บทที่ 285 ธรรมลักษณะระดับเพชรเนตรพิโรธ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 285 ธรรมลักษณะระดับเพชรเนตรพิโรธ

สวี่ชีอันอยากลองเล่นพิเรนทร์ตะโกนเล่นว่า ‘เมียจ๋า ออกมาดูพระศรีศากยมุณีเร็ว’

แต่เขายังไม่มีภรรยา ซ้ำร้ายแรงกดทับมหาศาลที่แผ่กระจายออกมาจากธรรมลักษณะ ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาได้ เพราะสัญชาตญาณสั่งให้คุกเข่าลงกราบไหว้

ท่านโหราจารย์ เหตุไฉนจึงไม่กล้าเผชิญกับข้า…

สิ้นเสียงคำรามกึกก้องกัมปนาทราวกับฟ้าร้อง สวี่ผิงจื้อผู้พยายามหยัดยืนขึ้นก็เข่าทรุดลงไปอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง

ขณะที่เผชิญกับความกลัว ความอัปยศอดสูก็บังเกิดในใจไปพร้อมกัน อารองสวี่ใช้สองมือยันไว้กับพื้นพร้อมกัดฟันกรอด “หนิงเยี่ยน ฉือจิ้ว อย่าคุกเข่า ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมา!”

สามคำสุดท้ายเขาแผดเสียงจนสุดเสียง

สิ้นเสียงตะโกน สวี่ผิงจื้อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของหลานชายและลูกชาย จึงเงยหน้าขึ้นมอง…เห็นลูกชายกำลังยึดเกาะเสาไว้แน่น เส้นเลือดสีเข้มบริเวณหน้าผากปูดโปนขึ้น ราวกับว่าพยายามยืนหยัดจนสุดแรงเกิด

ส่วนหลานชายหันหลังพิงประตู กระชับดาบในมือทั้งสองข้าง จ้องธรรมลักษณะบนท้องฟ้ายามราตรีตาเขม็งอย่างไม่ยอมจำนน

จากนั้นลูกชายและหลานชายก็หันมามองพร้อมกันเป็นตาเดียว

บรรยากาศหยุดนิ่งชั่วขณะ แต่ยังดีที่สวี่ฉือจิ้วและสวี่หนิงเยี่ยนเบือนสายตาหนีอย่างนิ่งเฉย

เฮ้อ…เจ้าเด็กเวรสองคนยังรู้จักไว้หน้าข้าบ้างสินะ! ความอับอายของสวี่ผิงจื้อบรรเทาลง

โธ่ อารองสภาพขี้ขลาดตาขาวขนาดนี้ สงสัยคงเอาจิตใจกล้าแกร่งไปฝากไว้ที่อาสะใภ้หมดแล้วกระมัง! สวี่ชีอันหัวเราะเยาะในใจ

‘ท่านพ่อช่างน่าสมเพชเสียไม่มี ตัวเองล้มลุกคลุกคลาน แล้วยังจะแหกปากโวยวายอีก ดีนะที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้!’ สวี่ฉือจิ้วลอบชิงชังบิดาที่น่าอดสูของตน

“พี่ใหญ่ จะ จะจัดการกับภิกษุจากสำนักพุทธอย่างไร ทะ ท่านเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่ รู้เรื่องราวภายในบ้างหรือไม่” สวี่ฉือจิ้วเอ่ยตะกุกตะกัก

บังคับตัวเองอย่างหนักไม่ให้เสียงสั่น

เขาเชื่อว่าดินแดนทางประจิมทิศและต้าฟ่งเกิดความบาดหมางบางประการขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้สมณทูตจากแดนประจิมตบเท้าเข้าสู่เมืองหลวง ดูจากการกระทำของภิกษุสมณศักดิ์สูงจากสำนักพุทธในค่ำคืนนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าท่าทีของแดนประจิมเต็มไปด้วย ‘ความโกรธแค้น’

หากไม่ได้รับการจัดการที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างแดนประจิมและต้าฟ่งคงต้องถึงกาลอวสาน หรืออาจนำไปสู่สงครามระดับชาติได้

ในฐานะปัญญาชน สวี่ซินเหนียนย่อมกระหายใคร่รู้ในเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ตามสัญชาตญาณ

สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ความเห็นขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด…ส่วนรายละเอียดข้ายังไม่รู้แน่ชัด”

พูดไปได้ครึ่งหนึ่งเขาก็กลับคำ เพราะปฏิกิริยาของภิกษุสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธนั้นเหนือความคาดหมายของสวี่ชีอันไปมาก

ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรได้อย่างหนึ่ง ในตอนที่ไต้ซือเสินซูถูกผนึกอยู่ในต้าเฟิง อาจไม่ใช่แค่ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างพันธมิตรเท่านั้น แต่บางทีอาจยังมีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่

หากเป็นเพียงการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างพันธมิตร ทางสำนักพุทธจะโกรธแค้นถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เหตุใดจึงทำการใหญ่เพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย

หอเฮ่าชี่

เว่ยเยวียนสวมชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ มองขึ้นไปที่ธรรมลักษณะรูปพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง

“อรหันต์ปราบอธรรม!”

ดวงตาของเขานิ่งสงบ ลำตัวยืดตรง เสื้อคลุมสีเขียวปลิวไสวตามสายลม ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับธรรมลักษณะโดยตรง

ในห้องน้ำชาด้านหลัง หยางเยี่ยนและหนานกงเชี่ยนโหรวนั่งขัดสมาธิและก้มศีรษะลง พยายามต้านทานแรงกดดันจากธรรมลักษณะอย่างเต็มที่

ยิ่งระดับการฝึกตนสูง แรงกดดันก็ยิ่งทวีคูณ

“สำนักพุทธยังแข็งแกร่งเช่นเคย” เว่ยเยวียนเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ

พูดจบเขาก็หันไปมองบุตรบุญธรรมทั้งสองแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “หากสวี่ชีอันอยู่ที่นี่ ข้ากล้ารับประกันว่าเขาจะต้องยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาก็จะยืนหยัดอยู่ได้”

หยางเยี่ยนและหนานกงเชี่ยนโหรวละอายใจ

ณ พระราชวัง จักรพรรดิหยวนจิ่งในเสื้อคลุมลายมังกร ทรงพระดำเนินออกจากห้องบรรทมพร้อมกับขันทีเฒ่า พระองค์เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่คิ้วสองข้างตั้งขึ้น ราวกับลอยอยู่เหนือพระราชวังพอดิบพอดี

ดวงตาของพระพุทธรูปคล้ายจะวางอุเบกขาแต่ฉายแววน่าสะพรึง ราวกับกำลังจับจ้องจักรพรรดิหยวนจิ่งโดยตรง

ภายในพระราชวัง กองกำลังทหารรักษาพระองค์ถือหอกในมือ ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่มีใครคุกเข่าลงหรือเผยความหวาดกลัวออกมา

ทั้งพระราชวังราวกับเป็นอิสระจากพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมลักษณะอย่างสิ้นเชิง

“หึ!”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมอย่างเย็นชา ก่อนจะหันกลับเข้าห้องบรรทม

คืนนี้ผู้คนนับล้านในเมืองหลวง นักรบจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงชาวยุทธ์ที่หลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต่างอกสั่นขวัญแขวนราวกับเผชิญกับวันสิ้นโลก

ความหวาดกลัวระคนตื่นตระหนกอันหนักหน่วงเกาะกุมหัวใจ

ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดความคิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่าที่นี่คือเมืองหลวง ศูนย์กลางของต้าฟ่งเชียวนะ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการเผยแผ่ศาสนาพุทธได้เลยหรือ

ทีแรกก็พระภิกษุหนุ่มที่ต่อสู้เป็นเวลาสี่วันติดโดยไม่แพ้แม้แต่ครั้งเดียว คืนนี้ก็มีธรรมลักษณะปรากฏจนสั่นคลอนทั้งเมืองหลวง ทั้งยังมาเพื่อเหยียดหยามท่านโหราจารย์อีกด้วย

ท่านโหราจารย์เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของต้าฟ่ง ซึ่งเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งเพียงคนเดียว

นี่คือสิ่งที่ราชสำนัก ท่านโหราจารย์ และราษฎรนับล้านต้องเผชิญหน้า

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างอยากให้ท่านโหราจารย์ลงมือ

ณ ซังผอ กระบี่และดาบทองเหลืองขององค์จักรพรรดิผู้สถาปนาในวัดหย่งเจิ้นซานเหอที่สร้างขึ้นใหม่กำลังสั่นไหว ราวกับรอคอยการเรียกหาจากเจ้าของ

ท่ามกลางผู้คนนับไม่ถ้วนที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นอย่างชัดเจน ‘วี้ด!’

น้ำเสียงน่าฟัง เนื้อเสียงชัดแจ๋ว

ลั่วอวี้เหิงสวมมงกุฎดอกบัว สวมเสื้อปักลายปลาไท่จี๋ เดินออกจากห้องที่เงียบสงบ เส้นผมพลิ้วไสวในสายลม

นางมองขึ้นไปยังพระพักตร์ของพระพุทธรูป กางแขนขวาอันขาวผ่องออกแล้วกำนิ้วมือทั้งห้า ดาบเหล็กขึ้นสนิมพลันพุ่งขึ้นจากสระน้ำมาอยู่ในฝ่ามือของนาง

ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ ขว้างดาบเหล็กในมือของนางออกไป “ไป!”

ปราณกระบี่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับสายรุ้ง

ในตอนแรกมันพุ่งขึ้นไปเป็นดวงไฟเส้นบางๆ ราวกับอุกกาบาตที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

หลังจากนั้นไม่นาน ปลายดาบก็เกิดมวลอากาศห้อมล้อมเป็นรูปโค้ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งร้อยเมตร ซึ่งเป็นคลื่นก๊าซที่เกิดจากแรงต้านอากาศ

ไม่นานนัก ดวงไฟสีแดงก็สาดส่องท่ามกลางท้องฟ้าสีทองอร่าม สอดประสานกับความงดงามมลังเมลืองของธรรมลักษณะสีทอง ดวงไฟที่เป็นเพียงเส้นสายบางๆ ในทีแรก ขยายใหญ่ขึ้นจนยากจะจินตนาการ

ราวกับกลายเป็นน้ำตกสีแดง

ธรรมลักษณะสีทองอร่ามพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ฝ่ามือยักษ์สองข้างยกขึ้นมาจากกลุ่มเมฆสีดำที่ลอยคว้างรายล้อม พยายามคว้าดาบแสงไว้ให้ได้

ฝ่ามือยักษ์สีทองทั้งสองประสานกัน จับดาบแสงที่เจิดจ้าราวกับทางช้างเผือกไว้ได้พอดิบพอดี

วินาทีถัดมา เสียงฟ้าร้องระเบิดดังไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง มือทั้งสองข้างของธรรมลักษณะแหลกสลายกลายเป็นแสงสีทองทีละนิ้ว ส่วนพระพักตร์ของพระพุทธรูปยักษ์ก็แหลกสลายไปด้วย ดาบแสงสีแดงผสานเข้ากับสีทองเรืองรองกลายเป็นสีสันงดงามตระการตา ร่ายรำอยู่ท่ามกลางรัตติกาล

สำหรับผู้คนในเมืองหลวง ภาพอันงดงามนี้อาจเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

‘ตุบ…’

สวี่ผิงจื้อที่เพิ่งลุกขึ้นยืนได้ด้วยความยากลำบาก คุกเข่าลงไปอีกครั้ง

สวี่ชีอันและสวี่ซินเหนียนเบือนหน้าหนีอีกครั้ง ไม่ต้องการมองเห็นฉากที่น่าอับอายของท่านพ่อและอารองของพวกเขา

เมื่อครู่ลั่วอวี้เหิงเป็นผู้ลงมือหรือ สมแล้วที่เป็นผู้นำลัทธิเต๋าอันดับสอง หากดาบเล่มนั้นพุ่งมาทางข้าละก็…ความรู้สึกของสวี่ชีอันในขณะนี้ซับซ้อนอยู่พอสมควร

เขาเคยพูดคุยกับลั่วอวี้เหิงหลายครั้ง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้นำลัทธิเต๋าอันดับสอง แต่เขาก็ยังขาดความกระจ่างชัดในความแข็งแกร่งของนาง

จนกระทั่งถึงเวลานี้ สวี่ชีอันจึงตระหนักได้อย่างแจ่มแจ้งว่าผู้นำเต๋าอันดับสองแข็งแกร่งเพียงใด

หากข้ารู้ว่านางโหดถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ข้าคงไม่กล้าจ้องหน้าอกนางแน่…แผ่นหลังของสวี่ชีอันเย็นวาบ เขารู้สึกว่าตนกระโดดโลดเต้นอยู่บนปากเหวแห่งความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ท้องฟ้าก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง แสงสีแดงและสีทองดับสนิท กลุ่มเมฆดำสลายหายไปแล้ว เหลือเพียงพระจันทร์เสี้ยวลอยคว้างอยู่กลางเวหา

ราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

เจ้านายทั้งสามแห่งตระกูลสวี่โล่งใจ สวี่ชีอันนั่งลงบนธรณีประตู สวี่ฉือจิ้วนั่งลงบนระเบียงทางเดิน สวี่ผิงจื้อค่อยๆ ลุกขึ้นและกล่าวเสียงขรึม

“ดีแล้วที่ยังหนุ่มยังแน่น ร่างกายยังแข็งแรง ไม่เหมือนข้า พอล้มทรุดทีหนึ่ง ก็ลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว”

“แต่สมัยท่านพ่อยังหนุ่ม ท่านน่ะแข็งแรงบึกบึน วิ่งไล่ฆ่าข้าศึกกี่ร้อยกี่พันกลับไปกลับมาตั้งหลายรอบ คิ้วยังไม่ทันขมวดเลย”

เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพ่นลมหายใจเย็นชา “ครั้งนี้ข้าเตรียมตัวไว้แล้ว หากเหตุการณ์เมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง ข้าไม่มีทางล้มหมดสภาพแน่นอน…”

ครั้นสิ้นวาจา เสียงบทสวดก็ดังขึ้นในท้องฟ้ายามราตรี เมฆดำที่สงบนิ่งม้วนตัวอีกครั้ง

ในส่วนลึกของกลุ่มเมฆ ปรากฏแสงสีทองสว่างขึ้นอีกครั้งเคล้ากับเสียงสวดมนต์ เมฆดำทะมึนหมุนวน และแล้วธรรมลักษณะอีกร่างก็ปรากฏขึ้น

ธรรมลักษณะร่างนี้แตกต่างจากร่างก่อน ร่างนี้สีสันดูฉูดฉาดกว่าเดิม ดูสมจริงยิ่งขึ้น อีกทั้งพระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์นี้ดูทวีความเหี้ยมโหดยิ่งกว่าเก่า

แน่นอนว่าพลังก็ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงเช่นกัน พลังมหาศาลยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก

‘ตุบ…’

สวี่ผิงจื้อกระดูกเหล็กคุกเข่าลงอีกครั้ง

แต่คราวนี้ ทั้งสวี่ซินเหนียนและสวี่ชีอันไม่ได้หัวเราะเยาะเขา สวี่ซินเหนียนเองก็ทรุดลงไปกองกับพื้น เหงื่อไหลโซมกาย สวี่ชีอันก็คุกเข่าลงพร้อมกับยันมือทั้งสองข้างไว้

เมื่อเขานึกถึงภาพยักษ์ที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าในหัว ความหยิ่งทะนงในใจพลันปะทุออกมา จากนั้นเขาก็ยืดหลังขึ้นเล็กน้อยแล้วใช้ดาบพยุงกาย

ไต้ซือตู้เอ้อร์ต้องการประมือกับท่านโหราจารย์จริงๆ หรือนี่…หัวใจของสวี่ชีอันหล่นวูบ ผู้คนนับล้านในเมืองหลวงไม่อาจทนต่อความทรมานนี้ได้แน่

‘ปัง!’

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังลั่น

สวี่หลิงอินขยี้ตา จับประตูและก้าวข้ามธรณีประตูออกมา “ท่านพ่อ ข้างนอกเสียงดังมากเลย…”

“กลับห้องไปซะ กลับเข้าห้องเร็วเข้า!” สวี่ผิงจื้อตะโกนลั่น

สวี่หลิงอินเงยหน้าใบหน้าน้อยๆ ขึ้น นิ้วอ้วนป้อมของนางชี้ขึ้นไปบนฟ้า “มีเทวดาอยู่บนฟ้าด้วย”

เธอจ้องมองราวกับเคลิบเคลิ้ม ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันมหาศาลแม้แต่น้อย

“ธรรมลักษณะระดับเพชรเนตรพิโรธหรือ?!”

ลั่วอวี้เหิงเบ้ริมฝีปาก หันหลังกลับเข้าห้องของตน ไม่สนใจอีกต่อไป

หนึ่งในเก้าธรรมลักษณะของพระพุทธศาสนาคือธรรมลักษณะเนตรพิโรธ ซึ่งมีเพียงพระโพธิสัตว์อันดับหนึ่งเท่านั้นที่สามารถแสดงออกมาได้

ให้ท่านโหราจารย์จัดการต่อก็แล้วกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับนางอีก

ณ แท่นแปดทิศเหนือหอดูดาวในขณะนี้

ท่านโหราจารย์ในชุดขาว ผมขาว และหนวดเคราขาวโพลนยืนอยู่บนขอบของแท่นแปดทิศ โดยยืนเอามือไพล่หลังรับลมกลางคืนที่พัดโกรกจนเคราปลิวสยาย

“ข้อตกลงในตอนนั้นเป็นเรื่องระหว่างเจ้ากับราชวงศ์ แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” ท่านโหราจารย์กล่าวอย่างขุ่นเคือง

ธรรมลักษณะขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตอ้าปากและเปล่งเสียงออกมา แต่มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้นที่ได้ยิน “หากไม่ใช่เพราะสำนักพุทธของข้ายื่นมือเข้ามาช่วย เจ้าจะก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งได้หรือ ตอนนี้เสินซูออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว หากเจ้าไม่มีคำอธิบายให้กับสำนักพุทธของข้า ภายภาคหน้าข้าจะมาเยือนเมืองหลวงด้วยตนเอง”

“หากเจ้ากล้ามาเหยียบเมืองหลวง ข้าก็จะส่งเจ้ากลับไป” ท่านโหราจารย์เยาะเย้ยแล้วเอ่ยถามต่อ “พวกเจ้าสำนักพุทธคิดจะทำเช่นไร”

“เจ้าต่างหากที่ต้องคิด เจ้าควรรู้ว่าเมื่อเสินซูกลับคืนร่างเนื้อได้เมื่อใด มันจะนำความหายนะครั้งใหญ่มาสู่สำนักพุทธของข้า” ธรรมลักษณะระดับเพชรคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเสินซูยังถูกผนึกใต้ซังผอต่อไป มันจะนำพาหายนะมาสู่ต้าฟ่งของข้ามากเพียงใด” ท่านโหราจารย์ย้อนถาม

ธรรมลักษณะระดับเพชรเอ่ย “สำนักโหราจารย์ของพวกเจ้าก่อกรรมขึ้นมาเอง แต่จะให้สำนักพุทธของพวกข้าเป็นผู้รับกรรมแทนหรือ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วจะพูดเรื่องไร้สาระเพื่ออันใดเล่า อยู่ได้แค่ครึ่งชั่วโมงแท้ๆ มีอะไรจะพูดก็รีบพูดให้จบ อย่ารบกวนเวลานอนของผู้คนในเมือง” ท่านโหราจารย์กล่าวอย่างหมดความอดทน

“สองประการ ประการแรก…ตามหาอาณาจักรหมื่นปีศาจที่หลงเหลืออยู่และนำมือที่ถูกตัดขาดของเสินซูกลับมา ประการที่สอง…สำนักพุทธต้องการยืมแผ่นความลับสวรรค์ของเจ้าเป็นเวลาสามปี”

“มีปัญญาก็มาเอาไปเอง” ท่านโหราจารย์ตอบกลับเสียงเรียบ

“ดี!”

ธรรมลักษณะระดับเพชรสูญสลายไป

“เอ๊ะ เมื่อครู่ไม่ได้โจมตีหรือ”

สวี่ชีอันมองขึ้นไปบนท้องนภา ธรรมลักษณะระดับเพชรที่สภาพเหมือนเทพปีศาจมลายหายไปสิ้น ไม่เหลือร่องรอยที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งฟ้าดินเช่นเมื่อครู่

เพียงแต่ควบแน่นรวมกันบนท้องฟ้าเพียงครู่หนึ่งแล้วก็สลายไป

สวี่ผิงจื้อและสวี่ผิงจื้อค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมา ร่างทั้งร่างราวกับจะร่วงลงไปกองกับพื้น

“หลิงอิน อย่ามัวแต่ยืนบื้อ มาช่วยพยุงพ่อกับพี่รองของเจ้ากลับห้องเร็ว” สวี่ชีอันตะโกนเรียก

“ถุยๆๆ!”

สวี่ผิงจื้อถ่มน้ำลายใส่หลานชายของเขา แล้วก่นด่ายับ “มาช่วยข้าเดี๋ยวนี้เลย ทะนุถนอมเลี้ยงมายี่สิบปี เสียข้าวสุกจริงๆ”

สวี่ชีอันรีบเข้าไปพยุง

หลังจากส่งอารองและเอ้อร์หลางกลับเข้าห้องแล้ว สวี่ชีอันก็สื่อสารกับภิกษุเสินซูในใจของเขา “ไต้ซือขอรับ ไต้ซือ…ท่านเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หรือไม่”

………………………………………………..