ตอนที่ 240 พระราชพิธีฝังพระศพ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 240 พระราชพิธีฝังพระศพ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบหก หิมะตกหนัก !

ท้องฟ้าเริ่มสาง แต่ประตูใหญ่ของพระราชวังยังคงปิดสนิท ณ ท้องถนนไท่ผิงมีขุนนางสวมชุดสีขาวดำยืนอยู่เรียงราย

โดยมีชือเฉาหยวนเสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้นำขบวน พวกเขายืนเปิดทางออกเป็นสองฝั่ง

ราชครูเฟ่ยและหนิงไท่ฟู่ยืนอยู่หน้าประตู รอรับพระศพของไทเฮา

อากาศช่างหนาวเหน็บ หนาวเสียจนฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเท้าของเขาชาไร้ความรู้สึกเสียแล้ว เขามองไปที่ชายชราทั้งสองด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าพวกเขาจะหนาวตายไปเสียก่อน

เยี่ยนเป่ยซีฉลาดยิ่ง เขาใช้ข้ออ้างว่ามีเรื่องต้องจัดการมากมาย แล้วซ่อนตัวอยู่ในสำนักงานดื่มชาร้อนอ่านเอกสารแต่เพียงผู้เดียว บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าการได้นั่งอ่านเอกสารที่น่าเบื่อเหล่านั้นในห้องทำงานก็ไม่เลวนัก

สวี่หวยซู่ ชื่อหลางแห่งกรมพิธีการยืนอยู่ด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวน เขาค่อย ๆ ขยับจนกระทั่งมาถึงฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขายิ้มแล้วเอนศีรษะมาเอ่ยว่า “บิดาของเจ้าไปที่จวนสวี่มา”

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ “เมื่อใดกัน ? ”

“เจ้ามิรู้รึ ? เมื่อวานตอนบ่าย ประมาณยามเซิน”

ฟู่เสี่ยวกวนคิดอยู่ในใจว่าบิดาของเขาต้องการอะไรกันแน่ ? เมื่อวานประมาณยามเว่ยเขาส่งบิดาออกจากเมืองไป เขากลับมาอีกงั้นรึ ?

เช่นนั้นเขากลับไปแล้วหรือยัง ?

“เขาว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ได้ยินมาว่า บิดาของเจ้ามาคุยโวโอ้อวดจากนั้นก็เดินทางจากไป แม้แต่น้ำชาสักอึกก็ยังไม่แตะ”

“เพื่อมารดาข้างั้นรึ ? ”

สวี่หวยซู่พยักหน้า

ไร้สาระ !

มีประโยชน์อันใดกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงคิดว่าเนื่องจากพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ผู้นั้นภูมิใจที่มีลูกชายมากความสามารถเยี่ยงเขา เดิมทีที่เคยขายหน้าไปก็สามารถกู้กลับมาได้อีกครา

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าหลังจากฟู่ต้ากวนไปกู้ศักดิ์ศรีคืนมาจากจวนสวี่แล้วก็ได้เดินทางไปหงซิ่วจาว

“บิดาของเจ้ามิได้โกรธ เขาฝากคำพูดให้เจ้าประโยคหนึ่ง”

“เขากล่าวว่าเยี่ยงไร ? ”

“หากเจ้ายังมิอาจปล่อยวางได้ จงหาเวลาว่างไปยังจวนสวี่เสียหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง การที่เขามิเดินทางไปจวนสวี่ ก็หมายความว่าเขาได้ปล่อยวางแล้วงั้นรึ ?

“ตอนนี้ข้ายังมิว่าง แต่ก็ยังมิอาจจะปล่อยวางได้…” เขาหันกลับไปมองสวี่หวยซู่ ยักคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิเข้าใจเสียจริง แม่ของข้าจวนจะตายอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงใจดำเช่นนั้นกัน ? ”

“งั้นเจ้าจงลองไปจวนสวี่ดูเถิด” สวี่หวยซู่เอ่ยจบก็เดินไปด้านหน้า ปล่อยให้ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ในแถวสุดท้ายแต่เพียงลำพังตามเดิม

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น บัดนี้เขาไม่ว่างจริง ๆ อีกทั้งยังไม่มีอารมณ์ที่จะเดินทางไปจวนสวี่

ประตูพระราชวังถูกเปิดออก ด้านในมีเสียงดังขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองตามเสียงแล้วพบว่ามีโคมไฟมากมายยาวเป็นขบวน

ผู้ที่เดินนำหน้ามาสวมใส่ชุดเกราะในมือถือปืนยาวขึ้นขี่อยู่บนม้า ที่หัวของเขาโพกผ้าสีขาวเอาไว้ พวกเขาตั้งแถวยาวแล้วเดินออกมาจากประตูอย่างช้า ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าคงจะเป็นฮั่วหวยจิ่นที่เดินนำมา แต่เมื่อมองดูใกล้ ๆ กลับพบว่ามิใช่

ขบวนทหารม้า 3,000 นายเดินย่ำไปบนถนนไท่ผิง ต่อด้วยนักบวชเต๋าหลายร้อยคน พวกเขาสวมใส่ชุดสีเหลืองลวดลายยันต์แปดทิศ ในมือถือธง พวกเขาเดินไปบนถนนไท่ผิงและสวดมนต์อยู่ตลอดทาง

หลังจากนักบวชเต๋า ตามด้วยราชองครักษ์ 1,000 คน พวกเขาสะพายดาบไว้ที่เอว มิได้ขี่ม้าแต่เดินอยู่บนถนน

ต่อจากนั้นคือเหล่าองค์หญิง องค์ชายและราชวงศ์ทั้งหลาย โดยมีองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนเดินนำ รวมกันราว 100 คนเห็นจะได้

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปเห็นหยูหงอี้ บุตรชายของเสียนชินอ๋อง ช่างคุ้นหน้าคุ้นตายิ่ง เขาตั้งใจว่าเมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจะต้องไปยังหอซื่อฟางของเขาเสียหน่อย

หลังขบวนเหล่านี้ก็คือพระศพของไทเฮา มีผู้แบกหามทั้งสิ้น 18 คน โดยมีฮ่องเต้หยูอี้และพระสนมซั่งอยู่ด้านข้าง

เมื่อพระศพมาถึงประตูใหญ่ ราชครูเฟ่ยและหนิงไท่ฟู่ก็เดินตรงมาร่วมอัญเชิญพระศพ

เมื่อพระศพแบกมาถึงขบวนที่ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ ฮ่องเต้ทรงเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วกำชับบางอย่างกับขันทีเจี่ย

ขันทีเจี่ยเดินมาทางฟู่เสี่ยวกวน กระซิบบางอย่างกับเขา จากนั้นพบเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่มีท่าทีตกตะลึง เขานึกอยู่ในใจว่ามิใช่ใครก็สามารถเข้าร่วมขบวนแบกพระศพได้ ฝ่าบาททรงหมายความว่าเยี่ยงไร ?

“เสี่ยวกวน เร็วเข้า ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เขายืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แล้วยื่นมือไปยังโลงพระศพ

เขาคิดว่าฮ่องเต้จะทรงเอ่ยบางอย่างกับเขา แต่พระองค์มิได้แม้แต่จะหันหลังมามอง

สายตาของขุนนางใหญ่ทั้งหลายจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวน !

ตามหลักการแล้ว ไทเฮาเสด็จสวรรคต ผู้ที่จะประคองโลงพระศพได้นอกจากฮ่องเต้และพระสนมแล้ว ก็ควรจะเป็นองค์รัชทายาทหรือชายาขององค์รัชทายาท จากนั้นก็เป็นตัวแทนขุนนาง แล้วจึงจะเป็นผู้ที่ฮ่องเต้ทรงเลือกขึ้นมา ส่วนผู้ที่ถูกเลือกนั้นควรจะเป็นผู้อุทิศตนแก่ราชวงศ์เช่นเยี่ยนเป่ยซีหรือเยี่ยนซือเต้า

ฮ่องเต้ยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท ดังนั้นองค์ชายทั้งหลายจึงได้แต่เดินนำหน้าพระศพ

แต่ฮ่องเต้ทรงเลือกฟู่เสี่ยวกวนมาเพียงผู้เดียว ในสายตาของขุนนางทั้งหลายเหล่านี้พวกเขามิพอใจนัก

เนื่องจากนโยบายบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนั้นงั้นรึ ?

เนื่องจากได้สลักชื่อลงบนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่งงั้นรึ ?

หรืออาจจะเป็นเรื่องการต่อสู้ ณ ถนนสายยาวนั้น ที่ทำให้ฮุ่ยชินอ๋องถูกจัดการอย่างราบคาบ ?

ด้วยเหตุผลใดมิมีใครรู้ พวกเขารู้เพียงแต่ว่าฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้อวดเก่งเกินไปเสียแล้ว !

หนิงไท่ฟู่ได้แต่เสียใจ เหตุการณ์ที่ถนนสายยาววันนั้นหากตนมิได้ปรากฏตัวที่จวนผู้ว่าจินหลิงคงจะดีกว่านี้หรือไม่ ?

ส่วนใบหน้าของราชครูเฟ่ยแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวเย็นหรือเพราะตนอับอายเนื่องจากตนตัดสินคดีผิดก่อนหน้านี้

การต่อสู้บนถนนสายเลือดนั้น ราชครูเฟ่ยคาดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตกตายเป็นแน่ คาดมิถึงว่าเขาไม่ตาย กลับได้รับการชมเชยจากฝ่าบาท

เรื่องใบปลิวในคืนเทศกาลโคมไฟ เขาสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง แต่ก็มิมีหลักฐานใดที่สามารถมัดตัวเขาได้

เฟ่ยอันบุตรชายคนโตของเขาออกจากคุกมาเมื่อวานก็ได้ถือดาบจากไป เขาพอจะเดาได้ว่าบุตรชายตนจะทำสิ่งใด เขาทำได้เพียงนึกในใจว่าผู้นั้นเป็นคนที่องค์ชายใหญ่ปั้นมากับมือ เมื่อนึกถึงเรื่องที่องค์ชายใหญ่จะเดินทางไปรับหน้าที่แม่ทัพของทหารตะวันตก เขาผู้นั้นคงจะหยิ่งผยองยิ่งกว่าเดิม

หากเจ้าเดินทางไปฆ่าเขาในครานี้…ตระกูลเฟ่ยเกรงว่าจะพบกับภัยพิบัติคราใหญ่ !

เขาจึงได้เขียนจดหมายลับไปถึงเฟ่ยอัน หวังว่าจะสามารถจัดการหายนะครานี้ของตระกูลเฟ่ยได้

เขามิเข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดบุตรชายคนโตของเขาไปทำนาอยู่ถึง 5 ปี เมื่อออกจากคุกมาแล้วจึงได้ตัดสินใจกลับไปทำเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยคิดจะทำแต่ก็ทำไม่สำเร็จ !

ในเมื่อเจ้ายังมิอาจปล่อยวาง ก็จงกำเอาไว้มิดีกว่าหรือ !

ท่านผู้เฒ่าชือก็ยืนอยู่ที่แห่งนี้ด้วย เขามองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้มขึ้น แต่มิมีผู้ใดรู้ได้ว่ารอยยิ้มนั้นหมายถึงสิ่งใด

สวี่หวยซู่และสวี่หวินกุยสบตากัน แววตาของทั้งสองต่างตกตะลึง

หยูเวิ่นเทียน องค์ชายใหญ่เพียงชายตาไปมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน คิ้วหนาเข้มของเขามิได้ขยับ แต่มุมปากกลับเผยอขึ้น

หยูเวิ่นชู องค์ชายสี่มองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนแล้วเลิกคิ้วยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็นแฝงไปด้วยความเกลียดชัง

หยูเวิ่นเต้า องค์ชายห้านั้นเพียงเบ้ปากแล้วคิดในใจว่าเขาได้รับความชอบจากเสด็จพ่อไม่น้อยทีเดียว

ส่วนหยูเวิ่นหวิน องค์หญิงเก้านั้นจิตใจนิ่งสงบ นางนึกเพียงว่าหากว่าที่พ่อสามีของนางเดินทางมายังเมืองหลวง แต่นางกลับมิสามารถเดินทางไปพบได้คงจะเสียใจยิ่ง

มีเพียงหยูชิงหลานองค์หญิงสามเท่านั้นที่มองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วตัดสินใจว่า จะร้องขอเสด็จแม่ให้เอ่ยกับเสด็จพ่อว่าในวันที่ส่งตัวเจ้าสาว หนึ่งในผู้อารักขาจะต้องมีฟู่เสี่ยวกวน !

โดยรวมแล้วไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง เมื่อพบว่าฮ่องเต้ทรงเลือกให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าประคองโลงพระศพก็มีความคิดเห็นต่าง ๆ ในใจ สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป

ขบวนยาวราวมังกรนี้ดำเนินไปยังถนนไท่ผิง ด้านข้างของถนนทั้งสองมีประชากรจำนวนมาก ฟู่เสี่ยวกวนไม่แน่ใจว่าพวกเขาเหล่านี้คิดเห็นเยี่ยงไรกัน อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ นอนอยู่ใต้ผ้าห่มมิดีกว่ารึ ?

ออกมายืนตากหิมะขาวโพลนเช่นนี้ ไม่ลำบากหรือไรกัน ?

ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่หิมะยังคงตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ในเมืองจินหลิงมีองครักษ์เฝ้าระวังในทุกที่ที่พระศพเคลื่อนผ่าน และมีทหารตรวจยามตลอดเวลา ดังนั้นบนท้องถนนจึงไม่มีผู้มิเกี่ยวข้องใดปรากฏขึ้น แต่ประตูหน้าต่างของบ้านเรือนทั้งสองฝั่งถูกเปิดออกและมีผู้คนโผล่หัวออกมามากมาย พวกเขามองดูขบวนยาวเหยียดนี้แล้วถอนหายใจออกมา พิธีช่างยิ่งใหญ่และเคร่งครัด มีกฎเกณฑ์มากเสียจริง !

ท้องฟ้าสว่างไสว ลมหยุดกรรโชก แต่หิมะยังคงตกหนัก

ขบวนออกไปจากเมืองจินหลิง มุ่งเข้าสู่ป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

ที่ป่านั้นมีองครักษ์ขี่ม้าตรวจตราดูอย่างเคร่งครัด เมื่อพบว่าขบวนเดินทางมาถึง พวกเขาก็ยกปืนขึ้นสู่ฟ้า จากนั้นยิงขึ้นไป แรงสั่นสะเทือนทำให้หิมะหล่นลงยังพื้น

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่ามือของตนแข็งทื่อไปเสียแล้ว หากรู้ว่าจะหนาวถึงเพียงนี้เขาคงสวมใส่ถุงมือเช่นเดียวกับฮ่องเต้และพระสนมซั่ง คาดว่าคงอบอุ่นไม่น้อย

แต่เนื่องจากเขามิได้คาดคิดมาก่อน เขาตั้งใจจะติดตามขบวนอยู่ที่ด้านท้ายของขุนนาง เช่นนั้นก็สามารถนำมือซุกไว้ด้านในชุดได้ อีกทั้งยังได้ชื่นชมบรรยากาศรอบ ๆ อีกด้วย เอ่ยตามตรงว่าเขามิได้รู้สึกอะไรกับการจากไปของไทเฮาเท่าใดนัก

เขาได้พบพระนางเพียง 2 ครั้ง ซึ่งทั้งสองครั้งนั้นก็มิใช่ความทรงจำที่ดีนัก ส่วนสุดท้ายที่จัดการได้ ในสายตาฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าคงเป็นเพราะพระสนมซั่งหาวิธีช่วยเหลือต่างหาก

ใช้ชีวิตของฮุ่ยชินอ๋อง แลกกับการที่ให้ไทเฮาทรงรับคำให้หยูเวิ่นหวินแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนได้

ดังนั้นเขามิอาจรู้ได้ว่าไทเฮาทรงเป็นคนเช่นไร พระนางทรงจริงใจหรือเพียงเสแสร้ง

แต่เนื่องจากถูกสั่งสอนมาว่าให้เอื้อเฟื้อต่อเด็กและเคารพผู้ใหญ่ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องทำท่าทีเคร่งขรึม แม้จะมิได้เสียใจก็ตาม แต่ภายในใจก็อดรู้สึกที่จะให้ความเคารพไม่ได้

เพียงแต่สายตาของเขาตื่นเต้นมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เขามักเงยขึ้นมองด้านหน้า และในที่สุดก็เห็นภูเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป

แม้ภูเขาลูกนั้นจะไม่สูงมาก อีกทั้งยังดูเลือนลางเนื่องจากหิมะที่ปกคลุมอยู่ จึงทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก

ขบวนยังคงเดินหน้าต่อไป ภูเขาลูกนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สามารถมองเห็นต้นไม้ที่คล้ายกับดอกเห็ด

ที่เชิงเขานั้นทุกสิ่งอย่างมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนกิ่งของต้นสนแห้ง

เกล็ดน้ำแข็งนั้นยาวประมาณหนึ่งเมตร ช่างใสยิ่ง หากมีแสงมากระทบเข้าคงจะส่องประกายเป็นสีรุ้ง คาดว่าจะทำให้ภูเขาจื่อจินนี้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

เขามองไปรอบ ๆ กาย ที่นี่มีองครักษ์มากกว่าที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีทหารเพิ่มมาอีกหนึ่งกลุ่ม พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะสีดำ สะพายคันธนูไว้ที่หลังและมีดาบยาวแขวนที่เอว คาดว่าคงจะเป็นองครักษ์ของฝ่าบาทเป็นแน่

ขบวนเคลื่อนเข้าไปยังภูเขาจื่อจิน

เมื่อมาถึงพื้นที่กว้างยังกลางเขา ฟู่เสี่ยวกวนก็แลเห็นขันทีที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด

เขาผู้นั้นคือขันทีเว่ย !

เขาคือยอดฝีมือผู้คุ้มครองที่แห่งนี้จริง ๆ ด้วย !

เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าชือกล่าวว่าให้เขามาดูที่นี่ ดูสิ่งใดกัน ?

ท่านผู้เฒ่าชืออยู่ในขบวนส่งพระศพนี้ด้วย แต่เสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนมิได้ติดตามมา เขามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอีกงั้นหรือ ?