บทที่ 339 แผนของหมิ่นจื๋อห่วน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

หลังจากการสนทนาอย่างลึกซึ้งกับแขกที่ปรึกษา องค์รัชทายาทเว่ยก็มีความรู้สึกเหมือนกำลังขี่บนหลังเสือยากที่จะลง ไม่รู้ว่าเขาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเลือกตั้งแต่ตอนไหน!

บางที เขาอาจไม่เคยมีสิทธิ์ที่จะเลือกเลยตั้งแต่ต้น

องค์รัชทายาทคล้ายกับองค์ชายอั๋งเสด็จอาของเขามาก ล้วนสนับสนุนวิธีแห่งลูกผู้ชายเหมือนกัน ทว่าองค์รัชทายาทไม่ดื้อรั้นเท่าองค์ชายอั๋ง องค์ชายอั๋งกล้าสู้หัวชนฝาและไปจนถึงที่สุด แม้จะถูกต่อต้านนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ยังเชื่อว่า “ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีงาม” แต่เขากลับไม่กล้า

ในที่สุดเขาก็ประนีประนอม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโดยสมัครใจหรือถูกการผลักดันก็ตาม

หลังจากดิ้นรนมาทั้งวัน องค์รัชทายาทก็ตัดสินใจที่จะพบกับหมิ่นฉือในตอนค่ำ

หมิ่นฉือเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทุกคนในโลกนี้มีความฝันที่แตกต่างกัน บางคนแม้จะนำภาพทิวทัศน์งดงาม เกียรติยศและความมั่งคั่งทั้งหมดมาวางตรงหน้า เขาก็อาจจะไม่มีความสุขเลยด้วยซ้ำและองค์รัชทายาทก็เป็นคนเช่นนั้น จากการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายในการตัดสินใจขององค์รัชทายาทล้วนเป็นเพราะความหวาดกลัวที่อยู่ในนิสัยของเขา แต่หมิ่นฉือจำต้องหาเหตุผลที่สมบูรณ์แบบสำหรับความขี้ขลาดนี้

“องค์ชายสามารถสละเรื่องเล็กน้อยเพื่อความชอบธรรมโดยรวมแล้ว นับเป็นความสุขของราษฎรชาวเว่ย” หมิ่นฉือ

หมอบคำนับเขา

“เจ้ามิใช่ชาวเว่ย เหตุใดต้องทำเช่นนี้?” องค์รัชทายาทหลุบตาลงมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

หมิ่นฉือรู้ดีว่าองค์รัชทายาทรู้สึกไม่พอใจต่อการข่มเหงและการทดสอบข้อข้องใจของเขาก่อนหน้านี้ เขาจึงยืดตัวขึ้น กล่าวอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา “กระหม่อมมีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ทว่าฝ่าบาทไม่อาจตอบสนอง กระหม่อมอยู่ในรัฐเว่ยมาหลายปี รู้ดีว่าองค์ชายมีความเมตตาและคุณธรรม รัฐเว่ยมีผู้สืบทอดบัลลังก์เช่นนี้ ในใจของกระหม่อมมีความยินดียิ่ง ทว่าเมื่อวานองค์ชายกลับมีความคิดที่จะถอยกะทันหัน กระหม่อมปวดใจนักและเดินจากไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ได้โปรดองค์ชายให้อภัย”

ความหมายในวาจานี้ เนื่องจากเขามีความคาดหวังลึกซึ้งดังนั้นจึงได้ตำหนิ อีกทั้งเขาก็ได้หาเหตุผลที่คลุมเครือให้ตัวเองว่าเหตุใดเขาจึงมิได้เข้าใกล้องค์รัชทายาทหลายปีก่อนหน้านี้…องค์รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ เป็นว่าที่อ๋องอย่างถูกต้อง บัดนี้ท่านอ๋องยังอยู่ เขาจึงต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์และเมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์เขาก็จะภักดีเช่นกัน

เหตุผลนี้มุ่งเป้าไปที่อุปนิสัยขององค์รัชทายาทได้อย่างตรงจุด

ความเมตตาขององค์รัชทายาทนั้นมิใช่การเสแสร้งทว่าเขาก็ไม่โง่ เข้าใจสิ่งที่หมิ่นฉือต้องการแสดงออกเจ็ดถึงแปดส่วน ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าตัวเองประเมินชายหนุ่มชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้นี้ต่ำมาโดยตลอด

“ท่านหมิ่นรีบลุกขึ้นเถิด” องค์รัชทายาทพยุงเขา

ทั้งสองคนกำจัด “ความเข้าใจผิด” แล้วต่างนั่งลงตามลำดับ

“วันก่อนท่านกล่าวถึงองค์ชายซื่อ ไม่ทราบว่าพูดให้ละเอียดได้หรือไม่?” องค์รัชทายาทถาม

“คิดว่าองค์ชายคงรู้จักสวีจ่างหนิงที่อยู่ข้างกายเขากระมัง?” หมิ่นฉือเดาว่าแขกที่ปรึกษาคนสนิทขององค์รัชทายาทค้นพบเรื่องนี้นานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ลงรายละเอียดแต่พูดอย่างสั้นๆ ว่า “แผนการที่สวีจ่างหนิงผู้นี้มอบให้องค์ชายซื่อล้วนผ่านกองทหารที่รักษาการณ์นคร องค์ชายซื่อมีความเข้มงวดในกองทัพมาก เมื่อเขาเลือกใช้เส้นทางนี้มันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะสังเกตเห็น จนกระทั่งองค์ชายซื่อขอให้ท่านอ๋องยกองค์หญิงสวี่ให้เขา กระหม่อมจึงตระหนักได้ว่าเขาอยู่ห่างไกลมากจนกระหม่อมไม่อาจเข้าใกล้ได้ ทว่ากลับสืบได้ว่าสวีจ่างหนิงเคยแสดงข้อคิดเห็นทางนโยบายในชมรมป๋ออี้ในรัฐต่างๆ จากตู้เหิง”

องค์รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ถามว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร “ท่านติดต่อกับตู้เหิงมาตลอดเลยรึ?”

น้องสาวของตู้เหิงเป็นฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ องค์รัชทายาทอดที่จะคิดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตู้เหิงมีจิตใจสกปรก ทำให้น่าดูถูกอย่างแท้จริง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหมิ่นฉือแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองดูใจแคบไปหน่อยที่ถามคำถามเช่นนี้

หมิ่นฉือไม่ใส่ใจ หัวเราะเอ่ย “ใต้หล้ามีเรื่องต่ำช้ามากเกินไปแล้ว ทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกที่มืดมนจะไม่ปนเปื้อนได้อย่างไร? หากสามารถใช้ประโยชน์จากแผนการที่น่ารังเกียจเหล่านั้นเพื่อความมั่นคงได้ กระหม่อมก็ไม่รังเกียจที่จะทำตัวสกปรก”

องค์รัชทายาทตื่นตระหนก ภายใต้แสงไฟสีส้มนวลตา หมิ่นฉือถอดเครื่องแบบทางการออกแล้ว เขาอยู่ในเสื้อคลุมแขนกว้างสีควันเทา คิ้วตาผ่อนคลายราวกับสายลมอ่อน มีความอิสระไม่แยแสในคำพูดเหล่านั้น บุคลิกราวกับนักวิชาการผู้มีชื่อเสียง ไม่มีความสกปรกดั่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย

“หัวใจของท่านเช่นนี้จึงจะเป็นสุภาพชนที่แท้จริง ข้าเทียบไม่ติดเลย!” องค์รัชทายาทถอนหายใจ

เสียงของหมิ่นฉืออ่อนโยน “องค์ชายมีความชัดเจนในหลักการ หากกล่าวถึงเรื่องขอบเขต กระหม่อมต่างหากที่เทียบไม่เท่า หากกล่าวในทางปฏิบัติ กระหม่อมก็ไม่ด้อยกว่าแล้ว” เขาถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ “หากองค์ชายเซินยังอยู่ องค์ชายก็จะสามารถมีชีวิตอย่างอิสระเสรีเช่นเดียวกับองค์ชายอั๋ง แต่แล้วก็เป็นเพราะโชคชะตา ในเมื่อไม่อาจหลุดพ้นจากโชคชะตาได้ก็จัดการกับปัญหาที่เป็นรูปธรรมเสียดีกว่า กระหม่อมได้ยินมาว่าหยกซื่อปี้ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเป็นอัญมณีที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ”

คำพูดนี้ได้เข้าไปสู่หัวใจขององค์รัชทายาทแล้ว “ทุกคำพูดของท่านงดงามดุจอัญมณี”

เกรงว่าองค์รัชทายาทลืมไปแล้วว่าเดิมทีต้องการจะคุยเรื่องอะไร ยังดีที่หมิ่นฉือยังคงมีสติและดึงหัวข้อนั้นกลับมา “พูดถึงสวีจ่างหนิงอีกครั้ง เขาทำดีกับองค์ชายก่อน เพียงพริบตาเดียวก็ไปพึ่งพิงองค์ชายซื่อ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่เป็นธรรมชาติ ทว่าพฤติกรรมของเขาที่ส่งแผนการอย่างลับๆ นั้น กระหม่อมคิดว่าเขาทำเช่นนี้เพราะมีเป้าหมาย และเป้าหมายนี้ก็เพื่อรัฐฉิน!”

องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านมั่นใจได้อย่างไร!”

ท้ายที่สุดแล้วองค์ชายซื่อแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การช่วยเหลือของสวีจ่างหนิง ตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแข่งขันกับเขาในฐานะผู้สืบทอดบัลลังก์

หมิ่นฉือกล่าวว่า “กระหม่อมสังเกตเห็นว่านโยบายรัฐของเขาล้วนเป็นเพียงความคิดผิวเผิน วาทศิลป์ดีงามแต่ไม่มีความหมายในทางปฏิบัติ ต่อให้เขามีแผนการก็เป็นเพียงความฉลาดเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากที่เขาเข้ารัฐฉินก็ทำทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกแผนการแสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลของเขา เป็นเพราะเหตุใดกัน?”

“หรือว่ามีผู้เชี่ยวชาญคอยชี้แนะอยู่เบื้องหลัง?” องค์รัชทายาทคาดเดา “ทั้งผู้เชี่ยวชาญนี้ก็เป็นชาวฉิน!”

หมิ่นฉือพยักหน้า “ถูกต้อง สวีจ่างหนิงเดินไปทั่วหล้าเพื่อหางานแต่กลับเจอทางตันซ้ำๆ เขาเคยไปที่รัฐฉินก่อนที่จะเข้ารัฐเว่ย แต่พอเข้ารัฐเว่ยแล้วกลับกลายเป็นคนละคน ส่วนเหตุผลนั้น คิดว่ากระหม่อมไม่จำเป็นต้องอธิบายโดยละเอียด”

สวีจ่างหนิงกำลังมองหาตำแหน่งทางการในรัฐต่างๆ ทว่าไม่เป็นผลใดๆ ความฉลาดเล็กน้อยและการพูดที่ยอดเยี่ยมของเขานั้นก็เพียงพอที่จะหาตำแหน่งเพื่อปักหลักได้ เขาเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในรัฐเยียน สองปีหลังจากนั้นก็ลาออกและออกจากรัฐเยียน ตอนนั้นเขายังเด็กมากแต่ก็นับว่าก็ประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว อย่างไรก็ดีเขากลับไม่พอใจแค่นั้น เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้มีความทะเยอทะยานยิ่ง

“การปกป้ององค์ชายซื่อ ชาวฉินจะได้ประโยชน์อะไร? หรือว่าองค์ชายซื่อก่อกบฏ ทำข้อตกลงกับชาวฉินเพื่อชิงบัลลังก์!?” องค์รัชทายาทถาม

มุมปากของหมิ่นฉือทำมุมโค้งเล็กน้อย “นี่คือความฉลาดของคนคนนี้ รัฐฉินมีความทะเยอทะยานดุจหมาป่า นานารัฐล้วนทำการตรวจสอบแล้ว กระหม่อมสันนิฐานว่าพวกเขาต้องการผนวกใต้หล้า ดังนั้นเมื่อคิดในฐานะของรัฐฉิน ฉินเว่ยมีความแค้นล้ำลึก ดูแล้วมีข้ออ้างที่จะลงมือมากที่สุด แต่หากมองจากกลยุทธ์ระยะยาว การโจมตีรัฐเว่ยอย่างเต็มรูปแบบนั้นจะกระตุ้นความระวังตัวของรัฐเพื่อนบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีกงซุนเหยี่ยนอยู่ เกรงว่ากลยุทธ์เหอจ้งจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้การผนวกรัฐเว่ยก่อนจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชาญฉลาด”

องค์รัชทายาทอ้าปากค้าง บนใบหน้าอันซื่อสัตย์มีความประหลาดใจที่ปกปิดไว้ไม่มิด

“การที่รัฐฉินเดินไปทางตะวันตกเพื่อขยายอาณาเขตไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จากการคาดเดาและการวิเคราะห์ของกระหม่อม เป้าหมายแรกของพวกเขาคือรัฐฉู่” หมิ่นฉือใช้นิ้วจุ่มน้ำชาแล้ววางแผนที่ลงบนโต๊ะ

องค์รัชทายาทมองไปตามนิ้วของเขาที่ละเลงวาดด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เกิดเป็นแผนที่เรียบง่ายระหว่างปาสู่และรัฐฉู่ จากนั้นก็ได้ยินเขากล่าวว่า “ดินแดนปาสู่อยู่บนที่สูง ง่ายต่อการป้องกันยากต่อการโจมตี ตามแม่น้ำสายใต้นี้ลงไป…”

หมิ่นฉืออธิบายกลยุทธ์การโจมตีอย่างละเอียด องค์รัชทายาทร้องอุทานไม่มีที่สิ้นสุด ในตอนแรกเขารู้สึกว่ารัฐฉู่นั้นทรงพลังและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโจมตีแต่หลังจากได้ฟังกลยุทธ์การบุกของหมิ่นฉือแล้วเขาก็คิดว่ามันเป็นไปได้จริงๆ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเสียใจมากที่เสด็จพ่อของตนมีวิสัยทัศน์คับแคบ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บบุคคลที่อายุน้อยและชื่อเสียงป่นปี้คนนี้เอาไว้

“ในระหว่างที่บุกรุกรัฐฉู่ รัฐฉินจะใช้รัฐเว่ยของข้าในการฟื้นฟูหลังสงครามได้อย่างไร?” ภายในดวงตาของหมิ่นฉือส่องประกายด้วยสีสันที่คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ “พวกเขาวางแผนที่จะทำให้พวกเราเกิดความวุ่นวายภายในก่อน กินดินแดนทางตะวันตกของเรา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถกลืนกินได้อย่างรวดเร็ว”

“ท่านฉลาดยิ่งนัก!” นอกจากองค์รัชทายาทจะอุทานด้วยความชื่นชมแล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสามารถพูดอะไรได้บ้าง

องค์รัชทายาทตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เมื่อดึงสติกลับมาก็รีบหากาน้ำชา รินชาแก้วหนึ่งให้หมิ่นฉือด้วยตัวเอง

“ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง กลยุทธ์ของท่านเช่นนี้ หากเข้ารัฐฉินย่อมได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแน่ เหตุใดจึงเต็มใจอยู่ในรัฐเว่ย?” องค์รัชทายาทถาม

หมิ่นฉือส่ายหน้าช้าๆ “กระหม่อมสู้ซ่งหวยจินไม่ได้”

องค์รัชทายาทตกใจจนมือสั่น ชาสองสามหยดกระเซ็นใส่หลังมือของเขา มันร้อนจนทำให้เขากระตุก “ท่านมีทักษะในการวางกลยุทธ์เหลือล้น เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้! หรือว่าซ่งหวยจินผู้นั้นเป็นเทพจากสวรรค์หรืออย่างไร!”

รอยยิ้มของหมิ่นฉือซับซ้อน “เขาสามารถยึดใต้หล้าไว้ในใจได้และวางแผนกลยุทธ์ชิ้นเอกนี้ แต่กระหม่อมแค่ทำการคาดเดาโดยอาศัยการเคลื่อนไหวของฉินเพื่อโต้กลับเท่านั้น สงครามระหว่างผู้บุกเบิกกับผู้ตอบสนอง เพียงแค่แวบเดียวก็มองเห็นความแตกต่างแล้ว”

สาเหตุที่ทำให้หมิ่นฉือคิดว่าผู้วางแผนคือซ่งชูอีไม่ใช่ใครอื่นนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเขาพ่ายแพ้ในการเผชิญหน้ากับซ่งชูอีอย่างแปลกประหลาดในตอนแรก เขาแอบให้ความสำคัญกับนางมาก บวกกับนางสามารถยึดปาสู่ได้ไม่นานหลังจากที่เข้ารัฐฉิน เพื่อยืนยันเรื่องนี้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะปฏิบัติภารกิจและสืบสวนเป็นการส่วนตัวในรัฐปาสู่

ช่วงเวลาในรัฐปาสู่เป็นวันที่มืดมนที่สุดของเขา คำพูดติดตลกของซ่งชูอีบีบบังคับให้เขากระวนกระวายเหมือนสุนัขเร่ร่อน ครั้นกลับมายังรัฐเว่ยก็ถูกคนดูถูกเยาะเย้ย แม้แต่ผู้อารักขาลับที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ต่างดูแคลนเขาแต่เขากลับไม่สามารถปกป้องตัวเองได้

ในตอนนั้นเขาอยากตายเพื่อขอบคุณใต้หล้าเหลือเกิน ทว่าเมื่อเห็นศักดิ์ศรีของตัวเองถูกเหยียบย่ำ หากเขาไม่อับอาย เขาจะไม่เพียงแต่เป็นผู้ชายที่ไร้ประโยชน์แต่จะมาที่โลกนี้โดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย ต่อให้ตายก็ยากที่จะตายตาหลับ!

เขาผ่านความมืดมิดมาได้และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับบทเรียนแล้ว เขาก็จะพิจารณาปัญหาในเชิงลึกและในระยะยาวมากขึ้น

ซ่งชูอีวางแผนที่จะเลือกรัฐฉินในบรรดารัฐทั้งหมด ส่วนการเขาที่เลือกรัฐเว่ยย่อมมีแผนการต่อสู้ของตัวเองโดยธรรมชาติ แต่ตอนนี้เขาเพิ่งวาดโครงร่างคร่าวๆ ในใจเท่านั้น แต่คนคนนั้นกลับเริ่มนำไปใช้ได้จริงแล้ว

บางครั้งเขารู้สึกตื่นเต้นมาก บางครั้งเขาก็รู้สึกหงุดหงิด สุดท้ายแล้วซ่งชูอีก็อ่อนกว่าเขาสามปีแต่กลับสามารถวางกระดานหมากได้อย่างงดงาม แต่เขาเพิ่งจะเริ่มวางหมากเท่านั้น

องค์รัชทายาทมิได้สังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของเขาภายใต้ความตื่นเต้นนี้ เขากุมมือของเขา “ท่านมีความสามารถอันน่าทึ่ง วิสัยทัศน์ก็แข็งแกร่งกว่า มีท่านอยู่นับว่าเป็นโชคดีของข้า!”

หมิ่นฉือดึงความคิดกลับมา กล่าวด้วยความแน่วแน่ “ขอบพระทัยที่องค์ชายไม่ยอมแพ้ กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน!”

ไม่ทันรู้ตัวก็เข้าสู่กลางดึกแล้ว

หมิ่นฉือรู้สึกว่าไม่อาจรอช้าได้อีกจึงกล่าวว่า “บัดนี้องค์ชายซื่อถูกองค์ชายบีบจนเข้าสู่ทางตัน จะต้องถามแผนการกับสวีจ่างหนิงเป็นแน่ หากคำนวณเวลาแล้วก็คงยื้อได้อีกไม่เท่าไร แผนกลยุทธ์รับมือของผู้บงการเบื้องหลังที่อยู่ในรัฐฉินน่าจะมาถึงต้าเหลียงในไม่ช้า องค์ชายควรรีบส่งคนไปสกัดกั้นทันที”

หมิ่นฉือไม่พลาดความลังเลที่ฉายอยู่บนใบหน้าขององค์รัชทายาท กล่าวขึ้นทันที “องค์ชายไม่จำเป็นต้องกังวล เนื่องจากผู้บงการวางแผนอย่างรอบคอบ เขาจึงต้องใช้กลอุบายบางอย่างในจดหมายลับแน่ ต่อให้พวกเราขัดขวางสายลับได้ เกรงว่าก็ไม่เพียงพอที่จะลงโทษองค์ชายซื่อในการร่วมมือกับศัตรู ทว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถแตะต้องตำแหน่งขององค์ชายได้”