ตอนที่ 373 สหายเก่า

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ไม่ได้เจอซ่งเซินสองปี ไม่รู้ว่าเขาจะนิ่งขึ้นบ้างหรือยัง

ยังมีท่านผู้เฒ่าซ่งอีก ไม่รู้ว่าคุ้นเคยกับการอยู่ในเมืองหลวงหรือยัง จะท่องเที่ยวไปทั่วทุกที่หรือไม่

มีความคิดมากมายวาบผ่านเข้ามาในหัวของโจวเสาจิ่น นางกล่าวกับพี่สาวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลาเมื่อได้พบแล้วก็จะรู้เองเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ ให้หยางมามาเชิญมามาของตระกูลซ่งเข้ามา

กระทั่งมามาของตระกูลซ่งเข้ามา เมื่อทั้งสองคนพบหน้ากัน ที่แท้ก็เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันนี่เอง

เมื่อครั้งที่ฮูหยินซ่งไปพักอยู่ที่ตระกูลเฉิงเป็นระยะสั้นๆ ในครั้งนั้น มามาแซ่หวงผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ติดตามไปด้วย ตระกูลเดิมของฮูหยินซ่งก็แซ่หวง คาดว่าคงเป็นคนสนิทของฮูหยินซ่ง

โจวชูจิ่นหันไปส่งสายตาให้ฉือเซียงครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงได้กล่าวทักทายพูดคุยกับหวงมามา

หวงมามาผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “หลายวันก่อนฮูหยินของพวกข้าได้ยินนายท่านเอ่ยขึ้นมาถึงได้ทราบว่าต้ากูไหน่ไนกับคุณหนูรองเดินทางเข้าเมืองหลวงมาพร้อมกับนายท่านสี่ของตระกูลเฉิงด้วย ฮูหยินกล่าวว่า ต้ากูไหน่ไนกับคุณหนูรองเพิ่งมาถึงจิงเฉิงเป็นครั้งแรก นายท่านหลายท่านของตระกูลเฉิงในเมืองหลวงล้วนไม่ได้พาสตรีในเรือนชั้นในเข้าเมืองหลวงมาด้วย หากมีเรื่องที่ไม่สะดวกสำหรับสตรีอะไร ก็คงไม่อาจไปร้องขอท่านลุงทั้งหลายได้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาเยี่ยมเป็นการเฉพาะ หากต้ากูไหน่ไนกับคุณหนูรองมีเรื่องอะไร ก็ให้ส่งคนไปแจ้งฮูหยินของพวกข้าสักคำ อย่าได้เกรงใจเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า รับเทียบมา รั้งให้หวงมามาอยู่รับประทานอาหารด้วย

หวงมามากล่าวว่าทางด้านฮูหยินซ่งยังรอให้นางกลับไปรายงานอยู่ จึงปฏิเสธอย่างสุภาพไป

โจวชูจิ่นไม่ได้ฝืนบังคับ บอกให้ฉือเซียงไปส่งแขก

ฉือเซียงได้รับสัญญาณจากโจวชูจิ่นแล้ว จึงมอบเงินรางวัลเป็นสินน้ำใจให้หวงมามาสองเท่า

หวงมามาเข้าออกเรือนชั้นในบ่อยๆ จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมทราบน้ำหนักหนักเบาดี ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ทว่าในใจกลับมีความรู้สึกดีต่อสองพี่น้องตระกูลโจว เมื่อกลับไปแล้วจึงกล่าวชมสองพี่น้องครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดปาก

ฮูหยินซ่งกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ! ถ้าหากมิใช่คนจิตใจดีมีน้ำใจกว้างขวางประเภทนั้นล่ะก็ ข้าเองก็คงจะไม่หาเรื่องให้ตัวเองหรอก”

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ซ่งเซินก็วิ่งเข้ามา

พอเขาพุ่งตัวเข้าใส่อ้อมกอดของฮูหยินซ่งแล้วก็ร้องขึ้นมาว่า “ท่านแม่ไปหาพี่นางฟ้า แต่ไม่พาข้าไปด้วย ข้าอยากไปด้วย! ข้าเองก็อยากไปด้วยขอรับ!”

ฮูหยินซ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจว่า “เจ้าอายุเท่าไรกันแล้ว ยังทำตัวดื้อรั้นเช่นนี้อยู่อีก ระวังท่านพ่อของเจ้าจะกลับมาตีเจ้า รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ หนังสือที่อาจารย์ให้ท่องวันนี้ท่องเสร็จหรือยัง คัดอักษรได้กี่หน้าแล้ว”

ซ่งเซินได้ยินแล้วก็ยืนตัวตรงขึ้นมา กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “หนังสือที่อาจารย์ให้ท่องข้าท่องเสร็จไปตั้งนานแล้ว อักษรก็คัดเสร็จแล้ว ท่านแม่อย่าได้คิดจะใช้การบ้านมาควบคุมข้า ข้าอยากไปหาพี่นางฟ้าด้วย หากท่านไม่ให้ข้าไป ข้าก็จะแอบไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไป”

ฮูหยินซ่งไม่รู้จะทำอย่างไรกับปีศาจร้ายตนนี้จริงๆ แต่จะให้พาซ่งเซินไปเยี่ยมสตรีในห้องหอด้วย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจตกปากรับคำได้

ซ่งเซินกลอกตาไปมา ออกจากห้องชั้นในของฮูหยินซ่งไปด้วยอาการหดหู่ไร้ชีวิตชีวา

ทว่าฮูหยินซ่งมองแล้วกลับรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย สั่งการคนข้างกายว่า “ดูคุณชายน้อยเอาไว้ให้ดี หากเขาวิ่งพล่านออกไปข้างนอกอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าผู้ใดก็แล้วกัน”

บ่าวไพร่ทุกคนต่างขานรับคำอย่างพร้อมเพรียงกัน

ถัดจากนั้นหนึ่งวัน ฮูหยินซ่งแต่งกายอย่างงดงามด้วยไข่มุกและหยกต่างๆ ไปที่ซอยอวี๋ซู่

โจวเสาจิ่นประคองโจวชูจิ่นเอาไว้ รอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับหลี่ซื่อและโจวโย่วจิ่น

ฮูหยินซ่งลงจากเกี้ยวก็ยิ้มพลางคารวะหลี่ซื่อ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้นี้คงเป็นฮูหยินของใต้เท้าโจวกระมัง พวกเราเพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก คิดไม่ถึงว่าฮูหยินโจวจะงดงามเพียงนี้” อีกทั้งยังหยอกล้อโจวโย่วจิ่นที่อยู่ด้านหลังนาง ถอดกำไลข้อมือทองคำบนข้อมือออกมามอบให้โจวโย่วจิ่นเป็นของขวัญพบหน้า

หลี่ซื่อรีบกล่าวว่า “มิกล้า” ติดๆ กัน หลังจากเอ่ยคำเกรงใจฮูหยินซ่งไปหลายประโยคแล้ว ก็ให้โจวโย่วจิ่นกล่าวขอบคุณฮูหยินซ่ง จากนั้นเบี่ยงตัวหลบไปอยู่ข้างๆ

ฮูหยินซ่งจึงจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้ กล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “ตอนนี้เจ้ากำลังท้องกำลังไส้อยู่ เหตุใดถึงออกมาต้อนรับข้าที่หน้าประตูด้วยเล่า มีเรื่องอะไรมอบหมายให้เสาจิ่นก็พอแล้ว เสาจิ่นเดินทางไกลมาจิงเฉิงเป็นเพื่อนเจ้ากว่าพันหลี่ ก็มิใช่เพื่อมาดูแลเจ้าหรอกหรือ เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าหรอก!”

นางกล่าวหยอกล้อสองพี่น้องตระกูลโจว

หลี่ซื่อและคนอื่นๆ หัวเราะออกมาตามโอกาส

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง

ดูแล้วฮูหยินซ่งคงยังไม่ทราบเรื่องที่โจวเสาจิ่นออกมาจากตระกูลเฉิงแล้ว

แน่นอนว่าพวกนางเองก็ย่อมจะไม่เอ่ยถึงอย่างคนไม่รู้ความขนาดนั้นเช่นกัน

เนื่องจากเรื่องที่โจวเสาจิ่นออกมาจากตระกูลเฉิงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีสักเท่าไร พูดออกไปอาจจะทำให้เฉิงสวี่เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ พวกเขาที่เป็นญาติเหล่านี้ก็ย่อมจะถูกผู้อื่นขบขันไปด้วยเช่นกัน

คนทั้งกลุ่มยิ้มพร้อมกับพาฮูหยินซ่งไปนั่งในห้องโถง

หลี่ซื่อนั่งลงเป็นเพื่อนฮูหยินซ่ง

ฮูหยินซ่งมองสำรวจการตกแต่งภายในห้อง ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าไม่หยุด “ภาพดอกท้อส่งกลิ่นหอมหวานกลางห้องโถงภาพนี้ช่างเข้ากับฤดูกาลเสียจริง”

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นผลงานเก่าของสืออวี้ซี บิดามอบให้ข้าตอนแต่งงานเจ้าค่ะ”

สืออวี้ซีเป็นปรมาจารย์ด้านภาพบุปผาและสกุณาผู้เลื่องชื่อในรัชสมัยก่อน

โจวเสาจิ่นรับจอกน้ำชาที่สาวใช้ยกเข้ามาให้นำไปวางลงตรงหน้าฮูหยินซ่ง

ฮูหยินซ่งรับจอกน้ำชาไปจิบคำหนึ่ง เพิ่งจะกล่าว “บิดาของเจ้าช่างคิดเผื่อเจ้าได้อย่างรอบด้าน จัดเตรียมสินเจ้าสาวได้ประณีตถึงเพียงนี้” ไปหนึ่งประโยค จู่ๆ ก็มีเสียงอึกทึกดังเข้ามาจากด้านนอกเสียงหนึ่งอย่างกะทันหัน

หลี่ซื่อพลันมีสีหน้ามืดครึ้ม โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “คาดว่าคงมีเรื่องอะไร ข้าจะออกไปดูสักหน่อยนะเจ้าคะ”

ฮูหยินซ่งมาด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะยังระลึกถึงวาสนาที่ได้ร่วมเดินทางบนเรือลำเดียวกับโจวเสาจิ่นในตอนนั้น นอกจากนี้ในเมื่อมาแล้ว นางก็คิดจะไปมาหาสู่กับสตรีของตระกูลโจว จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมจะไม่คิดจุกจิกกับเรื่องพวกนี้

นางพยักหน้ายิ้มๆ ยังหาทางลงให้โจวเสาจิ่นด้วยว่า “ในบ้านมีคนมาก เรื่องจึงมากไปด้วย จึงย่อมมีเวลาที่ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

โจวเสาจิ่นขานรับคำ “เจ้าค่ะ” อย่างซาบซึ้งใจ หมุนกายกำลังจะออกจากประตูไป พอเลิกผ้าม่านขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์สีน้ำเงินไพลินผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา กอดเอวของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น ตะโกนร้องว่า “พี่นางฟ้า” จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่สาวดีที่สุด รู้ว่าข้ามาถึง ก็ออกมาต้อนรับข้า!”

นี่มันเรื่องจากที่ใดกัน

โจวเสาจิ่นเหงื่อตก

เพ่งตามองอีกครั้ง หากมิใช่ซ่งเซินจะเป็นผู้ใดไปได้

เพียงแต่ว่าทั้งสองคนต่างก็เติบโตขึ้นอีกสองปีแล้ว มากอดกันกลมเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก

นางลูบศีรษะซ่งเซินเบาๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ารีบปล่อยข้าเสีย! ข้าถูกเจ้ารัดจนหายใจไม่ออกแล้ว”

ซ่งเซินร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง แล้วรีบปล่อยโจวเสาจิ่น

ฮูหยินซ่งโกรธจนสีหน้าซีดเผือดไปหมดแล้ว

นางกล่าวกับซ่งเซินเสียงเข้มงวดว่า “เจ้าวิ่งเข้ามาถึงที่เรือนชั้นในทำไม”

ซ่งเซินรู้ว่ามารดาต้องรักษาหน้าตา ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้ จึงยู่ปากกล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดให้ท่านไม่ยอมให้ข้าได้พบหน้าพี่นางฟ้าเล่า” แต่ไม่บอกว่าตัวเองแอบตามฮูหยินซ่งมาอย่างลับๆ

มุมปากของฮูหยินซ่งสั่นระริกไม่หยุด

หลี่ซื่อและคนอื่นๆ ล้วนดูออกว่าซ่งเซินผู้นี้แอบตามมาอย่างลับๆ จึงรีบกล่าวแก้สถานการณ์ให้ฮูหยินซ่งว่า “แม้นจะบอกว่าเด็กชายสูงเจ็ดฉื่อไม่เข้าเรือนชั้นในแล้ว แต่สัมพันธภาพอันดีของพวกเราสองตระกูลไม่เหมือนกับผู้อื่น ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเข้มงวดกับคุณชายน้อยถึงเพียงนี้หรอกเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นเองก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “คาดว่าคุณชายน้อยคงมองเสาจิ่นเป็นดั่งพี่สาวของตัวเอง ฮูหยินไม่จำเป็นต้องคิดมากเจ้าค่ะ”

ฮูหยินซ่งหันไปยิ้มให้ทุกคนอย่างขออภัย

ซ่งเซินรีบฉวยประโยชน์จากโอกาสนั้นดั่งงูที่เลื้อยขึ้นไม้ตี ดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พร้อมกับเรียก “พี่สาว” ไม่หยุด

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาดีอยู่บ้างเล็กน้อย อีกทั้งเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินซ่งยังเจือความโกรธอยู่หลายส่วน จึงกล่าวกับซ่งเซินยิ้มๆ ว่า “วันนี้ในครัวทำวุ้นเกาลัดที่ข้าชอบกินมากที่สุดเอาไว้ด้วย เจ้าชอบกินหรือไม่ ให้ข้าพาเจ้าไปกินของว่างดีหรือไม่”

ซ่งเซินตบมือพร้อมกับกล่าวว่า “ดีขอรับ”

ฮูหยินซ่งเองก็กลัวว่าเขาจะแสดงพฤติกรรมดื้อรั้นอะไรออกมาอีก จึงรีบตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

ซ่งเซินจึงไปกินของว่างที่ห้องน้ำชากับโจวเสาจิ่น

ถือโอกาสตอนที่โจวเสาจิ่นให้คนไปต้มน้ำชาให้เขา เขากระซิบถามโจวเสาจิ่นว่า “พี่สาว ท่านหมั้นหมายหรือยัง พี่ชายของข้ายังไม่ได้หมั้นหมาย ท่านอยากแต่งเข้าบ้านของพวกข้าหรือไม่ พี่ชายของข้าเป็นคนดียิ่ง แม้แต่ขุนนางอาวุโสหยวน เห็นแล้วยังกล่าวชมไม่หยุดเลยขอรับ ท่านพ่อของข้ายังเป็นกังวลใจว่าหากถึงเวลาที่พี่ชายของข้าต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางแล้วจะทำอย่างไรดี ต่อไปพี่ชายของข้าจะต้องได้เป็นขุนนางระดับสูงเช่นกัน หากท่านแต่งกับพี่ชายของข้าย่อมไม่มีทางเสียเปรียบอย่างแน่นอน ต่อให้พี่ชายของข้าไม่ได้เป็นขุนนางระดับสูง ข้าย่อมจะได้เป็นขุนนางระดับสูง ถึงเวลานั้นท่านมีน้องสามีเช่นข้า ผู้อื่นก็ต้องเคารพท่านดุจเดียวกัน ท่านเดินไปที่ไหนผู้อื่นล้วนจะประจบประแจงท่าน”

เจ้าเด็กคนนี้!

โจวเสาจิ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ซ่งผู้พ่อเป็นขุนนางอาวุโส หากบุตรชายได้รับการเสนอชื่อรอรับตำแหน่งคงมิวายมีข่าวลือไม่ดีออกมา

แต่เพื่อให้บุตรชายได้รับตำแหน่งจิ้นซื่อสักหนึ่งตำแหน่งถึงกับทำให้บิดาที่เป็นถึงขุนนางอาวุโสแล้วต้องสละตำแหน่งไม่เป็นขุนนางต่อแล้ว นั่นก็เป็นอะไรที่พูดยากเหมือนกัน

เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบากใจจริงๆ

นางยิ้มขณะนำจอกน้ำชาไปวางตรงหน้าซ่งเซิน กล่าวยิ้มๆ เสียงอบอุ่นว่า “การแต่งงานขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดาและการทาบทามของแม่สื่อ เรื่องเช่นนี้มิใช่เรื่องที่พวกเราจะมาตกลงกันเองได้ หากผู้อื่นมาได้ยินเข้า คงจะคิดว่าข้ากับพี่ชายของเจ้าลักลอบพบปะพูดคุยกันลับๆ เจ้าอย่าให้เจตนาดีของเจ้ากลายเป็นเรื่องชั่วร้าย ทำลายข้ากับพี่ชายของเจ้าเชียว”

ซ่งเซินฟังแล้ว ใบหน้าเล็กก็สลดลง กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “แต่ข้าอยากให้ท่านมาอยู่ที่บ้านของพวกข้า จะทำอย่างไรดีขอรับ”

โจวเสาจิ่นถามเขาอย่างอดทนว่า “เหตุใดเจ้าถึงอยากให้ข้าไปอยู่ที่บ้านของพวกเจ้าเล่า”

ซ่งเซินได้ยินแล้วก็กล่าวอย่างลิงโลดว่า “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะได้เจอท่านทุกวัน ยังได้เรียกท่านว่าพี่สาว ถ้าหากผู้อื่นทำไม่ดีกับท่าน ข้าก็จะได้ออกหน้ามาช่วยเหลือท่าน ปกป้องท่าน…”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ต่อให้ข้าไปอยู่บ้านของเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่อาจมาเจอข้าทุกวันได้! เรือนชั้นในกับเรือนชั้นนอกมีความต่าง อย่างมากเจ้าก็อาจจะได้เจอข้าเป็นครั้งคราวตอนไปคารวะฮูหยินซ่งเท่านั้น หากข้าแต่งกับพี่ชายของเจ้า เจ้าก็จะยิ่งไม่ได้เจอข้า ระหว่างน้องสามีกับพี่สะใภ้นั้นต้องหลีกเลี่ยงการพบปะกัน ส่วนเรื่องที่อยากจะเรียกข้าว่า ‘พี่สาว’ นั้น มิใช่ว่าเจ้าก็เรียกข้าว่า ‘พี่สาว’ มาตลอดอยู่แล้วหรอกหรือ หากมีคนรังแกข้า เจ้าก็ออกหน้ามาช่วยเหลือข้าได้เหมือนกันนี่นา!”

ซ่งเซินคิดๆ ดูแล้วก็เห็นเป็นจริงดังนั้น

เขาเอ่ยขึ้นอย่างดีใจว่า “เช่นนั้นท่านอย่าแต่งกับพี่ชายของข้าเลยขอรับ! เป็นพี่สาวของข้าก็พอ ยามข้ามีเวลาว่างจะมาเยี่ยมท่าน มาพูดคุยกันท่าน”

นี่เท่ากับว่าเป็นการเชิญชวนเจ้าตัวปัญหามาไว้ข้างกายคนหนึ่งเสียแล้ว

แต่เขาไม่เอาแต่ร้องให้ตนแต่งงานกับพี่ชายของเขาแล้ว นี่ก็คงจะฝืนนับได้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งแล้วกระมัง

โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ

ซ่งเซินตามฮูหยินซ่งกลับบ้านไปอย่างมีความสุข

เมื่อกลับถึงบ้านฮูหยินซ่งก็เปลี่ยนสีหน้า คว้าซ่งเซินไว้หมายจะตีเขา

ซ่งเซินวิ่งหนีไปหลบอยู่กับซ่งมู่ผู้เป็นพี่ชายใหญ่เหมือนกับทุกครั้ง

ฮูหยินซ่งได้แต่ให้สาวใช้ไปเฝ้าอยู่หน้าประตูชั้นในด้วยอาการเหนื่อยหอบ ถ้าซ่งจิ่งหรานกลับมาให้เชิญเขามาที่เรือนหลักทันที

ซ่งมู่นั้นทั้งโกรธทั้งขบขัน บิดหูของซ่งเซินพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรมาอีกแล้วหรือ จงไปคัด ‘คัมภีร์สามอักษร[1]’ มาให้ข้าสิบจบ”

ซ่งเซินร้องโอดครวญกลิ้งตัวดีดดิ้นอยู่บนตั่งอิฐ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คัด ‘คัมภีร์สามอักษร’ แต่คัด ‘ตำราแห่งอุดมศึกษา’ แทนได้หรือไม่ขอรับ ‘คัมภีร์สามอักษร’ นั้น ข้าท่องจำจากข้างหลังไปข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่วมาตั้งนานแล้ว…”

เขาเป็นเด็กฉลาด ไม่ว่าอะไรเพียงสอนครั้งเดียวก็เป็นแล้ว ดังนั้นจึงทนไม่ได้เป็นที่สุดหากต้องทำเรื่องเดิมซ้ำๆ

สำหรับเขาแล้ว ให้คัดตำราที่เขาท่องจำได้จนหมดแล้วสิบจบ น่าขมขื่นกว่าให้เขายืนอยู่ใต้โถงทางเดินหนึ่งวันเสียอีก

ซ่งมู่ยังคงนิ่งเฉย

ซ่งเซินจึงคัด ‘คัมภีร์สามอักษร’ ไปด้วย พึมพำกล่าวอย่างยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่นไปด้วยว่า “เดิมทีข้าคิดจะไปทาบทามภรรยาที่งดงามเป็นหนึ่งมาให้ท่านสักคนหนึ่ง แต่โชคดีที่ยังไม่ได้ทุ่มเทแรงกายไปจนหมด ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงได้เสียใจแย่เป็นแน่แล้ว…ภรรยาของท่านไม่มีอีกต่อไปแล้ว…พี่นางฟ้าพูดถูก ถ้าหากนางแต่งกับท่าน ข้าก็จะกลายเป็นน้องสามีของนาง…สตรีถือกำเนิดมาให้ลาจากครอบครัวตัวเอง เมื่อสตรีแต่งให้ผู้อื่นแล้วย่อมจะเข้าข้างสามีของตัวเอง หากท่านลงโทษข้าเช่นนี้ อย่างมากนางก็ทำได้เพียงยกน้ำชามาให้ข้าสักจอกเท่านั้น…แต่หากข้าไปพบนางตอนนี้ด้วยหัวเข่าที่แดงช้ำ นางจะต้องให้ข้ากินของว่างด้วยความเห็นใจเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะนวดหัวเข่าให้อีกด้วย…” ขณะที่เขากล่าว จู่ๆ ก็ดีอกดีใจขึ้นมา ตะโกนเรียกบ่าวชายข้างกายเสียงดัง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามีวิธีอะไรทำให้ข้าดูเหมือนคนที่ถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าหรือไม่”

……………………………………………………………………

[1] คัมภีร์สามอักษร《三字经》เป็นตำราที่กล่าวถึงวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ และปรัชญาของจีน