ตอนที่ 818 ติดข้าวสารไว้หรือไง

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

เสียงของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวเชี่ยนพอได้ยินก็รีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกข้างนอกโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

 

 

“ขอโทษทีนะคะคุณเซวียน ฉันมีธุระต้องขอกลับก่อน ไว้ค่อยโทรหาค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนโบกมือ กลัวว่าถ้าช้าจะไม่ทันการ

 

 

“เอ๊ะ หมอเสี่ยวเฉิน ไม่รอเจอศาสตราจารย์ชีเหรอครับ?” ผู้อำนวยการขวางเสี่ยวเชี่ยนไว้

 

 

“ค่ะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายทั้งเนื้อทั้งตัว ฝากขอโทษศาสตราจารย์คนนั้นด้วยนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

 

 

ผู้อำนวยการอยากจะขวางไว้ก็ไม่ได้ผล ถึงศาสตราจารย์หลิวเพื่อนเก่าของเขาจะไหว้วานเขาให้ทำให้เฉินเสี่ยวเชี่ยนเจอกับศาสตราจารย์ชีให้ได้ แต่เฉินเสี่ยวเชี่ยนจะไปแล้ว จะให้เขาจับมัดแบบคนไข้ก็คงไม่ดีมั้ง?

 

 

“แย่แล้วๆ เหล่าหลิวหักคอผมตายแน่ เนื้อที่กำลังจะเข้าปากหลุดลอยไปแล้ว” ผู้อำนวยการพอนึกถึงว่าจะถูกศาสตราจารย์หลิวทำยังไงเมื่อรู้เรื่องก็ปวดหัวแล้ว เขาเห็นประตูแผนกไม่ได้ปิดจึงเดินเข้าไปจะปิดประตู

 

 

“Hi Hello~” เซวียนนั่งอยู่ที่เก้าอี้โลกมือให้ผู้อำนวยการ

 

 

“หา เนื้อ ไม่สิ ผมหมายถึงศาสตราจารย์ชี ทำไมมาอยู่นี่ล่ะครับ? คนที่ผมอยากแนะนำให้รู้จักเพิ่งออกไป เดี๋ยวผมจะไปตามกลับมาครับ” ผู้อำนวยการอยากจะมีปีกแล้วบินไปตามเสี่ยวเชี่ยนกลับมาจริงๆ รีบกลับมาดูเร็ว นี่คนดังระดับโลกเลยนะ

 

 

“ไม่ต้องหรอก เขา…ไม่ค่อยสบายทั้งเนื้อทั้งตัว ฮ่าๆๆ” เซวียนหัวเราะร่า พอนึกถึงท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนที่ต้องการหลบหน้าแล้วก็รู้สึกว่าน่ารักมาก

 

 

เซวียน ชื่อเต็มว่า ชีอวี่เซวียน เขาเป็นคนที่เคยให้เหล้าเสี่ยวเชี่ยน อีกสถานะหนึ่งของเขาคือจิตแพทย์ที่ดังระดับโลก

 

 

“เอ่อ…เจอกันแล้วเหรอ? คิดว่าเด็กคนนี้เป็นไงบ้างครับ?” ผู้อำนวยการเป็นคนซื่อ รับปากศาสตราจารย์หลิวไว้แล้วว่าจะช่วยดันเขาก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด

 

 

“ความรู้ดี นิสัยน่ารัก ลายมือสวย ความคิดชัดเจน” ศาสตราจารย์ชีหยิบแฟ้มประวัติที่เสี่ยวเชี่ยนทิ้งไว้ขึ้นมาเปิดดูพลางพูด

 

 

สีหน้าแบบนี้…ผู้อำนวยการมองอย่างระมัดระวัง นี่ตกลงว่าชอบหรือไม่ชอบกันแน่?

 

 

รู้กันอยู่ว่าศาสตราจารย์ชีเป็นคนนิสัยประหลาด เขาถนัดที่สุดเรื่องเปลี่ยนอารมณ์ได้ในเสี้ยววินาที คนที่ล่วงเกินเขาอย่าคิดว่าจะได้คุยกับเขาอีกตลอดชาตินี้

 

 

“งั้น…คุณคิดว่าพอจะรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์ได้ไหมครับ? พวกเราไม่ได้จะบังคับนะครับ แต่เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของเพื่อนเก่าผม เรียนเก่งมาก เคยได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย แถมยังรักษาคนมาก็เยอะ…”

 

 

“ไม่ได้” ศาสตราจารย์ชีปิดแฟ้มประวัติ คำว่าไม่ได้ทำให้ผู้อำนวยการรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

 

 

แย่แล้วๆ แล้วจะบอกศาสตราจารย์หลิวยังไงล่ะเนี่ย?

 

 

“รางวัลที่เขาเคยได้รับยังมีไม่มากพอ เขาต้องโดดเด่นมากกว่านี้ หลักแหลมมากกว่านี้ รางวัลที่เขาเคยได้ก็แค่ของหลอกเด็กเท่านั้น”

 

 

“…ตอนปริญญาตรีเขาเรียนล่วงหน้าด้วยนะครับ ช่วงระหว่างที่เรียนปริญญาโทก็ช่วยอาจารย์ที่ปรึกษาทำโปรเจ็คต์ใหญ่ๆมากมาย ล้วนมี…” ผู้อำนวยการพูดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ล้วนเป็นผลมาจากการท่องข้อมูลมาอย่างดี เรื่องที่เขารับปากแล้วต้องทำให้ได้

 

 

“โรงพยาบาลของคุณสภาพแวดล้อมแย่มาก โดยเฉพาะแผนกผู้ป่วยใน แยกโซนผู้ป่วยไม่ชัดเจน กลอนประตูก็กิ๊กก๊อก ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรงอาจหลุดออกมาได้ง่ายๆ เมื่อครู่ผมไปเยี่ยมชมห้องผู้ป่วยมาแล้ว ใช้ไม่ได้”

 

 

“เอ๋?” เขาดันเฉินเสี่ยวเชี่ยนอยู่นะ ทำไมมาพูดเรื่องนี้?

 

 

ศาสตราจารย์ชีหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเขียนตัวเลขลงบนนั้น

 

 

“เช็คนี่ถือว่าผมบริจาคให้โรงพยาบาลแล้วกัน เอาไปปรับปรุงซะนะ”

 

 

“หา” นี่มันโชคหล่นทับ ผู้อำนวยการเกือบมือสั่นทำตก สถานที่เล็กๆแบบนี้ปกติได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลน้อยมาก แทบจะเอามาปรับปรุงสภาพแวดล้อมไม่ได้เลย เดี๋ยวนะ…

 

 

“ทำไมถึงบริจาคให้พวกเราล่ะครับ?”

 

 

“เพราะคุณเป็นคนซื่อสัตย์”

 

 

ศาสตราจารย์ชีตบบ่าผู้อำนวยการแล้วยิ้มพลางพูด

 

 

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่พูดชมเสี่ยวเชี่ยนขนาดนี้ เห็นแล้วรู้สึกถูกใจ

 

 

ผู้อำนวยการโรงเรียนหลังจากที่ออกมาจากห้องตรวจของเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกจิตใจหวาดระแวง

 

 

ความลับที่เธอฝังไว้ในใจถูกคนรู้เข้าแล้ว ไม่มีเรื่องไหนจะน่ากลัวไปกว่านี้อีกแล้ว

 

 

ระหว่างที่รอรถประจำทาง เธอเห็นใครเดินผ่านมาก็รู้สึกเหมือนคนๆนั้นกำลังหัวเราะเยาะเธอ ถึงขนาดที่ว่ายายขายผลไม้ข้างทางยิ้มให้ เธอยังคิดว่ายายคนนั้นสมเพชที่เธอเป็นผู้หญิงใจง่าย

 

 

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย ฉันไม่ใช่…”

 

 

ความคิดที่เขาเคยใช้ทำร้ายเวยเวย พอมาเกิดกับตัวเอง ผู้อำนวยการต้องแบกรับความกดดันและความทุกข์อย่างมหาศาล เธออยากพูดออกไปว่าคนที่ผิดไม่ใช่เธอ เป็นปีศาจนั่นต่างหาก จิตแพทย์ที่รู้ความลับของเธอ

 

 

สมควรตายจริงๆ ทำไมนังนั่นถึงได้รู้ความลับของเธอได้…

 

 

ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่คงดี ไม่อยู่ ไม่อยู่…

 

 

ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในจิตใจ ผู้อำนวยการเดินไปมาอยู่หน้าโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ เธอกำลังหาทางว่าจะปิดปากเสี่ยวเชี่ยนยังไง

 

 

มีสองคนเดินออกมาจากโรงพยาบาล คล้ายกับเป็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคน ผู้หญิงปาดน้ำตา ผู้ชายหน้านิ่วคิ้วขมวด ดูก็รู้ว่าเป็นญาติคนไข้

 

 

“แม่จ๊ะ เลิกร้องเถอะ ที่หมอเขาจับมัดก็เพราะตอนนี้ลูกเราไปทำร้ายคนอื่น อารมณ์ไม่มั่นคง พวกเราคุยกับหมอแล้วไม่ใช่เหรอ ขอแค่อารมณ์เขานิ่งก็ไม่ต้องจำกัดอิสระของเขาแล้ว”

 

 

“ปกติเวลาอาการเขากำเริบก็ไม่เห็นจะรุนแรงแบบวันนี้เลย หมอบอกว่าเขาง้างซี่กรงจนงอ ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

 

เวลาที่คนไข้โรคประสาทอาการกำเริบจะมีแรงเยอะมากชนิดที่เหลือเชื่อ

 

 

“เมื่อกี้พ่อถามหมอแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไปเจอหมอผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าคล้ายเหม่ยเหวยที่เขาพูดถึงอยู่ทุกวัน อารมณ์ก็เลยขึ้น แต่เหม่ยเหวยคนนี้ก็เหลือเกินจริงๆ จัดรายการชี้นำจิตใจคนอะไรไม่รู้ไร้สาระ ดูทำกับลูกชายเราซิ…”

 

 

สองคนนี้เดินไปคุยไป บทสนทนาลอยไปเข้าหูผู้อำนวยการ และได้ลอยไปเข้าหูหลิวเหมยกับฟู่กุ้ยที่เพิ่งกลับจากเยี่ยมเพื่อนเก่า พวกเขาแวะมารับเสี่ยวเชี่ยน

 

 

เดิมก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่สองสามีภรรยาคู่นี้คุยกัน แต่พอได้ยินชื่อที่ใช้ในวงการของพี่สะใภ้ หลิวเหมยก็ไม่ยอม

 

 

“พวกคุณหยุดก่อนค่ะ พูดมาให้ชัดๆนะคะ เหม่ยเหวยไปทำอะไรพวกคุณไว้หรือไง?”

 

 

“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย บ้าหรือเปล่า” ครอบครัวนี้ชอบโทษคนอื่นไปเรื่อย

 

 

ฟู่กุ้ยดึงมือหลิวเหมยเพื่อสื่อว่าให้ใจเย็นๆ จากนั้นก็หันไปอธิบายกับคู่สามีภรรยา

 

 

“ไม่ทราบว่าพวกคุณไม่พอใจอะไรกับรายการตอนกลางคืนของสถานีวิทยุช่องจราจรของเมืองหลินเหรอครับ?”

 

 

“พิธีกรผู้หญิงคนนั้นน้ำเสียงอัปมงคล ทำให้ลูกชายฉันมีอาการทางประสาทจนต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลนี่ ฮือๆๆ สวรรค์ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมไม่ให้คนอื่นป่วย ทำไมต้องเป็นลูกชายฉัน”

 

 

หลิวเหมยฟังแล้วก็โมโห

 

 

อะไรกันเนี่ย

 

 

นี่มันคนความคิดพิลึกขนาดไหนกัน คนอื่นป่วยได้แต่ลูกตัวเองห้ามป่วยงั้นเหรอ? คนอื่นเขาไปติดข้าวสารป้าไว้หรือไง?

 

 

เกี่ยวอะไรกับพี่สะใภ้เธอด้วย คนที่ฟังรายการนั้นไม่หลักพันก็หลักหมื่น ทำไมไม่เห็นใครเป็นบ้า? ถ้าพี่สะใภ้เธอเก่งขนาดพูดให้คนเป็นบ้าได้แบบนั้นทางการคงส่งมาเชิญไปทำงานให้เงินเดือนสูงๆแล้ว ต่อไปทำสงครามให้พี่สะใภ้เธอถือโทรโข่งพูดให้ศัตรูเป็นบ้าไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ

 

 

แบบนี้มันเรียกว่าพาลมั่ว