บทที่ 168 ผู้ไร้นามกับผู้มีชื่อเสียง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 168 ผู้ไร้นามกับผู้มีชื่อเสียง

บทที่ 168 ผู้ไร้นามกับผู้มีชื่อเสียง

กลุ่มที่มาถึงในภายหลังได้หยุดม้าลง ผู้คุ้มกันผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมและดูเหมือนจะเป็นผู้นำได้กวาดสายตามองไปโดยรอบ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว ก่อนที่จะขี่ม้าโลหิตเพลิงเมฆาไปยังเบื้องหน้ารถม้าสมบัติที่สร้างมาจากหยกขาวและผลึกน้ำแข็ง จากนั้นก็ประสานมือแล้วกล่าวว่า “คุณหนู พวกนั้นคือคนของตระกูลตง เราควรเดินหน้าต่อไปหรือไม่”

ม่านของรถม้าสมบัติถูกเปิดออก ภายในนั้นมีเด็กสาวที่สวมชุดคลุมหรูหราสีฟ้าที่มีนกเพลิงอมตะโบยบินกำลังก้าวเดินลงมาอย่างช้า ๆ

เด็กสาวคนนี้อายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปี นางมีใบหน้ารูปไข่ที่สง่าและงดงาม คิ้วของนางเหมือนดั่งภูเขาสองลูกที่อยู่ห่างไกลโพ้น รูม่านตาของนางเหมือนแต้มหมึกสองจุด ริมฝีปากสีเชอร์รี่ของนางอมชมพูและอิ่มเอิบ อีกทั้งยังโค้งงอเป็นมุมที่งดงาม ผิวของนางขาวกระจ่าง อ่อนโยน และเรียบเนียนเหมือนหยก ผมยาวสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกของนางถูกเกล้าเป็นมวยด้วยปิ่นหยกทั้งหกอัน จึงเผยให้เห็นถึงลำคอขาวนวลราวกับหิมะ นางช่างงดงามและละเอียดลออราวกับดอกบัวที่ลอยอยู่ในน้ำที่ใสกระจ่าง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปล่งรัศมีแห่งความงามออกมาจนแทบลืมหายใจ

ทว่าการแสดงออกของนางกลับดูเย่อหยิ่งและเย็นชา ซึ่งแฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นเยียบที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ราวกับว่านางเป็นเจ้าหญิงแห่งแดนน้ำแข็ง

ที่ด้านหลังของนางก็มีข้ารับใช้หญิงสองสามคนติดตามมา สีหน้าของพวกนางก็ดูเย็นชา และมีสายตาที่หยิ่งยโสเช่นเดียวกัน

ทันทีที่เด็กสาวคนนี้ปรากฏตัว กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ได้แผ่ออกมาจากร่างกายของนาง ทำให้ผู้คนต้องหยุดการสนทนาทันที และสายตาของพวกเขาก็จดจ้องไปที่นางขณะเผยให้เห็นร่องรอยความปรารถนาและตัณหาอันแรงกล้า

เฉินซีเองก็ยังต้องยอมรับว่า เด็กสาวคนนี้งดงามอย่างแท้จริง และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นางอาจจะกลายเป็นสาวงามที่สามารถพลิกโฉมดินแดนได้

“ทะเลสาบนี้ไม่ได้เป็นของตระกูลตง ในเมื่อพวกเขาสามารถพักผ่อนที่นี่ได้ แล้วเหตุใดพวกเราจะพักไม่ได้ล่ะ? หวังคุน จงตั้งค่ายซะ การทดสอบเข้านิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรคือวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเรามาพักแรมกันเถอะ” เด็กสาวกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่ใสกังวานราวกับเสียงของลำธารที่ไหลริน

“ขอรับ” ชายวัยกลางคนชื่อหวังคุนประสานมือของเขาและรับคำสั่ง จากนั้นได้สั่งให้ผู้คุ้มกันคนอื่นเข้ายึดครองอีกฝั่งของทะเลสาบทันที ซึ่งมันก็เกือบจะเกิดความขัดแย้งกับผู้คุ้มกันของตระกูลตงที่ได้มาถึงก่อนหน้านี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบมาคุขึ้นมาในทันที

“หึ ข้าสงสัยนักว่าจะเป็นผู้ใด ที่แท้ก็เป็นหวังอวิ๋นฉือ คุณหนูคนที่สองของตระกูลหวังนี่เอง ถึงแม้เราจะอยู่ห่างไกลกัน แต่พรหมลิขิตก็ได้ชักนำให้มาพบกัน ตัวข้านั้นก็อยากจะไปที่ตระกูลหวังมาตั้งนานแล้ว เพื่อที่จะสู่ขอเจ้ากับท่านลุงหวังให้ได้แต่งงานกับข้า ในตอนนี้โชคชะตาได้กำหนดให้เรามาพบกันที่นี่ มันจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากพรหมลิขิต” ชายหนุ่มรูปงามลุกขึ้นยืนและเชิดคางขึ้น ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตงเซวียนหง เจ้าควรให้เกียรติกันบ้าง มิฉะนั้นอย่าได้หาว่าข้าหยาบคาย เจ้าควรรู้ไว้ว่า ข้าทำตามคำพูดเสมอ” หวังอวิ๋นฉือกล่าวอย่างเย็นชา

“คิดว่าข้าเกรงกลัวเจ้าหรือ?” ตงเซวียนหงระเบิดความโกรธออกมา “เมื่อข้าได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว จากนั้นค่อยมาดูกันว่าท่านพ่อของเจ้าจะเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างเราหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างเหมาะสม”

เคร้ง!

ด้วยการพลิกมือขวาของนาง กระบี่ที่เปล่งประกายด้วยลำแสงอันเยียบเย็นก็ปรากฏขึ้นในมือของหวังอวิ๋นฉือ และชี้ไปที่ตงเซวียนหงจากระยะไกล นางเม้มริมฝีปากแน่นสนิทและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างของหวังอวิ๋นฉือก็ชักกระบี่ของพวกเขาออกมาอย่างพร้อมเพรียง และสีหน้าของพวกเขาต่างก็เผยให้เห็นความพร้อมที่จะเข้าปะทะ

ในอีกด้านหนึ่ง องครักษ์ของตงเซวียนหงก็ชักอาวุธของพวกเขาออกมาเช่นกัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปด้วยดี พวกเขาจึงยืนอยู่ที่ด้านข้าง เพื่อเผชิญหน้ากับผู้คุ้มกันของตระกูลหวังจากระยะไกล

ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็ตกอยู่ในความล่อแหลมที่พร้อมจะเกิดการปะทะได้ทุกเมื่อ และแม้แต่กระแสอากาศเองก็ดูเหมือนจะเย็นยะเยือกขึ้นในทันที

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกหนทุกแห่งในที่แห่งนี้ คืออาณาเขตของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และการก่อปัญหาขึ้นในที่แห่งนี้ก็ไม่เป็นการดีเช่นกัน ดังนั้นข้าหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะอดกลั้นต่อกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย็งที่จะเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น จะเป็นการดีหากทั้งสองฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ” เฉินซีถือคัมภีร์สีฟ้าไว้ในมือขณะที่เขายืนขึ้นจากนั้นก็ส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา

บังเอิญว่าสถานที่ที่เขานั่งอ่านคัมภีร์อยู่นั้น อยู่ระหว่างคนทั้งสองกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากัน และเขาก็ไม่ได้เป็นที่สะดุดตาจนผู้คนเหล่านี้ไม่ได้สังเกตถึง อีกทั้งเขาก็ไม่สามารถเฝ้าดูอย่างเฉยเมย ในขณะที่คนทั้งสองกลุ่มกำลังจะต่อสู้กันภายในอาณาเขตของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น ก็ไม่คู่ควรกับการที่เป่ยเหิงได้ดูแลเขาเสมอมา

“สร้างปัญหา? ข้าเพียงกล่าวกับเจ้าไม่เพียงกี่คำก่อนหน้านี้ เจ้าคิดว่าตัวเองสนิทสนมกับนายน้อยคนนี้หรือ? แล้วยังกล้าสอนบทเรียนให้กับข้าคนนี้อีก? จงรีบไสหัวไปซะ! มิฉะนั้นข้าก็จะทุบตีเจ้าด้วยเช่นกัน!” ตงเซวียนหงขมวดคิ้วขณะกล่าวออกมา

หวังอวิ๋นฉือเพิ่งสังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน ริมฝีปากสีชมพูและอิ่มเอิบของนางได้โค้งงอเป็นเส้นโค้งที่เย่อหยิ่งและดูแคลน เมื่อนางได้ยินคำพูดของเฉินซี ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้กล่าวอันใดออกมา แต่ทัศนคติของนางก็เผยออกมาอย่างชัดเจน

นายเคยพบเห็นผู้คนมากมายที่ประเมินความสามารถของตัวเองสูงล้ำ และเพื่อที่จะเอาชนะใจนาง ก็มีคนมากมายที่ไม่แยแสต่อชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ของเฉินซี จึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันและไร้เดียงสาในสายตาของนาง

อันที่จริง กลิ่นอายของเฉินซีได้ถูกยับยั้งไว้ และเขาเองก็ถือคัมภีร์สีฟ้าไว้ในมือ แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ในตอนนี้เขากลับเหมือนหนอนหนังสือผู้คงแก่เรียนทั่วไป ดังนั้นจะยังมีผู้ใดใส่ใจกับเขาอีก?

“พี่ใหญ่ ดูนั่นสิ ท่าทางจะมีผู้คนทะเลาะกันอยู่ตรงนั้น”

“หุบปากซะ รีบไปจัดการเรื่องของเราเถอะ”

ทันใดนั้นก็มีคนอีกสองคนเดินเข้ามาจากระยะไกล คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง มีใบหน้าหล่อเหลาและมีท่าทางหนักแน่น ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่สง่างามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหญิงสาวคนนี้ ดวงตาของนางราวกับดวงดาวที่ส่องประกายท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ซึ่งเต็มไปด้วยความระยิบระยับและลึกล้ำจนยากหยั่งถึง ราวกับเป็นเมฆหมอกและหยาดน้ำ เผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ยากจะพรรณนา

หืม? พวกเจ้ามู่เหยากับมู่เหวินเฟยหรือ?

สายตาของเฉินซีกวาดไปทั่วและจดจำพี่น้องคู่นี้ได้ทันที เมื่อห้าปีที่แล้ว การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิดที่นอกเมืองทะเลสาบมังกร ทำให้เขาได้รู้จักกับพี่น้องคู่นี้ หลังจากนั้นที่ศาลาชุมนุมเซียน เฉินก็เป็นที่สะดุดตา เพราะได้มอบบทเรียนให้กับเซี่ยจ้านซึ่งเป็นนายน้อยของตระกูลเซี่ยอย่างดุเดือด และเขายังได้จัดแจ้งให้พี่น้องคู่นี้เข้าสู่ตระกูลตู้เพื่อฝึกฝน ตอนนี้พวกเขาไม่ได้พบกันมานานกว่าห้าปีแล้ว รูปร่างหน้าตาของทั้งคู่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และพวกเขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มและเด็กสาวตัวมอมแมมเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไปแล้ว

“พี่ใหญ่ ดูนั่นสิ…” มู่เหวินเฟยสังเกตเห็นเฉินซีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนในทันที และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงก่อนจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

มู่เหยาเองก็เงยหน้าขึ้นมอง และดวงตาใสกระจ่างของนางก็สว่างขึ้นในทันที ในขณะที่นางกำลังจะอ้าปาก แต่เฉินซีกลับก้าวเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าสองคนมาที่นี่ทำไมหรือ?”

“ข้า… ข้าและน้องชายของข้าตั้งใจที่จะเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจร” มู่เหยากล่าวออกมาและก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่านางจะไม่กล้าสบตากับเฉินซี

เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่าการฝึกฝนภายในตระกูลตู้นั้นไม่ราบรื่น? และพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมหรือ?”

“ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน” มู่เหวินเฟยกล่าวอย่างเร่งรีบ “พี่ใหญ่ของข้าได้บอกว่า หากเราฝึกฝนในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เราจะสามารถพบ… ”

“หุบปากซะ!” มู่เหยาเงยหน้าขึ้นเพื่อจ้องไปที่น้องชายของนาง และใบหน้างดงามของนางก็กลายเป็นสีแดงระเรื่อแล้ว

ในวันนี้ นางสวมชุดสีเหลืองอ่อน ผิวของนางอ่อนนุ่มและขาวราวกับหิมะ ผมสีดำขลับของนางปล่อยสยายลงมาอย่างอ่อนโยน เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามและน่าพิศมัยของนาง ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างของนางก็สง่างามและเพรียวบาง หากเทียบกับเมื่อห้าปีที่แล้ว นางในตอนนี้เป็นดั่งผลแอปเปิ้ลสีแดงที่สุกแล้ว อีกทั้งใบหน้าที่งดงามของนางเต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ ทำให้นางดูมีเสน่ห์และบอบบางอย่างสุดจะพรรณนา

เมื่อเฉินซีตระหนักได้ หัวใจของเขาก็สั่นไหวในทันที เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้อาจจะตกหลุมรักเขา จนทำให้เขารู้สึกว่ามันช่างน่าขบขันและยากที่จะอธิบายอยู่ในใจ

ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขัน จะมีผู้ใดในโลกนี้ที่ไม่มีความสุขจากการได้รับความรักและเป็นที่โปรดปราน? ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา ก็เปี่ยมไปด้วยความงามที่สามารถดึงดูดสายตาของผู้คน และเฉินซีเองก็ไม่ใช่นักบุญ ดังนั้นการได้รับความรักจากมู่เหยาทำให้เขารู้สึกถึงความภูมิใจของลูกผู้ชาย แต่ว่า…

‘แต่ว่ามันได้ผ่านมาห้าปีแล้ว แม้แต่ข้าเองก็แทบจะลืมนางไปแล้ว เหตุใดนางถึงยังไม่ลืมข้าอีก?’

ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจของเฉินซี จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะนำเจ้าทั้งคู่ไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร”

“ตกลง ข้าอยากไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของยอดเขาใจสัจธรรมเช่นกัน ว่ากันว่าเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ภายในดินแดนทางใต้ต่างยึดยอดเขาใจสัจธรรม เป็นสถานที่แรกที่พวกเขาต้องไปเมื่อเข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร” มู่เหวินเฟยร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

“ยอดเขาใจสัจธรรมหรือ? ช้าก่อน! เมื่อเจ้ารู้เส้นทางอยู่แล้ว จงนำทางให้แก่นายน้อยผู้นี้ และไม่ต้องกังวล เมื่อเราถึงยอดเขาใจสัจธรรมแล้ว นายน้อยคนนี้จะตอบแทนเจ้าอย่างเหมาะสมแน่นอน” ทันใดนั้นเสียงของตงเซวียนหงที่อยู่ห่างออกไปก็ดังขึ้น

“ถูกต้อง หากมีผู้นำทางจะช่วยให้เรารอดพ้นจากปัญหามากมายที่จะเกิดขึ้น” หวังอวิ๋นฉือก็เก็บกระบี่ของนางไว้ในฝักเช่นกัน และไม่ได้โต้เถียงกันอีกต่อไป

ขณะที่พวกเขาทั้งสองกล่าว คนทั้งสองกลุ่มที่แต่เดิมกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ และบรรยากาศที่พร้อมจะแตกหักจากการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ก็สลายลงและแยกย้ายกันไปในทันที ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

เมื่อเขาได้ยินคนเหล่านี้สั่งเฉินซีที่เป็นพี่ใหญ่ที่เขาเคารพมากที่สุด ใบหน้าของมู่เหวินเฟยก็เผยถึงความขุ่นเคืองขึ้นมาแทบจะทันที แต่เฉินซีก็ส่งสัญญาณมาที่มู่เหวินเฟยพร้อมกับส่ายหัวขณะที่เขากำลังจะกล่าว ทำให้มู่เหวินเฟยเพียงแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะละสายตาจากคนเหล่านี้ไป

ทันใดนั้น กลุ่มคนก็มุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

น้ำตกและทะเลสาบแห่งนี้อยู่ภายในเทือกเขาเมฆพเนจร และอยู่ห่างจากที่ตั้งของประตูหลักของนิกายเพียงสองร้อยห้าสิบลี้

เฉินซี มู่เหยา และมู่เหวินเฟยเดินนำหน้าและไม่มีท่าทีที่จะเร่งรีบ ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไปตลอดทาง

ที่ด้านหลังของพวกเขาก็คือกลุ่มของตงเซวียนหงและหวังอวิ๋นฉือ นายน้อยและคุณหนูจากตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลหมอกทั้งสอง พวกเขาย่อมไม่เดินเท้าเหมือนเฉินซี โดยปกติแล้วพวกเขาก็นั่งในรถม้าสมบัติของตัวเอง และมีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันจากทั้งสองด้าน ทำให้พวกเขาดูมีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ในระหว่างเดินทางก็ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นส่วนใหญ่

เมื่อพวกเขามาถึงนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ตงเซวียนหง และหวังอวิ๋นฉือก็ลงมาจากรถม้าสมบัติของพวกเขาและติดตามหลังเฉินซีช้า ๆ ภายใต้การอารักขาของผู้คุ้มกัน สถานที่แห่งนี้คือนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และไม่ว่าภูมิหลังของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในที่แห่งนี้

นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร หากพบเจอเหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรระหว่างทาง ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรหรือยุ่งแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็จะประสานมือให้แก่เฉินซี แม้จะไม่มีสุ้มเสียงใด ๆ แต่ก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา

‘ฮึ่ม! ความสัมพันธ์ของเจ้านี้กับผู้คนถือได้ว่าไม่เลวเลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่เขาเป็นเพียงงูเจ้าถิ่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คนไร้ตัวตนเช่นนี้รู้เพียงวิธีประจบประแจงไปทั่ว เพื่อทำให้ทุกคนพอใจ และเขาไม่ควรค่าแก่การถูกพูดถึง’ ตงเซวียนหงคิดอย่างเหยียดหยามอยู่ในใจ

‘เจ้าคิดหลอกลวงข้าหรือ? บางทีคนผู้นี้จงใจแสร้งเป็นคุ้นเคยกับศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และต้องการใช้วิธีนี้เพื่อเข้าใกล้ตัวข้า ฮึ่ม! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนไร้ตัวตนเช่นนี้กลับเรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมของลูกหลานผู้มั่งคั่งเหล่านั้น บางทีเขาอาจไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าเคยชินกับเหตุการณ์แบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว ช่างเป็นตัวตลกที่น่าสมเพชเสียจริง’ หวังอวิ๋นฉือส่ายศีรษะของนาง และสายตาที่นางมองไปยังเฉินซี ก็ยิ่งเต็มไปด้วยการเหยียดหยามมากขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะคิดเช่นนี้ แต่พวกเขาทั้งสองคนต่างก็อิจฉาอยู่ในใจ คนทั้งสองนี้เป็นถึงอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจจากตระกูลของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่แห่งไหนก็ตาม ก็จะถูกผู้คนเยินยอสรรเสริญ แต่ในตอนนี้ ความสนใจของพวกเขากลับถูกดึงดูดโดยคนที่ไร้ตัวตนเช่นเฉินซี ดังนั้นมันคงจะแปลกถ้าหากพวกเขาจะรู้สึกยินดีอยู่ในใจ

“อ้า! ที่แท้ก็คือนายน้อยของตระกูลตง ตระกูลตงที่อยู่เบื้องหลังของเขาเป็นเจ้าของหอการค้าอันดับหนึ่งของเมืองทะเลหมอก ความมั่งคั่งและความแข็งแกร่งของตระกูลนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมาที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยเช่นกัน ในบรรดาหนึ่งร้อยตำแหน่งของการสอบเข้านิกายครั้งนี้ จะต้องมีตำแหน่งสำหรับเขาอย่างแน่นอน”

“ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามอะไรเช่นนี้! ถ้าข้าจำไม่ผิดนางน่าจะเป็นคุณหนูคนที่สองของตระกูลหวังแห่งเมืองทะเลหมอก ตระกูลหวังนั้นได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลานับหมื่นปี ยิ่งไปกว่านั้น หากเทียบทรัพยากรและทรัพย์สินของพวกเขาก็ยังเหนือล้ำกว่าตระกูลตงอีกด้วยซ้ำ ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจเช่นนางจะมาด้วยเช่นกัน!”

เมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงยอดเขาใจสัจธรรม สถานการณ์ของตงเซวียนหงและหวังอวิ๋นฉือก็เปลี่ยนไปในทันที เนื่องจากที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะที่มาจากเมืองทะเลหมอก และทันทีที่พวกเขาเห็นตงเซวียนหง หวังอวิ๋นฉือ และผู้คุ้มกันที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาทั้งหมดต่างก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่พวกเขาแสดงสีหน้าตกตะลึงในทันที ซึ่งได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างมากขึ้น และอาจถือได้ว่าพวกเขาเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคนอย่างแท้จริง

อารมณ์ของพวกเขาดีขึ้นในทันที และความอดทนของพวกเขาได้สลายไปเช่นกัน พวกเขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและยิ้มเล็กน้อย และทุก ๆ การกระทำที่พวกเขาทำล้วนให้ความรู้สึกที่น่านับถือ

ตรงกันข้ามเฉินซี มู่เหยา และมู่เหวินเฟยที่นำหน้ากลายเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดสนใจแม้แต่น้อย แต่เฉินซีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ และอันที่จริง เขารู้สึกรำคาญจนต้องไปซ่อนตัวอยู่ข้างนอกในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาด้วยซ้ำ!

กระแสของผู้คนบนยอดเขาใจสัจธรรมยังคงมีจำนวนมากอยู่ในปัจจุบัน และเส้นทางบนภูเขาที่กว้างขวางแต่เดิมนั้น กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เบียดเสียดขณะที่พวกเขาเดินผ่านกัน ซึ่งมันก็คล้ายกับคนธรรมดาในโลกมนุษย์ ที่จะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจุดธูปบูชาพระ ทำให้ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม

‘ข้าจะไม่เดินกลับมาอีกในอนาคต…’ เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงยอดเขาและมาถึงที่เบื้องหน้าห้องโถงใหญ่ การฝ่าฝูงชนจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ

เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีเบียดตัวออกมาจากฝูงชน ศิษย์สายในทั้งเจ็ดสิบสองคนที่คอยดูแลรักษาเรียบร้อยในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ตกตะลึงในทันที เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาเพียงโบกมือเพื่อสื่อให้เหล่าศิษย์ทำงานต่อ ในขณะที่เขากลับพามู่เหยาและมู่เหวินเฟยเดินไปที่ห้องโถงใหญ่แทน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะจากไป เขากลับถูกเรียกโดยตงเซวียนหง นายน้อยที่หยิ่งยโส จองหอง และไม่ให้เกียรติแก่ทุกคน จากนั้นตงเซวียนหงก็ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เจ้าหนู หน้าที่นำทางมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เหตุใดเจ้าถึงผลีผลามเข้าไปในห้องโถงใหญ่โดยไม่รอข้า? เจ้ากำลังรนที่ตายหรือ? กลับมาเดี๋ยวนี้! นายน้อยผู้นี้ทำตามที่กล่าวเสมอและรางวัลที่ข้าจะให้แก่เจ้านั้น นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว!”