ก๊อกก๊อก

เสียงเคาะประตูทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองประตูในห้องนอน แม้แสงแดดยามเช้าจะสาดส่องเข้ามาจนแสบตา แต่ดวงตาของฉันกลับมองเห็นภาพฉากอื่น

ห้องที่เต็มไปด้วยความมืด เสียงเคาะประตูสี่ครั้ง เสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความหวาดกลัว

“ท่านนักบุญหญิง เข้าไปด้านในได้ไหมคะ?”

ต่างจากสิ่งที่ฉันเห็น เสียงของเหล่านักบวชที่ดังขึ้นด้านนอกทำให้ฉันตื่นขึ้นจากมโนภาพอย่างฉับพลัน รอบด้านกลับมาอยู่สภาพเดิมในพริบตา ห้องนอนที่สะอาดสะอ้านและถูกจัดอย่างเป็นระเบียบไม่เหลือร่องรอยใดๆ ในอดีต

ฉันหันหน้ากลับไปมองกระจก พลันมองเห็นรูปลักษณ์ของอีเบลลีน่าที่ไม่ต่างจากในความทรงจำ ทว่าสีหน้าที่สะท้อนออกมาจากในนั้นมันต่างจากตอนนั้น แน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่อีเบลลีน่ากลัวคืออะไร มันจึงสะท้อนเพียงแค่ภาพของ ‘ฉัน’ ที่ดูสบายใจขึ้นหลังจากผ่านการพักผ่อนมาตลอดสองวัน

“เข้ามาได้”

หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเอ่ยตอบเสียงด้านนอก เหล่านักบวชก็ถือชุดเครื่องแบบก็เดินเข้ามาในไม่ช้า ระหว่างที่พวกนางช่วยแต่งตัว ฉันก็ย้อนนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ครุ่นคิดมาตลอดสองวันที่ผ่านมา

‘ดูเหมือนจะติดหนี้เลออนอีกแล้ว…’

ตอนที่กำลังออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขากระซิบข้างหูฉันว่า ‘เชิญท่านใช้ประโยชน์แบบนี้จากข้าได้ตามสบาย’ แม้เขาทำสีหน้าราวกับสนุกสนานเป็นอย่างมากแต่จิตใจฉันกลับหนักอึ้ง เพราะนึกถึงสีหน้าของราธบันและแอสรันที่ออกจากห้องไปแล้ว สีหน้าของราธบันที่ออกจากห้องไปทั้งที่ยังไม่ได้รับคำตอบมันช่างดูมืดมน

ฉันผู้เป็นนักบุญหญิงยั่วยวนเขาผู้เป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกแย่กับเรื่องนั้น แม้ว่าเขาอาจจะรู้สึกสับสนวุ่นวาย แต่ใบหน้าของเขาที่มองฉันหลังจากนั้นกลับไม่มีความเกลียดชังและความรังเกียจ ดังนั้นฉันจึงพลอยรู้สึกสับสนไปด้วย

ฉันรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ราธบันกำลังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับฉัน แต่ฉันเพิ่งจะตระหนักได้ว่าความชอบนั้นมันลึกซึ้งกว่าที่ฉันคิดไว้

แอสรันเองก็เช่นกัน

เขาทำสัญญากับฉัน หรือพูดให้ชัดคือทำสัญญากับนักบุญหญิง ฉันผู้ใช้เวลายามค่ำคืนกับเขารู้ดีกว่าใครว่าเขาต้องการทายาทขนาดไหน เพราะแบบนั้นเขาถึงยังได้ฝังร่างเข้ามาอีกครั้งแม้จะเห็นฉันเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่เหรอ

อันที่จริง เขาไม่จำเป็นต้องมาหาฉันทุกครั้งแบบนี้และสังเกตมนุษย์คนอื่น ตอนหลับนอนกันเขาก็เคยกล่าว ว่าอยากจะพาฉันกลับไปยังเกาะของเหล่าจอมเวท คำพูดนั้นทำให้ฉันหดตัวหนีพลางดันเขาออกไป แอสรันจุมพิตลงบนไหล่และกล่าวว่าไม่ต้องใส่ใจเพราะเขาแค่พูดไปงั้นๆ

ฉันย้อนนึกถึงท่าทีของแอสรันก่อนออกจากห้องไป ตอนที่เข้าไปขวางเขาที่จวนเจียนจะเข้าไปฆ่าเลออนเดี๋ยวนั้น ฉันก็ส่งเสียงร้องและนิ่วหน้าขึ้นมาเพราะรู้สึกปวดหัว ทันใดนั้นแอสรันก็เข้ามาถามฉัน

“เป็นข้าทำให้เจ้าเจ็บหรือ”

“…คงพูดไม่ได้ว่าไม่ใช่”

เป็นความจริงที่แอสรันมีส่วนอย่างมากกับอาการปวดหัว อีกทั้งการที่สภาพร่างกายย่ำแย่แบบนี้ มันก็เป็นความผิดของเขาไม่ใช่เหรอ เมื่อคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ อันน่าอับอายที่เกิดขึ้นเพราะแอสรันเมื่อครู่ก่อนแล้ว ฉันคงไม่อาจมีสีหน้าที่ดูดีได้

หลังจากมองฉันแบบนั้นอยู่สักพัก แอสรันก็หมุนตัวแล้วออกจากห้องไป กระทั่งราธบันเองก็ยังตกใจที่เห็นเขาออกไปอย่างมีมารยาทกว่าที่คิด

‘…เพราะฉันเจ็บเหรอ?’

ตอนอยู่บนเตียง แม้ฉันจะพยายามบอกว่าเหนื่อยเขาก็ไม่เคยฟัง ไม่คิดเลยว่าพอตอนนี้ฉันบอกว่าปวดหัวนิดหน่อยเขาจะยอมถอยออกไปง่ายๆ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว

หลังจากแอสรันออกไป เลออนกล่าวว่าให้ท่านนักบุญหญิงพักผ่อนพลางลากราธบันออกจากห้อง และหันมาขยิบตาข้างหนึ่งให้ฉันก่อนปิดประตู

หลังจากทั้งสามคนออกไป ฉันก็ถอนใจด้วยความโล่งใจที่ในที่สุดก็เงียบลงสักที ก่อนจะหลุดยิ้มขำ

ทั้งสามคนเป็นการดำรงอยู่ที่ฉันหวาดกลัวมากที่สุดขณะที่หลุดเข้ามาในโลกใบนี้ครั้งแรก

เพราะพวกเขาเป็นคนที่ขับไล่และผลักฉันไปสู่ความตายได้เสมอ ฉันรู้สึกว่ามันไร้จุดหมายเหลือเกิน ขณะที่ตัดสินใจว่าจะลองแก้ไขความสัมพันธ์ให้ได้ก่อนจะผ่านสองปีนี้ไป มีทั้งความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวและความสัมพันธ์ที่ไม่มีจุดมาบรรจบกันด้วยซ้ำ แต่พอได้พยายามบ่มเพาะความสนิทสนมแล้วกลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งสามคนที่ฉันเคยหวาดกลัวถึงขนาดนั้นกลับกำลังชอบพอและปฏิบัติตัวกับฉันอย่างดี

‘นี่เป็นเรื่องดีหรือเปล่า’

ถ้าฉันผู้เป็นอีเบลลีน่าเคลื่อนไหวต่างจากทิศทางเรื่องในหนังสือ โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แต่ปัญหาคือฉันไม่รู้เลยว่าปลายทางของการเปลี่ยนแปลงจะมีอะไรรออยู่

‘ไม่สิ บางทีอาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ได้’

นั่นคือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด บางทีมันอาจจะแค่ออกนอกเส้นทางไปนิดหน่อย แต่จุดจบยังมุ่งไปในทิศทางเดิม

สิ่งที่ฉันต้องการมีเพียงความรู้สึกดีที่พอจะทำให้อีกสองปีให้หลังจากนี้พวกเขาจะไม่ฆ่าฉันเท่านั้น

ฉันหวังเพียงแค่น้ำหนึ่งขวดที่จะช่วยไม่ให้ตายในทะเลทรายที่ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว แต่เบื้องหน้ากลับมีแม่น้ำสูงระดับข้อเท้าปรากฏขึ้น แต่มันก็ทำได้เพียงยินดี ไม่อาจกระโดดข้ามแม่น้ำนั้นไปได้ หากแม่น้ำสายนั้นไม่ได้ลึกแค่ข้อเท้าล่ะ หากขณะที่ฉันก้าวเท้าไปแล้วมันกลับลึกระดับเอว หรือไม่ก็เลยหน้าอกขึ้นมาจนสามารถกลืนกินตัวฉันไปทั้งตัวล่ะ

หากเป็นแบบนั้นแล้วฉันจะยังกระโดดข้ามไปด้วยความยินดีได้อีกไหม

ระหว่างนั้น มือของนักบวชที่ช่วยสวมชุดเครื่องแบบให้ก็ออกห่างไป ดูในกระจกแล้วก็พบว่าบนตัวฉันมีเครื่องแบบหรูหราที่มักจะใส่ตอนประชุมเมื่อก่อนถูกสวมอยู่อีกครั้ง

ในที่สุดผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสทั้งหมดก็มารวมตัวกันโดยมีนักบวชคาร์ลมาเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นตอนนี้การประชุมอันแสนยาวนานเพื่อคัดเลือกผู้อาวุโสจึงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

‘ในที่สุดก็จะได้พบนักบวชคาร์ลผู้นั้นแล้วสินะ’

ฉันหันไปทางประตูพลางนึกถึงเขา พูดให้ชัดคือนึกถึงภาพลักษณ์ของเขาที่ได้เห็นในความทรงจำของอีเบลลีน่า ในความทรงจำนั้นไม่มีตรงไหนเลยที่จะตำหนิเขาได้ อีเบลลีน่าและทุกคนต่างก็เคารพและยกย่องเขา

ทั้งยังไม่ใช่ว่าคำพูดของเขาก็คือคำสอนอันเป็นพื้นฐานที่สุดของวิหารหลวงหรอกเหรอ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ชั่วขณะที่ฉันนึกถึงความทรงจำที่ไม่เห็นภาพของเขาและได้ยินเพียงแต่เสียง ทั่วทั้งร่างก็พลันขนลุกซู่

น้ำเสียงที่กล่าวว่าให้เสียสละพลังให้แก่คนที่ไม่มีในฐานะของตัวแทนของพระเจ้าผู้ครอบครองพลังที่ดังขึ้นขณะเดียวกับเสียงเฉอะแฉะ รวมถึงเสียงครวญครางของอีเบลลีน่า ภายในหัวมีภาพบางอย่างแวบผ่านขึ้นมา แต่ฉันก็ส่ายหน้า อีเบลลีน่าเป็นนักบุญหญิง ไม่มีใครคนไหนสามารถบังคับให้อีเบลลีน่าทำอะไรได้ หากนางทำอะไร แสดงว่านั่นเป็นเรื่องที่นางต้องการทำเอง

ฉันลูบแขนที่ขนลุกชันและเปิดประตูออกมานอกห้อง ก่อนจะหันมองรอบข้างตามความเคยชิน

“อา…”

ฉันถอดถอนใจออกมาสั้นๆ เพราะตระหนักได้ว่าตนเองรู้สึกเสียดายเมื่อมองด้านข้างแล้วไม่พบใครนอกจากเหล่านักบวช

‘ทำไมถึงได้คิดว่าจะมีใครอยู่นะ’

ราธบัน แอสรัน เลออน ทำไมฉันถึงคิดว่าจะมีใครสักคนมารอฉันข้างหน้าห้องกัน ฉันเป็นคนผลักไสพวกเขาไป แต่กลับมาคาดหวังว่าตอนนี้เขาจะมาอยู่เคียงข้างเสียได้ ฉันหัวเราะกับตัวเอง

‘แต่มันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว’

มันคือโชคชะตาที่เดิมทีไม่เคยมี และเป็นโชคชะตาที่จะหายไป ฉันจะหลงมัวเมากับชีวิตในตอนนี้และสั่งสมความคาดหวังไว้ตามอำเภอใจไม่ได้

‘ต้องเคยชินให้ได้’

ฉันย้อนนึกถึงการมีอยู่ของอีริสที่หลงลืมไปช่วงระยะหนึ่ง ทั้งราธบัน ทั้งแอสรัน และเลออน ต่างก็เป็นคนที่ต้องการ ‘นักบุญหญิง’ เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่มีทางอยู่เคียงข้างฉันผู้เป็นนักบุญหญิงตัวปลอมและจะกลายเป็นนักบุญหญิงตัวปลอมไปตลอดได้

หลังจากมองดูตำแหน่งที่ว่างเปล่าของพวกเขาอีกครั้ง ฉันก็ขยับฝีเท้า

******

 เหล่านักบวชระดับสูงที่ยืนอยู่ด้านหน้าค้อมตัวทันทีที่ฉันเข้าไปในจัตุรัสกลาง พวกเขาเองก็แต่งกายด้วยเครื่องแบบหรูหราที่คล้ายคลึงกับฉันเช่นนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ในนี้คือผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส

‘ทุกคนคงกำลังประหม่า’

การประชุมคราวก่อน ทุกคนกำหนดวันเพื่อแต่งตั้งตำแหน่งผู้อาวุโสอย่างร้อนแรง บางทีวันนี้การต่อสู้คงจะไม่ง่ายตั้งแต่เริ่มเพราะเป็นการประชุมคัดเลือกผู้อาวุโสที่ทุกคนรอคอยกันถึงเพียงนั้น ฉันรับการทักทายจากเหล่านักบวชพลางตอบกลับสบายๆ

“วิหารหลวงคงจะยุ่งไปอีกระยะหนึ่ง เพราะคงต้องใช้เวลานานมากจนกว่าจะกำหนดผู้อาวุโสได้”

ฉันคิดว่าทุกคนจะเห็นด้วย แต่กลับมีนักบวชหลายคนที่ยิ้มพลางส่ายหน้าออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน

“อืม จะใช้เวลาเท่าไรกัน ไม่แน่ว่าคงกำหนดได้วันนี้เลยนะขอรับ?”

ฉันมองเขาด้วยสีหน้าเคลือบแคลง เป็นไปได้เหรอ แค่การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าคัดเลือกอีกครั้งและวิพากษ์อุปนิสัยก็กินเวลานานมากแล้ว จากบันทึก เห็นว่าการประชุมคัดเลือกผู้อาวุโสที่นานที่สุดใช้เวลาเกินกว่าหนึ่งเดือน กระทั่งครั้งที่จบลงเร็วที่สุดก็ยังใช่เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่เสร็จวันนี้เลยเนี่ยนะ?

“นั่นมันหมายความว่าอย่างไรหรือ วันนี้แค่ผู้เข้าคัดเลือกที่ต้องพิจารณาก็…”

นักบวชระดับระดับสูงกล่าวด้วยสีหน้าตระหนกเมื่อได้ยินดังนั้น

“ท ท่านคงยังไม่ทราบนี่เอง”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ผู้เข้าคัดเลือกส่วนใหญ่แสดงเจตจำนงที่จะถอนตัวขอรับ แน่นอนว่าข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถอนตัวเช่นกัน”

ชั่วขณะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่

“…อะไรนะ?”

ยากจะเชื่อ คราวก่อนฉันนั่งดูความปรารถนาของเหล่านักบวชระดับสูงที่มีต่อตำแหน่งผู้อาวุโสจนเบื่อ แน่นอนว่าความความปรารถนาเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดเสียทีเดียว

มนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่เพื่อครอบครองสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่เสมอหรอกเหรอ นักบวชระดับสูงของวิหารหลวงเป็นตำแหน่งที่สูงจนถึงขนาดที่เคยได้ยินว่าเพียงแค่ยื่นมือไปก็สามารถแตะท้องฟ้าได้ เพราะแต่เดิมเป็นตำแหน่งที่มีเพียงสิบกว่าคนที่ได้รับอนุญาตในแผ่นดินนี้ แต่ถึงแม้ตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงจะเป็นที่เคารพของผู้คนและไม่ได้ขาดแคลนด้านวัตถุ แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าจะได้ปีนบันไดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าอีกขั้น

นักบุญหญิงคือตำแหน่งที่พระเจ้าเป็นผู้กำหนด ดังนั้นจึงเป็นเกียรติยศที่พวกเขาไม่อาจครอบครอง แต่ผู้อาวุโสไม่ใช่ ตำแหน่งสูงที่สุดซึ่งขึ้นไปได้ด้วยความพยายาม แม้มันจะมีหลายสิ่งหลายอย่างรวมอยู่ในคำว่าพยายามก็ตาม

ฉันเห็นความปรารถนาอันรุนแรงของพวกเขาที่มีต่อตำแหน่งผู้อาวุโส แต่พวกเขากลับบอกว่ายอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้ท้าชิงตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำ?

“เรื่องมันเป็นมาอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”

นักบวชระดับสูงตอบกลับมาด้วยสีหน้าจนปัญญาเมื่อได้ยินคำถามของฉัน

“มิใช่ว่าท่านนักบวชคาร์ลกลับมาแล้วหรือขอรับ พูดตามตรง ก่อนที่ท่านผู้นั้นก็จะกลับมา พวกเราเองก็ค่อนข้างมีความโลภเช่นกัน พวกเราเองก็หวังว่าจะได้อุทิศตนมากอีกสักหน่อยในตำแหน่งอันมีเกียรติที่สุดซึ่งได้ติดตามพระเจ้าและรับใช้ท่านนักบุญหญิง”

น้ำเสียงของนักบวชที่กล่าวแบบนั้นเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ

“แต่พอท่านนักบวชคาร์ลกลับมา และข้าได้สนทนากับเขา ในตอนนั้นข้าก็ได้รู้ว่าคนแบบข้ายังไม่เหมาะสมอย่างมากที่จะได้รับเกียรตินั้น”

เขาเกือบจะประสานมือและลงไปคุกเข่าเดี๋ยวนั้น ไม่เพียงเท่านั้น เหล่านักบวชระดับสูงคนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างก็ผงกศีรษะราวกับเข้าใจเขาดี ฉันถึงรู้ถึงความจริงที่พวกเขาถอนตัวออกจากการเป็นผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสในไม่ช้า

“ถูกต้องขอรับ ดูเหมือนข้าจะไม่รู้จุดยืนของตนเองและอวดดีไปชั่วขณะขอรับ”

“ใช่ ข้าเองก็ได้พบและสนทนากับนักบวชคาร์ลอยู่ชั่วครู่เช่นกัน จึงทำให้ข้าตระหนักได้ว่าตนเองยังไร้ความสามารถเพียงใด”

เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่านักบวช ฉันก็สัมผัสได้ว่าทั่วทั้งร่างกำลังขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้ พวกเขาคือผู้ที่ต้องการตำแหน่งของผู้อาวุโสและยึดมั่นถึงเพียงนั้น แต่แค่ได้สนทนากับนักบวชคาร์ลก็สามารถละทิ้งความปรารถนานั่นไปได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?

ตอนนั้นเอง มีใครบางคนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยินดี

“โอ๊ะ ท่านนักบวชคาร์ลมาตรงนั้นแล้ว”

ฉันค่อยๆ หันศีรษะไปเมื่อได้ยินดังนั้น

ชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบทั่วไปอันบริสุทธิ์กำลังเดินมาทางฉันจากปลายสุดของทางเดิน เส้นผมสีน้ำตาลหม่นที่ไม่ได้ตัดให้ดีกำลังสั่นไหวอยู่บนร่างที่เดินกะโผลกกะเผลกอย่างแรง รูปตาที่โค้งขึ้นอย่างอ่อนโยนทำให้ใบหน้าของเขาดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทว่ามันรับรู้ได้ แววตาของเขาที่มองฉันอยู่ในนั้นไม่ได้กำลังยิ้ม

“อา…”

ฉันก้าวถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

กลัว

เหมือนตอนที่ได้ยินชื่อของเขาเป็นครั้งแรก ร่างกายของฉันเริ่มสั่นไม่ต่างจากอีเบลลีน่าในความทรงจำ ฉันอยากหมุนตัวหนีเขาที่กำลังเดินเข้ามาเดี๋ยวนี้ แล้วกรีดร้องพร้อมกับวิ่งกลับไป ต้องหนี ในหัวมีเพียงความคิดนั้น กลัว ช่วยฉันด้วย ได้โปรด ใครก็ได้…

ในตอนนั้นเอง

“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

น้ำเสียงที่คุ้นเคย ‘เหล่านั้น’ ดังขึ้นด้านหลังฉัน

ฉันหันหลังกลับด้วยความไม่เชื่อหู

“อา…”

ไม่ได้ฟังผิดไป ราธบัน เลออน และแอสรันยืนอยู่ที่นั่น

“ได้อย่างไร…?”

ราธบันเป็นคนที่หากอยู่ที่นี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าเลออนกับแอสรันเข้ามาได้อย่างไร? เมื่อจ้องมองพวกเขาอีกครั้ง ตอนนั้นเองฉันถึงได้สังเกตถึงจุดที่แตกต่างจากปกติ เลออนและแอสรัน ทั้งสองคนกำลังสวมชุดเครื่องแบบของวิหารหลวงอยู่

อีกทั้งไม่รู้ว่าแอสรันใช้พลังเวทหรืออย่างไร ดวงตาสีแดงที่เปล่งประกายแวววาวถึงได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลธรรมดาทั่วไป และดูจากที่สัมผัสไม่ค่อยได้ถึงบรรยากาศเสียดแทงที่สัมผัสได้ในเวลาปกติ ดูเหมือนเขาคงเก็บงำพลังเวทของตนด้วยเช่นกัน

ทันทีที่ฉันจ้องมองทั้งสองคน เลออนก็หลบสายตาของนักบวชคนอื่นและแอบขยิบตาข้างหนึ่งให้ฉันที่กำลังยืนอ้าปากค้าง แต่แอสรันกลับมีสีหน้าหงิกงอที่ใครเห็นก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดี แม้ชุดและภาพลักษณ์จะเปลี่ยนไป แต่นิสัยของคนทั้งสองที่เปิดเผยออกมาแบบนั้นทำให้ฉันเกือบจะลืมว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหนและหลุดขำออกไป

ฉันมองทั้งสองก่อนจะหันศีรษะไปทางราธบัน ทันใดนั้นก็ประสานสายตากับเขาที่กำลังมองฉันอยู่ทันที

“นี่มันอะไร…”

หลังจากตั้งใจจะถามว่านี่มันเป็นมาอย่างไร ฉันก็ปิดปากลง

เพราะจำได้ว่าฉันส่งเขากลับไปอย่างไรเมื่อสองวันก่อน สุดท้ายแล้ววันนั้นฉันก็ส่งราธบันกลับไปโดยที่ยังไม่ได้ให้คำตอบดีๆ กับเขา เพราะฉะนั้นฉันจึงได้คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วที่วันนี้เขาไม่ออกมายังที่พักของฉัน และยืนรอเหมือนปกติ

ความอับอายปนเปกับความรู้สึกผิดทำให้ฉันก้มหัวลง ฉันไม่มีหน้าไปมองราธบันแล้วแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ทั้งที่ปล่อยเขากลับไปแบบนั้น ตอนที่ฉันกำลังลังเลเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรอยู่แบบนั้น ราธบันก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้าฉันหนึ่งก้าว

“สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลย เป็นไรหรือไม่ขอรับ?”

เขายื่นมือมาหาฉันขณะที่พูดจบ ฉันจ้องมองมือของเขา ลักษณะการพูดที่กล่าวออกมาอย่างเฉยเมยของเขาไม่ต่างจากเวลาปกติ ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

เสียงฝีเท้าของคาร์ลที่เดินเข้ามาดังขึ้นด้านหลัง ตัวเริ่มสั่น เหงื่อรินไหล

ความกังวลใจอยู่ในตัวฉันตลอดหลังจากมาโลกใบนี้ ความทรงจำที่อีเบลลีน่าปล่อยไว้ราวกับทิ้งขว้างคือทั้งหมดที่ฉันเชื่อ ฉันสังเกตผู้คนด้วยข้อมูลที่ได้รับมาจากการรื้อค้นความทรงจำนั้น และพยายามเพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติจากฉัน และถึงกับจัดการงานต่างๆ ที่จะไม่ผลักให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่มันแย่ลงกว่าเดิม แม้จะบอกว่าหลายเดือนนี้ฉันคุ้นชินขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังข้ามแม่น้ำที่กำลังไหลอย่างแรงอยู่ตลอดเวลา แม่น้ำอันตรายที่หากตอนนี้ฉันก้าวผิดไปสักก้าวแล้วจะถูกม้วนลงไปใต้ล่างทันที

และตอนนี้ด้านหลังของฉันกำลังมีกระแสน้ำรุนแรงที่อันตรายกว่าตอนไหนๆ กำลังเข้ามาใกล้

จับมือนี้ได้ไหม

ตอนที่ฉันกำลังลังเล ราธบันก็ขยับตัวก่อน คล้ายว่าจะได้ยินเสียงเบาบางที่กล่าวขอให้ยกโทษที่เสียมารยาทดังขึ้นมาตามสายลม

“…?”

มือใหญ่และแข็งแรงจับมือของฉันแน่น ร่างกายถูกดึงไปด้านหน้าในขณะเดียวกัน มือหนาเข้ามาคว้าร่างกายที่ซวนเซคล้ายจะล้มเพราะการเคลื่อนไหวที่มาอย่างกะทันหัน

“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

“เป็นอะไรไหม?”

คนที่ช่วยจับฉันไว้ไม่ได้มีเพียงแค่ราธบัน มือของเลออนและแอสรันที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตอนไหนก็กำลังคว้าร่างของฉันที่สั่นไหวด้วยเช่นกัน

ชั่วขณะนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกมัดแน่นอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อไม่ให้สั่นไหว ฉันรู้สึกว่าต่อให้ตอนนี้มีอะไรที่รุนแรงและมีพละกำลังมาชนฉันก็ยืนอยู่ได้ ฉันจ้องมองมือที่กำลังจับฉันเอาไว้อยู่ ฉันคนเดียวแต่กลับมีคนถึงสามคนช่วยจับเอาไว้ ทำให้มีสภาพแปลกประหลาดที่ต่างจากการจับมือเพื่อคุ้มกันทั่วไปโดยสิ้นเชิง ทว่าไม่รู้ทำไมภาพนั้นถึงทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมา

“ท่านนักบุญหญิง ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ”

เสียงของคาร์ลที่เอ่ยเรียกฉันดังขึ้นด้านหลัง น้ำเสียงที่ไม่ต่างไปจากที่เคยได้ยินในความทรงจำของอีเบลลีน่าเลย ในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความสนุกสนานที่ร้อนรุ่มเล็กน้อย จนถึงขนาดที่ใครได้ฟังคงคิดว่าเขายินดีจากใจจริง

ฉันเกิดความรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงที่กลับมาได้ยินอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ฉันยังรู้สึกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ได้ แต่ขณะที่สัมผัสได้ถึงมือที่จับฉันอยู่ตอนนี้ ความไม่สบายใจอันคลุมเครือกลับจางหายไปจนหมด

ฉันหมุนตัวกลับไปอย่างเชื่องช้า คาร์ลกำลังยืนระบายยิ้มอยู่ตรงนั้น

ฉันยังไม่อาจรู้ได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับอีเบลลีน่าในอดีตและทำไมถึงผิดใจกัน แต่ฉันมั่นใจว่าจะต้องมีเรื่องที่พอจะทำให้อีเบลลีน่าผู้เชื่อฟังคาร์ลถึงเพียงนั้น เกลียดและหวาดกลัวเขาเป็นแน่

และเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ ‘ฉัน’ พบเจอมา พลันเกิดความรู้สึกขอบคุณอีเบลลีน่าที่ไม่ให้ความทรงจำทั้งหมดมาอยู่ครู่หนึ่ง

ฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัวเขา

“ใช่แล้ว นานมากเลยนะคะ นักบวชคาร์ล”

ฉันส่งรอยยิ้มสดใสให้เขา รอยยิ้มที่ไม่มีความยินดี