บทที่ 364 ฉันเป็นอาสามของนายนะ

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 364 ฉันเป็นอาสามของนายนะ

เด็กหนุ่มยังคงมีสีหน้าหนักใจ

จิงหงมองเขาด้วยสายตาเฉยชา

“ผม…” เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 6 และได้ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่นี่คือครั้งแรกที่เขาขาดความกล้าหาญ

นั่นก็เป็นเพราะว่าหญิงงามคนนี้มีฝีมือแข็งแกร่ง ทำให้ทุกอย่างรอบตัวดูต่ำต้อยไปในทันที ใบหน้าของเธองดงามราวกับเทพธิดา แม้แต่คุณชายสี่แห่งปราสาทจตุรเทพก็เขินอายเวลาจ้องมอง

“ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าพูดดีกว่านะ” จิงหงกล่าวด้วยน้ำเสียงตักเตือน

เธอไม่ได้ยินหรอกว่าหยานหวูซวงแอบเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรกับเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าคุณชายตัวแสบตั้งใจจะเล่นงานฉู่ชวิ๋นนั่นเอง

เด็กหนุ่มพลันยิ่งขาดความมั่นใจมากกว่าเก่า ทั้งที่ตนเองมีภาพลักษณ์ของเทพบุตรจากสวรรค์ หน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังมากพรสวรรค์

เฟิงจื่อเจี้ยนอาศัยจังหวะนี้สะบัดหลุดจากการสะกัดจุดของหยานหวูซวง ก้าวเดินออกไปขวางหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปพูดกับจิงหงว่า “เรียนแม่นางท่านนี้ คุณชายสี่ของพวกเราเพียงแค่อยากเชิญคุณไปเป็นแขกของปราสาทจตุรเทพเท่านั้น”

“ผู้อาวุโสเฟิง” เด็กหนุ่มทำหน้าไม่พอใจ

“คุณชายสี่ครับ หยานหวูซวงคนนี้ไม่ใช่ตัวดี เขาต้องมีเจตนาแอบแฝงแน่นอน” เฟิงจื่อเจี้ยนเคยพบกับหยานหวูซวงมาก่อนแล้ว จึงทราบดีว่าบุรุษหนุ่มคนนี้เป็นจิ้งจอกหน้าหยก เจ้าเล่ห์แสนกล เชื่อใจไม่ได้

เด็กหนุ่มหันกลับไปมองหยานหวูซวงด้วยความสับสน หยานหวูซวงยังคงส่งยิ้มยกมือเชียร์เขาอยู่ตลอด

แต่ในใจหยานหวูซวงกำลังรู้สึกร้อนรน เขารีบพูดกระตุ้นเด็กหนุ่มว่า “เร็วๆ เข้าสิ! สารภาพความในใจของนายออกไปซะ”

เฟิงจื่อเจี้ยนพยายามห้ามปรามคุณชายสี่ แต่หยานหวูซวงสามารถเข้าถึงจิตใจของเด็กหนุ่มได้อย่างเบ็ดเสร็จ หยานหวูซวงดูจากสถานะแล้ว เด็กหนุ่มมีฐานะเป็นหลานของฉู่ชวิ๋น ถ้าเกิดเขาสารภาพรักต่อจิงหง ก็เท่ากับเขาหลงรักผู้หญิงของท่านอา สิ่งที่ตามมาคงสร้างความกระอักกระอ่วนใจไม่ใช่น้อย

หยานหวูซวงไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเลย นอกจากอยากจะแก้เผ็ดฉู่ชวิ๋นเท่านั้นเอง

เมื่อถึงตอนนี้ หยานหวูซวงพลันเห็นว่าดวงตาของเด็กหนุ่มที่จ้องมองเขาอยู่เบิกโต และมองเลยไปทางด้านหลังของเขา

วูบ!

หยานหวูซวงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หมุนตัวกระโดดหลบหนี แต่แล้วคอเสื้อก็ถูกใครบางคนจับแน่นและลากกลับไปยืนที่เดิม

“สนุกมากไหม?” เสียงที่คุ้นเคยทำให้หนังหัวของหยานหวูซวงชายิบ

“เพิ่งจะลงมาได้หรือไง? ผมลงมารอนายตั้งนาน ไม่มีอะไรทำ ก็เลยแกล้งเจ้าเด็กโง่คนนี้เล่นเท่านั้นเอง” หยานหวูซวงหัวเราะกลบเกลื่อน

บุรุษผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ข้างกายของหยานหวูซวงกะทันหันมากเกินไป ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว

มู่เทียนกับหลินชิงเฟิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ทั้งสองคนรีบประสานมือทำความเคารพทันที “นายท่านฉู่ชวิ๋น!”

เฟิงจื่อเจี้ยนพลันสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน รีบนำตัวเด็กหนุ่มขยับออกมาข้างหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพเทิดทูนว่า “ท่านเทพเจ้า ฉู่ชวิ๋น”

เด็กหนุ่มยังไม่พูดคำใด แต่เฟิงจื่อเจี้ยนบังคับให้เขาค้อมศีรษะลงทำความเคารพ

เด็กหนุ่มไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโสเฟิง ทำไมผมต้องก้มหัวให้เขาด้วย”

เฟิงจื่อเจี้ยนหันกลับมาขยิบตาให้เขาด้วยความร้อนรน

“นี่คือลูกชายคนเล็กของพี่เยวี่ยใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย บุตรชายอีกสามคนของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเติบใหญ่เป็นชายฉกรรจ์ค่อนไปทางชราและมีรากฐานพลังมั่นคงกันหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าบุตรชายคนที่สี่เพิ่งจะเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วสูงขนาดนั้น เฟิงจื่อเจี้ยนก็ใจหายวาบ ต้องรีบพูดออกมาแก้ไขสถานการณ์ “นายท่านฉู่ชวิ๋นไม่ต้องคิดมาก คุณชายสี่ไม่รู้จักท่าน จึงไม่ได้มีเจตนาทำตัวหยาบคายแต่อย่างใดหรอกครับ”

เด็กหนุ่มไม่ใช่คนโง่ พอจะเดาตัวตนของฉู่ชวิ๋นได้ว่าคงไม่ธรรมดา ก็คงไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่จะถูกเรียกว่าเทพเจ้าฉู่ชวิ๋นโดยไม่มีเหตุผล?

เขารีบประสานมือคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพ พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “หลานเยวี่ยจิ้งโฉวคำนับอารอง ถ้าเมื่อสักครู่นี้หลานทำตัวหยาบคาย ต้องขออภัยท่านอาเป็นอย่างสูง”

“ลุกขึ้นมาเถอะ” ฉู่ชวิ๋นดึงเด็กหนุ่มลุกขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนที่จะหันไปทางจิงหง และถามว่า “นายรู้หรือเปล่าว่าเธอเป็นใคร?”

“ไม่รู้ครับ” เยวี่ยจิ้งโฉวสั่นศีรษะ

“เธอเป็นคนรักของอารองนายนั่นแหละ” หยานหวูซวงกระซิบออกมาอย่างหมดสนุก

เยวี่ยจิ้งโฉวตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นกลัว หันขวับกลับมามองหยานหวูซวงด้วยแววตาดุร้าย หัวร้อนจนควันแทบออกหู

เฟิงจื่อเจี้ยน มู่เทียนและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนมีสีหน้าตื่นกลัวและเป็นกระวนกระวาย ได้แต่ดุด่าอยู่ในใจว่าคุณชายหยานหวูซวงเป็นตัวชั่วช้านัก

“อารอง ลงโทษผมเถอะครับ” เยวี่ยจิ้งโฉวก้มหน้ามองพื้น หน้าผากของเขาผุดพราวด้วยเม็ดเหงื่อ รู้สึกเกลียดชังหยานหวูซวงแทบอกแตกตายแล้ว

“ท่านผู้นี้คือจอมมารฉู่ชวิ๋นใช่ไหมครับ?” ปาเหลียงจ้องมองมาด้วยความสงสัย “ในที่สุดผมก็ได้เจอท่านตัวเป็น ๆ สักที ท่านคือไอดอลของผมเลย”

ทุกคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นรีบหันไปส่งสัญญาณทางสายตา ปาเหลียงไม่รู้จักกาละเทศะเอาซะเลย ด้วยว่าไม่มีใครกล้าเรียกฉายาจอมมารฉู่ชวิ๋นต่อหน้าเขา มีแต่จะเรียกว่าเทพเจ้าฉู่ชวิ๋นเท่านั้น

“นายยังไม่รู้ความ ไม่เป็นไรหรอก” ฉู่ชวิ๋นพูด ทำให้เยวี่ยจิ้งโฉวยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม

ทันใดนั้น รอบตัวของหยานหวูซวงพลันมีมวลพลังลมปราณแผ่ออกมา บรรดาคนที่อยู่ใกล้ตัวเขาถูกมวลลมปราณนั้นกระแทกจนเซออกไป ในขณะนี้ สีหน้าของคุณชายหนุ่มได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว

“เจ้าจอมมารฉู่ชวิ๋น ปล่อยตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ”

หยานหวูซวงร้องลั่น รีบโคจรพลังลมปราณอย่างรวดเร็ว

แต่แล้วฉู่ชวิ๋นก็ยกมือขึ้นสะกัดจุดลมปราณของคุณชายหนุ่ม ส่งผลให้หยานหวูซวงไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ชั่วคราว ฉู่ชวิ๋นหันไปออกคำสั่งกับเยวี่ยจิ้งโฉวว่า “ฉันจะลงโทษนาย ด้วยการให้นายลงโทษเขาซะ”

“ขอบคุณมากครับท่านอา” เยวี่ยจิ้งโฉวไม่ชอบหน้าหยานหวูซวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โชคดีที่เมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้สารภาพรักออกไป ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงย่ำแย่มากไปกว่านี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าฉู่ชวิ๋นจะลงโทษเขาอย่างไร ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูของบิดาเขาเมื่อไหร่ เยวี่ยจิ้งโฉวแน่ใจว่าตนเองจะต้องถูกหักขาทิ้งแน่นอน

“อย่านะพี่ฉู่ ไม่นะไอ้หลายชาย นายจะทำแบบนี้ไม่ได้ ฉันเองก็มีฐานะเป็นถึงอาสามของนายเลยนะ” หยานหวูซวงร้องตะโกน

ผลั่ก! กำปั้นถูกต่อยเข้าใส่ใบหน้าหยานหวูซวง

เยวี่ยจิ้งโฉวโกรธแค้นจนแทบบ้าคลั่ง เขาไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ ได้แต่ใช้โอกาสนี้ ระบายความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก

“ไอ้เจ้าเด็กโง่ ฉันเป็นอาสามของนายนะ กล้าดียังไงมาต่อยฉัน” หยานหวูซวงเบิกตาจ้องมองเยวี่ยจิ้งโฉว

“นายมาเป็นอาสามของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” คำพูดของหยานหวูซวงทำให้ตัวเขาเองถูกต่อยอีกรัว ๆ

“ไอ้เด็กนี่ ฉู่ชวิ๋นกับพ่อนายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ส่วนฉันก็เป็นน้องร่วมสาบานของฉู่ชวิ๋น แล้วนายจะไม่เรียกฉันว่าอาสามได้ยังไง?” หยานหวูซวงไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ จึงมีสภาพเป็นกระสอบทรายคอยรับมือรับเท้าของเยวี่ยจิ้งโฉว คุณชายหนุ่มได้แต่ร่ำร้องออกมาว่า “เอาไว้รอให้ฉันเจอพ่อนายก่อนเถอะ แล้วมาดูกันว่าพ่อนายจะลงโทษนายยังไง”

โทสะของเยวี่ยจิ้งโฉวไม่ได้ลดลงเลยสักนิดเดียว “แต่ฉันขอลงโทษนายก่อนก็แล้วกัน”

ตุบตับ…!

เยวี่ยจิ้งโฉวมองหยานหวูซวงเป็นก้อนเนื้อที่ต้องนวดให้น่วม ตรงไหนที่กระทืบได้ เขาก็กระทืบไม่ยั้ง

“นายท่านฉู่ชวิ๋น ผมจะพาคุณไปที่ปราสาทจตุรเทพก่อนนะครับ” หลินชิงเฟิงเห็นว่าเฟิงจื่อเจี้ยนหันมามองเป็นเชิงส่งสัญญาณ จึงก้าวออกมาข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า

หยานหวูซวงร้องตะโกนในขณะที่เฝ้ามองฉู่ชวิ๋นกับจิงหงเดินจากไป “เจ้าจอมมารฉู่ชวิ๋น อย่าเพิ่งไปสิ ไม่ห่วงฉันเลยหรือไง? ฉันกำลังจะตายแล้วนะ…โอ๊ย…โอ๊ย…”

“อย่าทำฉันเลย พอได้แล้ว เดี๋ยวอาสามของนายก็ตายหรอก” หยานหวูซวงร้องเสียงดังลั่น

“ไอ้เด็กโง่ นายความรับไม่สมหวังสินะ? เดี๋ยวอาสามคนนี้จะหาผู้หญิงที่สวยกว่านี้มาให้…อ๊าก…”

“ผู้อาวุโสเฟิง ไอ้เฒ่าเอ๊ย ไม่คิดจะช่วยฉันสักหน่อยเหรอ…”

เฟิงจื่อเจี้ยนทำเป็นไม่ได้ยิน เนื่องจากก่อนหน้านี้หยานหวูซวงสะกัดจุดลมปราณของเขา ทำให้เหตุการณ์เกือบจะบานปลายเสียแล้ว

“มู่เทียน นี่แกกล้าลงมือกับฉันเหรอ…รอก่อนเถอะ รอให้ฉันใช้พลังได้เมื่อไหร่ ฉันจะคิดบัญชีกับแก…”

“ขอโทษครับคุณชาย ผมไม่ได้ตั้งใจ เมื่อกี้ผมจะเข้าไปดึงตัวคุณชายสี่ออกมา แต่ว่าเท้าผมมันดันไปเหยียบหน้าคุณชายเข้า…นี่แน่ะ…นี่แน่ะ!”

แล้วค่ำคืนนี้ก็ก้องกังวานไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของหยานหวูซวง

ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงมาถึงปราสาทจตุรเทพ หลินชิงเฟิงนำพวกเขาไปเข้าพบเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย

ไม่นานหลังจากที่คนมาถึง เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยก็พูดเสียงดังมาแต่ไกลว่า “น้องชาย จะมาทำไมไม่บอก ฉันจะได้ส่งคนไปรับ”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเดินออกมาพบเข้ากับจิงหงก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะ “นี่คงจะเป็นน้องสะใภ้ของฉันสินะ? น้องชาย ช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ”

“จิงหง คำนับนายท่านเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย” จิงหงประสานมือคำนับชายชราด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม

“ฮ่าๆ…” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยส่งเสียงหัวเราะก่อนพูดว่า “ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก ฉันกับน้องฉู่ชวิ๋นเป็นพี่น้องกัน เธอเรียกฉันว่าพี่เยวี่ยก็ได้”

จิงหงยิ้มและพยักหน้า

ตอนนี้ พวกของเยวี่ยหงโป๋สามพี่น้องก็รู้ข่าวแล้วเช่นกัน

“ท่านอา” ชายชราทั้งสามคนเข้ามาประสานมือทำความเคารพ

แล้วทั้งสามคนก็ตกใจไม่น้อยเมื่อได้พบเห็นจิงหง เนื่องจากหญิงสาวมีสง่าราศีมากเกินไป ไม่เหมือนผู้หญิงธรรมดาเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรจะเรียกจิงหงว่าอะไร

“แค่เรียกชื่อธรรมดาก็พอแล้ว” ฉู่ชวิ๋นกล่าว

เขากลัวใจจริงๆ ว่าเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยจะเดินออกมาและบังคับให้บุตรชายทั้งสามคนเรียกจิงหงว่าน้าหง

“แล้วเจ้าสี่ไปไหนล่ะ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“เจ้าสี่ไม่ได้อยู่ในห้องครับ”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า พูดด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเด็กคนนี้สอนเมื่อไหร่ไม่เคยจำสักที”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันไปมองหน้าหลินชิงเฟิง แล้วออกคำสั่ง “ไปพาตัวเจ้าเด็กแสบคนนั้นกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้”

“นายท่านครับ นายท่านฉู่ชวิ๋นได้พบกับคุณชายสี่แล้วครับ” หลินชิงเฟิงกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ายืนยัน “เราเจอกันแล้วครับ”

“เจอกันแล้วหรือ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตกตะลึงอยู่หลายส่วน

เขาเป็นนายท่านมากประสบการณ์ ย่อมดูออกว่าสีหน้าของหลินชิงเฟิงมีเรื่องผิดปกติ

“น้องชาย บอกความจริงกับฉัน เจ้าเด็กคนนั้นมันทำตัวหยาบคายใส่คุณหรือเปล่า?”

ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ไหนแกเล่าเหตุการณ์มาซิ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันหน้ากลับไปถามหลินชิงเฟิง

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยถามคำถาม หลินชิงเฟิงจะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างโดยไม่ตกหล่นสักคำเดียว

หลังจากรับฟังเรื่องราวแล้ว พ่อลูกตระกูลเยวี่ยก็ถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ เมื่อสักครู่นี้พวกเขาเพิ่งได้ยินอะไรไปนะ? เยวี่ยจิ้งโฉวเกือบจะสารภาพรักกับจิงหงอย่างนั้นหรือ?

“เจ้าเด็กคนนี้ดีแต่สร้างปัญหาอยู่ทุกวัน มันอยากรนหาที่ตายหรือยังไง? หรือว่ามันไม่มีตามองว่ากำลังยุ่งอยู่กับผู้หญิงของใคร?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไปแล้ว เขาไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้เลยจริงๆ หากลูกชายคนเล็กของเขาอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยก็คงลงโทษด้วยพลังลมปราณทั้งหมดที่เขามีไปแล้ว

ฉู่ชวิ๋นพูดว่า “พี่เยวี่ย อย่าเพิ่งเดือดดาลไปเลย ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง”

“ใช่ครับ ท่านพ่อ เจ้าสี่มันก็มีนิสัยเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว อย่าโกรธไปเลยนะ” เยวี่ยหงโป๋พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยเช่นกัน

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันขวับไปชี้หน้าตวาดเยวี่ยหงโป๋ว่า “แกก็เหมือนกัน แกจะให้ท้ายน้องไปถึงไหน? แกจะให้เจ้าสี่มีนิสัยแบบนี้ไปจนแก่เฒ่าเลยหรืออย่างไร? หรือว่าแกจะคอยปกป้องมันไปตลอดชีวิต”

เยวี่ยหงโป๋เป็นเหมือนสุนัขที่เฝ้าซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้าของ เมื่อถูกดุด่าเข้าไปก็เสียใจมากแล้ว

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยยังคงก่นด่าอย่างต่อเนื่อง “เจ้าเด็กคนนี้เพิ่งเจอหน้าน้องฉู่ครั้งแรกก็ก่อเรื่องเสียแล้ว ถึงมันจะเป็นลูกชายฉัน แต่ฉันก็ต้องลงโทษมัน ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้าเด็กคนนี้มันคงไม่เลิกตอแยกับน้องสะใภ้แน่นอน”

พวกของเยวี่ยหงโป๋สามพี่น้องได้แต่รับฟังเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยดุด่าน้องชายคนเล็ก ตนเองทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าอย่างเดียว

“แล้วแกยังจะมัวยืนเฉยอยู่ทำไมอีก? รีบไปพามันกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยถลึงตาจ้องมองหลินชิงเฟิงที่ยืนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเห็นแบบนั้น ชายชรายิ่งเดือดดาลมากกว่าเก่า

หลินชิงเฟิงหดคอหันหลังขวับ วิ่งกลับออกไปทำตามคำสั่งทันที

“น้องฉู่ ฉันขอรับประกันว่าวันนี้น้องต้องได้รับการขอโทษอย่างเป็นทางการ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูด “คอยดูฉันให้ดี ถ้าวันนี้ฉันไม่หักขาเจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนี้ ไม่ต้องเรียกฉันว่าพี่อีกต่อไป”

ฉู่ชวิ๋นยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น “พี่เยวี่ย นี่แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้น”

“เข้าใจผิดก็ไม่ได้” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยความดื้อรั้น “ลูกฉันมันมีตาเสียเปล่า ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวแล้ว”

ไม่นานหลังจากนั้น เยวี่ยจิ้งโฉวก็เดินทางกลับมาถึง

หยานหวูซวงถูกแบกหามกลับมาด้วย

“พี่เยวี่ย คุณต้องสั่งสอนลูกชายคุณบ้างนะ มันถึงกับทำร้ายผมแล้ว”

หยานหวูซวงเห็นหน้าเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยก็เริ่มต้นร้องไห้ออกมาทันที

“คุกเข่า!” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด

เยวี่ยหงโป๋สามพี่น้องส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่เยวี่ยจิ้งโฉว

เยวี่ยจิ้งโฉวทราบดีว่าบิดาโกรธจริงๆ แล้วคราวนี้ จึงได้แต่รีบคุกเข่าตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว