขามังกร ส่งเสียงดังกึกก้องมาตลอดเวลา

ทุกครั้งที่เกิดเสียงกึกก้อง พลังงานสำรองอันยิ่งใหญ่ของสองฝ่ายล้วนถูกผลาญไป

ลู่เซิ่งไม่นำพา ตอนนี้กายเนื้อเขามีส่วนสำเร็จ ร่างมารสมบูรณ์แบบ อาศัยแค่การกลืนกินสารกาย สามารถทนการผลาญพลังเล็กน้อยนี้และสู้ต่อไปได้ ต่อให้ยื้อไว้สักหลายปีก็ไม่มีปัญหาใด

“วิชากระบี่ขับไล่อาทิตย์ มหานคร” พอเห็นว่ากระบี่รกร้างสีแดงทองปราบมังกรเขียวหมอกมัวไม่ได้ เขาก็ผนึกรวมและปลดปล่อยกระบี่สีทองเล่มที่สองออกมาใหม่ แล้วสั่งให้ไปต่อสู้กับหมอกมัว

ครั้งนี้หมอกมัวเอาไม่อยู่บ้างแล้ว

สิ่งที่ลู่เซิ่งใช้งานก็คือพลังวิชาหลักของสำนักมารกำเนิด และธรรมชาติของพลังงานสายนี้ก็คือพลังงานพิเศษทางสายเลือดของกระบี่ที่มีเฉพาะกระบี่ธารธาราบนเอวของเขา

ใจกลางปราณจริงแท้สีแดงทองก็คือพลังพิเศษของกระบี่ธารธารา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานใดๆ ความจริงล้วนอาศัยอาวุธเทพศัสตรามาร หรือสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับพวกมัน หรือการใช้ชิ้นส่วนในการแสดงอานุภาพทั้งสิ้น

ตอนนี้ลู่เซิ่งก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

เขาใช้ปราณจริงแท้สีแดงทองห่อหุ้มพร้อมกับกระตุ้นกระบี่ธารธาราอันเป็นอาวุธเทพระดับต่ำ อานุภาพที่แสดงออกมาถึงขั้นไปถึงระดับผู้ถืออาวุธ

ถ้าหากเล่าเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าคนของสำนักพันอาทิตย์คงตาถลนหลุดจากเบ้า

……………………………………….