ตอนที่ 109 ถกตัณหา (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ตัวอย่างเช่นหมัวมัวคนนี้ก็แล้วกัน ก็แค่แม่เล้าคนหนึ่ง คำพูดคำจายังสุภาพไพเราะเสนาะโสตถึงเพียงนี้ บอกว่าคุณชายเทียนซูไม่สบายโดยไม่บอกว่ากำลังรับแขก ทำให้แม้อยากจะใช้อำนาจบังคับหรืออาละวาดให้รับแขกก็เป็นเรื่องไม่สมควร แถมยังช่วยแนะนำคุณชายอื่นให้ด้วย พยายามมิให้เสียลูกค้าหรือผิดใจกับลูกค้า

 

 

“อี้หมัวมัวฝีปากดีมาก” อีไป๋กล่าวเย็นชาแล้วหันไปมองนายของตน

 

 

ไป๋หลี่ชูยิ้มน้อยๆ “คุณชายเทียนซูออกไปแล้วหรือ เช่นนั้นหมัวมัวช่วยหาห้องที่ใกล้กับห้องคุณชายเทียนซูมากที่สุดให้ข้าก็แล้วกัน ข้าจะรอเขากลับมา”

 

 

อี้หมัวมัวตัวแข็ง นางนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยืนกรานถึงเพียงนี้ แววตาจึงเย็นลงแต่ไม่แสดงทางสีหน้า กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยก็ขัดฮูหยินมิได้แล้ว แต่ข้าน้อยขอบอกไว้ก่อนนะเจ้าคะ ข้าน้อยมิทราบจริงๆ ว่าคุณชายเทียนซูจะกลับมาเมื่อใด”

 

 

อีไป๋รู้ว่าอี้หมัวมัวกำลังแก้ตัว ความหมายคือเจ้าอยากรอก็รอไป ถ้ารอแล้วไม่มาก็อย่ามาโทษข้า

 

 

นึกดูแล้วน่าจะเคยมีแขกมาขอเช่นนี้อยู่บ่อยๆ คนในหอไผ่เขียวจึงต้องฝึกการรับมือกับคนประเภทนี้มาเป็นอย่างดี

 

 

ไป๋หลี่ชูกลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นหมัวมัวก็นำทางเถิด”

 

 

อี้หมัวมัวไม่พูดมาก ยิ้มให้แล้วหันกายพาพวกเขาไปอีกด้านหนึ่ง

 

 

พวกเขาเดินตามอี้หมัวมัวพักใหญ่ เห็นคนค่อยน้อยลง อีไป๋ไม่วางใจเหลียวมองการตกแต่งอันประณีตบรรจงรอบข้าง กล่าวอย่างตื่นตัวเล็กน้อยว่า “อี้หมัวมัวจะพาพวกข้าไปไหนหรือ”

 

 

อี้หมัวมัวย่อมรู้ถึงความกังวลของพวกเขา จึงยิ้มอย่างไม่ถือสาว่า “นี่เป็นทางเข้าออกของแขกสตรี อาคันตุกะสตรีที่สูงส่งบอบบาง ย่อมไม่ควรปะปนกับบุรุษ”

 

 

ไป๋หลี่ชูฟังแล้วประกายตาวิบวับ

 

 

ครู่เดียว อี้หมัวมัวก็พาคนทั้งสองไปถึงห้องหนึ่งซึ่งหรูหรามาก ชี้ไปห้องที่ไม่ไกลและไม่มีแสงไฟกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “นั่นคือห้องของคุณชายเทียนซู ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ให้คนรับใช้ไปสืบดูก็ได้”

 

 

ไป๋หลี่ชูยืนริมหน้าต่าง หรี่ตามองห้องนั้นแต่ไม่พูดอะไร ส่วนอีไป๋หน้าตาเฉยเมยหยิบตั๋วเงินส่งให้อี้หมัวมัว “ขอบคุณหมัวมัวนะ เจ้าช่วยส่งสุราอาหารมาด้วย พวกเราจะรอที่นี่ก็แล้วกัน”

 

 

หมัวมัวก้มลงมองดูตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงก็ตกใจ แต่ใบหน้ายิ้มระรื่นและย่อกายคารวะ กล่าวอย่างดีอกดีใจว่า “ขอบพระคุณฮูหยิน”

 

 

หลังนางออกไปอย่างนอบน้อมก็ปิดประตูให้ไป๋หลี่ชูกับอีไป๋อย่างรอบคอบ

 

 

แต่พริบตาที่ประตูปิดลง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็อันตรธานไป นางแลดูตั๋วเงินในมือแล้วเหลือบมองประตูห้องเหมือนคิดอะไรบางอย่าง จึงรีบเก็บตั๋วเงินไว้แล้วหันกายจากไปอย่างเร่งร้อน

 

 

ลงจากหอนางเหลียวมองรอบๆ เรียกเด็กรับใช้ที่เมื่อครู่ติดตามมาด้วยกระซิบว่า “ไปเตรียมสุรากับแกล้มโต๊ะหนึ่ง แล้วไปตรวจสอบตั๋วเงินใบนี้ ข้าว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา น่าจะมีปัญหา”

 

 

ส่วนอีไป๋ที่อยู่ในห้องหลังเงี่ยหูฟังเห็นนอกห้องไม่มีใครอยู่แล้ว จึงพลันหันกายคุกเข่าข้างเดียวต่อหน้าไป๋หลี่ชู ขมวดคิ้วกล่าวว่า “หมัวมัวเมื่อครู่แม้ท่าทางจะเป็นปกติ แต่ฝีเท้าเร่งรีบ คงผิดปกติแน่ ข้าน้อยสะเพร่า ตั๋วเงินเมื่อกี้เบิกมาจากโรงแลกเงินชางเหอ พวกเขาอาจพบเบาะแส!”

 

 

โรงแลกเงินชางเหอเป็นสถานที่แลกเงินส่วนตัวของราชนิกุล ตั๋วเงินและเงินแท่งที่เบิกออกมาใช้สำหรับจ่ายเบี้ยหวัดคนในวัง

 

 

ไป๋หลี่ชูถอดหมวกทรงสูงออก มือไพล่หลังยืนริมหน้าต่าง กล่าวเนือยๆ ว่า “กลับวังแล้วไปรับโทษโบยยี่สิบทีจากซวงไป๋”

 

 

เขาหยุดลง เอื้อมมือจัดไรผมที่ถูกลมพัดปลิวช้าๆ “ตั๋วเงินโรงแลกเงินชางเหอกระจายสู่ภายนอกมิได้ ถ้าคนในหอไผ่เขียวสืบรู้ที่มาของตั๋วเงิน ข้ากลับรู้สึกว่าน่าจะมีความหมายบางอย่าง”

 

 

อีไป๋ฟังแล้วงง เดิมทีคิดว่าฝ่าบาทมีแผนในใจ จึงมิได้ยับยั้งการใช้ตั๋วเงินของตน

 

 

แต่ฝ่าบาทเป็นคนลงโทษและให้รางวัลอย่างยุติธรรมเสมอมา เขาเองไม่รอบคอบพอ ย่อมต้องถูกลงโทษ อีไป๋ไม่เสียใจแม้แต่น้อย รับคำอย่างนอบน้อมแล้วลุกขึ้น 

 

 

“ฝ่าบาทคิดว่าหอไผ่เขียวน่าสงสัยใช่หรือไม่” อีไป๋ถามไป๋หลี่ชู

 

 

ไป๋หลี่ชูอิงร่างกับหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ปลายนิ้วเคาะขอบหน้าต่างที่จัดสร้างอย่างประณีตเบาๆ “วันนี้แค่สัมผัสในเวลาสั้นๆ ยังรู้สึกว่าหอไผ่เขียวไม่ธรรมดา และตัวเจ้าของหอเองย่อมไม่ธรรมดา ไม่เพียงละเอียดลออยังรู้หลักการบริหารเป็นอย่างดีและเข้าถึงจิตใจผู้คน

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงแม่เล้าที่ลื่นจนกลมเกลี้ยง ไม่ต้องพูดถึงไหวพริบเพียงแค่การแยกแขกบุรุษและสตรีออกจากกัน เท่ากับคำนึงถึงแขกสตรีที่มาสถานที่เช่นนี้ ย่อมไม่สะดวกบางประการจึงอุตส่าห์ทำทางเข้าออกเฉพาะกิจไว้ และทิวทัศน์ทางเข้าออกของบุรุษกับสตรีก็แตกต่างกัน โอ่อ่าสำหรับบุรุษ ประณีตบรรจงสำหรับสตรี สิ่งละอันพันละน้อยเช่นนี้แสดงว่าคนที่จัดการต้องมีความละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ และคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น

 

 

อีไป๋เป็นคนเฉียบคมอยู่แล้ว บัดนี้ได้ยินไป๋หลี่ชูกล่าวเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “คนที่รอบคอบละเอียดเช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดา ถ้าใช้ความรอบคอบนี้ในการอื่น หอไผ่เขียวย่อมเป็นสถานที่การรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ดีที่สุด เพราะพวกบุรุษยามเมามายหรือยามเสพสมย่อมเผลอหลุดปากพูดอะไรออกมาได้ง่าย”

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ “ไม่รู้ว่าเจ้าของหอไผ่เขียวมีเจตนาเช่นไร มิรู้ว่าจะใช้สอยได้หรือไม่”

 

 

อีไป๋เข้าใจและกล่าวทันทีว่า “ไว้บ่าวกลับไปแล้วจะรีบให้คนสืบภูมิหลังของหอนี้ทันที” เขาหยุดลงแล้วพูดต่ออย่างกังวล “แต่ถ้าเจ้าของหอนี้ถูกผู้อื่นใช้สอยแล้ว หรือไม่ยอมให้ค่งเฮ่อเจียนใช้สอยเล่า ฝ่าบาทจะทำอย่างไร”

 

 

ไป๋หลี่ชูล้วงส้มลูกหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ปอกกินด้วยท่าทางสง่างาม กล่าวอย่างมินำพาว่า “หากเป็นเช่นนั้น คนเฉลียวฉลาดเช่นเจ้าของหอนี้ทิ้งเอาไว้ก็จะเป็นการฟุ่มเฟือยไปหน่อย ข้าเป็นคนมีเมตตาจิตดุจโพธิสัตว์ จะส่งมันไปสวรรค์รับใช้พระโพธิสัตว์เสียเลย”

 

 

อีไป๋แลดูเปลือกส้มของผู้เป็นนาย แต่มิรู้ว่าเพราะอะไรดูแล้วจึงเหมือนหนังมนุษย์ พลันสยิวกายอย่างหนาวเหน็บแล้วกล่าประจบประแจงว่า “ฝ่าบาททรงเมตตา”

 

 

เขากล่าวอย่างลังเลอีกว่า “ฝ่าบาท เจ้าคุณชายเทียนซูกำลังต้อนรับใต้เท้าชิวอยู่ชัดๆ เพียงแต่มิได้อยู่ในห้องของตนเองเท่านั้น เราจะรออยู่ที่นี่อีกหรือ”

 

 

เมื่อกี้สายสืบได้ส่งข่าวลับให้เขาแล้วว่าคุณชายเทียนซูกับชิวเยี่ยไป๋อยู่ที่ใด

 

 

ไป๋หลี่ชูยิ้มน้อยๆ สีหน้าสุดจะหยั่งคะเน “ไม่ พวกเราไปชมละครดีกว่าไหม”

 

 

เขาอยากรู้นักว่าเสี่ยวไป๋หาความสุขอย่างไร เผื่อจะได้ใช้ประกอบการพิจารณาในภายหลัง

 

 

……

 

 

“ฮัดเช้ย…ฮัดเช้ย…” ชิวเยี่ยไป๋จามติดต่อกันสี่ห้าครั้ง แม้แต่สุราในมือยังกระฉอก

 

 

“เป็นอะไรไป โดนอากาศเย็นกระมัง” คุณชายในชุดขาวข้างกายวางป้านสุราในมือลง หยิบผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อส่งให้อย่างเอาใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สั่นศีรษะ รับผ้าเช็ดหน้าขยี้จมูก กล่าวเสียงขึ้นจมูกว่า “ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีลมเย็นโชยผ่าน ทนไม่ไหวเลยจาม”