ราธบันวางดาบและขอให้ฉันปลดเขาออกจากตำแหน่ง

 

ปลดออกจากตำแหน่ง

 

คำพูดนั้น เป็นคำที่มีน้ำหนักมากกว่าสิ่งไหนๆ ในวิหารหลวง บางทีอาจคิดว่าเป็นแค่การลาออกจากงานที่รับผิดชอบอยู่ ทว่าเนื้อหาในหนังสือที่ฉันเคยอ่าน และในความทรงจำที่อีเบลลีน่าหลงเหลือไว้ การปลดออกจากตำแหน่งไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายเพียงนั้น

 

มันคือบทลงโทษที่จะกำหนดเมื่อไม่อาจรับผิดชอบภาระหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายได้ ต่อให้เป็นเพียงแค่นักบวชทั่วไป แต่ผู้ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งจะได้รับสายตาที่ไม่ดีจากคนรอบข้างและยากที่จะกลับขึ้นมารับตำแหน่งใดๆ อีกครั้ง การปลดออกจากตำแหน่งเป็นคำอธิบายบทลงโทษที่ทำให้ตกลงไปสู่จุดต่ำสุดในวิหารหลวงได้ด้วยคำเดียว

 

ถึงจะเป็นเรื่องแน่ชัดอยู่แล้ว แต่การร้องขอให้ปลดออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถรับฟังได้ทันที แค่การปลดนักบวชทั่วไปคนหนึ่งยังต้องจัดการประชุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นี่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร ไม่ใช่ตำแหน่งที่บอกว่าอยากเลิกทำแล้วก็จะเลิกทำได้

 

อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมมากพอที่ร้องขอให้ปลดออกจากตำแหน่ง

 

“ข ข้าคิดว่าเพียงแค่เหตุผลว่าไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่ได้จึงมาขอร้องให้ปลดออกจากตำแหน่งนี่ยังไม่เพียงพอ ผู้บัญชาการราธบัน”

 

นักบวชระดับสูงผู้ดำเนินงานประชุมรีบเข้ามาข้างราธบันแล้วกล่าว ไม่ใช่เพียงแค่นักบวชผู้นั้น นักบวชคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เองก็เข้ามาหาราธบันและชวนเขาคุยราวกับพยายามห้ามปราม

 

ผู้คนที่เคยล้อมรอบคาร์ลมารวมตัวอยู่ข้างราธบันในชั่วพริบตา เหล่านักบวชที่เดินเข้ามาหาล้วนแต่เป็นห่วงราธบันด้วยใจจริงและตกใจกับคำพูดที่กะทันหันมากเกินไปของเขา

 

“…?”

 

ฉันรู้สึกได้ว่านักบวชหลายคนที่มารวมกันตรงนั้นกำลังจ้องมาที่ฉัน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

 

“อา…”

 

ฉันเข้าใจโดยทันทีว่าทำไมพวกเขาถึงจ้องฉันเขม็งแบบนั้น อย่างไรก็คงเป็นเหตุผลที่คล้ายคลึงกับเมื่อครู่ก่อน

 

‘คงคิดว่าเป็นเพราะฉันอยู่ล่ะสิ’

 

ฉันอุตส่าห์หวังว่าพวกเขาจะคิดว่าฉันกับราธบันสนิทกันขึ้นเมื่อเห็นเราสองคนอยู่ใกล้กัน แต่พอดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ กลายเป็นว่าการกระทำเหล่านั้นของฉันกลับยิ่งทำให้พวกเขาเฝ้าระวังกันกว่าเดิม

 

‘แต่ก็นะ ไม่ได้เป็นคนที่พบกันบ่อยๆ มันก็ช่วยไม่ได้’

 

ระหว่างนั้นเอง เหล่านักบวชหลายคนแอบพูดถึงฉันและกำลังกล่อมราธบัน

 

“พวกเรารู้ดีว่าท่านราธบันแบกรับหน้าที่มากมาย พวกเราจะช่วยท่านมากกว่านี้เอง”

 

“ใช่แล้วหน้าที่การอารักขาท่านให้อัศวินคนอื่นรับผิดชอบไปก่อน แล้วไปพักสักหน่อยก็น่าจะดี”

 

ทว่าราธบันกลับส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่นเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา

 

“ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลข้อนั้นขอรับ”

 

“ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไม…”

 

ราธบันตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ไม่นานมานี้ มีสิ่งดุร้ายบุกรุกเข้ามาในวิหารหลวง ทว่าข้ากลับสกัดมันไว้ไม่ได้ แม้จะน่าอายที่ข้าเพิ่งมาสารภาพความจริงเอาป่านนี้”

 

เสียงกัดฟันกรอดดังขึ้นในปากของราธบันราวกับว่าเขารู้สึกอับอายและโกรธจากใจจริง ท่าทางแบบนั้นของราธบันจึงทำให้เหล่านักบวชตระหนักได้ว่าเขามิได้เพียงแค่กำลังพูดเรื่องไร้สาระ

 

‘…หมายถึงแอสรันอย่างนั้นเหรอ’

 

ขณะที่ตระหนักได้ว่าสิ่งดุร้ายที่ราธบันพูดถึงคืออะไร ฉันก็จับหัวโดยไม่รู้ตัว

 

“ตะ แต่ในวิหารก็ไม่รู้สึกถึง…”

 

คำพูดของเหล่านักบวชถูกตัดบทในชั่วพริบตา คนในห้องประชุมเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าตามสัญชาตญาณ บนศีรษะทุกคนกำลังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ของพลังระดับน่าขนลุก มันมองไม่เห็น แต่สัมผัสได้

 

“น นี่มัน…!”

 

“พลังเวท!”

 

เหล่านักบวชที่ออกไปปราบปีศาจกับเหล่าอัศวินบ่อยๆ ตระหนักได้ถึงต้นกำเนิดของพลังอย่างรวดเร็ว เสียงฮือฮาดังจากทุกทิศทางทันทีที่ได้ยินคำว่าพลังเวท ราธบันและฉันเองก็เช่นกัน ใบหน้าของราธบันที่แหงนมองด้านบนมีความดุร้ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฉันไม่อาจกล่าวโทษเขาที่เป็นแบบนั้นได้

 

‘แอสรันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!’

 

มือของฉันที่บีบที่วางแขนเก้าอี้สั่นระรัว ขณะที่เขาปรากฏตัวครั้งแรก ฉันก็รู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวจากแอสรันโดยสัญชาตญาณ เพราะพลังเวทที่กระจายออกมาจากตัวเขาแม้อยู่เฉยๆ ไม่ใช่เหรอถึงได้ทำให้ฉันรับรู้ได้ตั้งแต่แรกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ ฉันตระหนักได้ว่าตอนนั้นที่คิดว่าได้เห็นพลังของแอสรันระดับหนึ่งมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

 

ชั่วขณะที่รู้สึกได้ถึงพลังเวทที่กำลังไหลทะลักอยู่บนฟ้า ฉันถึงสัมผัสได้ว่าเขาเป็นปีศาจที่น่าเกรงขามซึ่งยากจะเผชิญหน้าจริงๆ

 

เมื่อเวลาผ่านไป ระดับความรุนแรงของพลังที่ไหลทะลักก็ค่อยๆ ลดลง จากนั้นมันก็บางลงจนสัมผัสได้ยาก

 

“หรือว่า…เพราะนี่…?”

 

นักบวชที่ตั้งสติได้ก่อนในบรรดาคนที่ตัวแข็งทื่อเอ่ยถามราธบัน ราธบันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความหงุดหงิด

 

******

 

‘เกิดอะไรขึ้นกันนะ?’

 

ฉันนั่งอยู่ในห้องที่ติดกับห้องประชุมแล้วมองเพดานอย่างเหม่อลอย

 

“ท่านนักบุญหญิง?”

 

“คะ?”

 

เสียงเรียกของราธบันทำให้ฉันได้สติ เสียงเอะอะโวยวายด้านนอกที่ดังจนถึงเมื่อครู่ก่อนเงียบลงแล้ว เหล่านักบวชที่อยู่ในห้องประชุมออกจากห้องไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

 

‘อยู่ต่ออีกสักพักค่อยออกไป’

 

ไม่รู้ทำไมฉันถึงเกิดความรู้สึกว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะเมื่อยิ่งนึกถึงสายตาไม่ดีที่ยังคงมีให้ฉันที่ลากราธบันเข้ามาในห้องนี้ ฉันมองราธบันที่ยืนอยู่ด้านข้าง

 

แม้เป็นความบังเอิญ แต่การที่แอสรันใช้พลังเวทของเขาอย่างถูกจังหวะทำให้เหตุผลที่ราธบันร้องขอให้ปลดจากตำแหน่งกลายเป็นความจริงขึ้นมา ไม่มีใครบอกให้พิสูจน์เหตุผลของราธบันอีก

 

แม้ห้องประชุมจะกลับตาลปัตรในชั่วพริบตา แต่ราธบันก็ยังทำตัวไม่ต่างจากปกติราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันจับชายเสื้อของราธบันที่ยืนอยู่

 

“ลาออกไม่ได้นะ”

 

ก่อนอื่นฉันรู้สึกเสียใจ แม้ฉันจะร้องขอความช่วยเหลือจากเขาแต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเดิมพันตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินในการช่วยฉัน หากรู้ว่าเขามีความตั้งใจแบบนี้ ฉันคงไม่มีทาง ไม่มีทางขอให้เขาช่วยเด็ดขาด

 

ราธบันมองมือที่จับชายเสื้ออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว

 

“…ท่านเป็นกังวลหรือ?”

 

“แน่นอนสิ…”

 

“ขอบคุณขอรับ”

 

ราธบันค้อมศีรษะ ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

 

“…ข้าไม่เคยคิดที่จะลาออก”

 

ตอนนั้นเอง

 

“ออกไป”

 

“แอสรัน!”

 

เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉันหันกลับไปดูด้วยความตกใจ แอสรันกำลังนั่งหมิ่นอยู่บนหน้าต่างตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

 

“สั่นหางให้น้อยหน่อย แล้วไสหัวไป”

 

คำพูดของแอสรันเต็มไปด้วยเสี้ยนหนาม ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเหมือนอย่างปกติ ตอนนั้นเองฉันถึงได้พิจารณาสภาพของแอสรันละเอียดขึ้น แม้ไม่มีจุดที่แตกต่างเป็นพิเศษ แต่สีหน้าของเขากลับดูเหน็ดเหนื่อย

 

‘เป็นเพราะใช้พลังเวทเหรอ?’

 

พลังที่อยู่ในระดับน่ากลัว หลังจากใช้พลังเวทไปในระดับนั้นต่อให้บอกว่าเป็นแอสรันก็คงไม่มีทางจะยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

 

เขามองฉันก่อนจะลุกเข้ามาใกล้ตุบเขานั่งลงด้านข้างก่อนจะดึงเอวฉันเข้าไปกอดและฝังหน้าลงบนคอ การกระทำของแอสรันทำให้ราธบันคลำเอว แต่จับหาอะไรไม่ได้เพราะดาบของเขาถูกโยนทิ้งอยู่ในห้องประชุมแล้ว

 

“ไม่เป็นไรราธบัน ขอโทษนะ แต่ช่วยออกไปก่อนสักครู่ได้หรือไม่? อีกไม่นานก็จะออกไปแล้ว”

 

“แต่ว่า…”

 

“ข้าแค่อยากจะกล่าวคำขอบคุณอะไรกับแอสรันสักหน่อยเพราะได้เขาช่วยเอาไว้”

 

ลมหายใจที่แฝงรอยยิ้มของแอสรันรดอยู่บนต้นคอฉัน

 

“ด้วยร่างกาย?”

 

ฉันถอนหายใจและดันเขาออกเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่สิ พยายามจะดันออก แต่แอสรันไม่ยอมปล่อยมือที่โอบเอวฉันเลย

 

“ล้อเล่นน่า”

 

ตอนนี้ในน้ำเสียงของแอสรันที่พูดแบบนั้นแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ไม่อาจปิดมิด ฉันมองราธบันที่คล้ายว่าจะอยากเตะแอสรันเดี๋ยวนี้ แล้วกล่าว

 

“ข้าจะร้องทันทีถ้ามีอะไรเกิดขึ้น”

 

จากนั้นฉันก็บังสายตาของแอสรันด้วยร่างกาย แล้วพะงาบปาก

 

เรียน ดาบ สุดสัปดาห์ ตอนกลางคืน บ้าน เจ้า

 

โชคดีที่ดูเหมือนราธบันจะเข้าใจได้ในครั้งเดียวที่เห็นรูปปากของฉัน เขาที่มีสีหน้าสับสนเป็นอย่างมาก เพ่งมองแอสรันที่อยู่ข้างหลังฉันพลางกล่าว

 

“ข้าจะอยู่ด้านหน้าประตูนะขอรับ”

 

เขาออกไปจากห้องทันที แอสรันมองประตูที่ปิดลงแล้วหัวเราะเยาะ

 

“ประหลาดแฮะ ไม่นึกเลยว่าไอ้ลูกหมาจะออกไปง่ายๆ แบบนี้ รู้งานนะ”

 

“เลิกเรียกเขาว่าไอ้ลูกหมาได้แล้ว แล้วก็อีกอย่างเป็นเพราะว่าได้รับความช่วยเหลือจากท่านต่างหาก”

 

“ช่วยเหลือ?”

 

“แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่พลังเวทที่ท่านใช้ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ทำให้เหล่านักบวชไม่จำเป็นต้องซักไซ้ว่าเหตุผลการปลดออกจากตำแหน่งที่ราธบันเสนอมันเพียงพอหรือไม่อย่างไรล่ะ”

 

อีกทั้งเมื่อยืนยันได้ว่ามีคนที่ครอบครองพลังเวทเข้ามาในวิหารหลวงจริงๆ เขาจึงยังอยู่ข้างฉันได้แม้ในระหว่างที่รอพิจารณาการปลดออกจากตำแหน่งของเขา เนื่องจากมีความอันตรายระดับนี้อยู่ในวิหารหลวง ดังนั้นต่อให้มีใครพูดอะไร แต่ในวิหารหลวงไม่มีคนที่สามารถปกป้องฉันไปได้มากกว่าราธบันอีกแล้ว

 

ทั้งยังจะมีใครสามารถดูแลหน่วยอัศวินแทนเขาได้อีกเหรอ ในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากการคงสภาพตำแหน่งของราธบันไว้เช่นเดิม ก็ไม่มีคำตอบอื่นแล้ว

 

‘ราธบันเองก็รู้เรื่องนั้นเหมือนกันสินะ?’

 

ฉันย้อนนึกถึงภาพที่เขาบอกว่าไม่มีความคิดที่จะลาออก

 

“…ฮึง”

 

ตัวอันตรายของวิหารที่ทำให้เหล่านักบวชโกลาหลส่งเสียงเอื่อยเฉื่อยอยู่ในอ้อมอก ฉันลูบเส้นผมของเขาที่ดูเหนื่อยล้า เส้นผมเย็นสบายที่เต็มไปด้วยกลิ่นลมที่แทรกเข้ามาในซอกนิ้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจับลมอยู่จริงๆ ทำให้ฉันจับและลูบผมของเขาอย่างนุ่มนวลโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น เสียงถอนหายใจที่ราวกับอารมณ์ดีก็ดังออกมาจากปากของเขา

 

‘ใครไปเรียกใครว่าไอ้ลูกหมานะ’

 

พอเห็นแบบนี้แล้วในบรรดาผู้ชายสามคน แอสรันดูจะใกล้เคียงกับหมาที่เขาเอ่ยถึงมากที่สุด แต่อันที่จริงปีศาจก็ใกล้เคียงกับสัตว์มากที่สุดอยู่แล้ว

 

“ทำอะไรหรือ?”

 

“อะไร? พลังข้า?”

 

“ใช่แล้ว”

 

พลังเวทของเขาไม่ได้แผ่ขยายออกไปเฉยๆ เท่านั้น ขณะที่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่แม้จะเป็นระเบียบแต่ก็ซับซ้อน ทำให้ฉันตระหนักได้ว่ามันถูกใช้พร้อมกับเวทมนตร์บางประเภท

 

“เหวี่ยงแหไปน่ะสิ”

 

“…แห?”

 

“ใช่ แหที่จะตามหาพลังของเจ้าที่ถูกรอยดูดกลืนไป ข้าเหวี่ยงไปจนทั่วทวีป แต่มันต้องใช้เวลาสักหน่อยจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ พลังที่หายไปของเจ้า ข้าสัมผัสไม่ได้ในวิหารหลวง เห็นได้ชัดว่ามันถูกนำไปรวมไว้ที่อื่น”

 

หัวใจของฉันเต้นแรงเมื่อได้ยินดังนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกรวบรวม

 

‘…อีริส’

 

ในหนังสือเขียนไว้ว่ายิ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าลดลง พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีริสก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ฉันย้อนนึกถึงกลุ่มก้อนของพลังศักดิ์สิทธ์ที่ได้เห็นในความทรงจำของอีเบลลีน่า และคิดถึงภาพที่ขนาดของมันลดลงในชั่วพริบตา

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์ประมาณเท่านั้นย้ายไปหาอีริสหมดเลยอย่างนั้นหรือ’

 

ชั่วขณะ ซอกหนึ่งของหัวใจพลันเย็นเชียบ

 

‘ถ้าหากว่าเวทมนตร์ของแอสรันสมบูรณ์ล่ะก็…’

 

เขาจะต้องไปหาอีริสทันที จากนั้นก็เกิดความชอบพอในตัวนาง นี่เป็นเรื่องแน่นอน เพราะอีริสเป็นตัวเอกในโลกใบนี้

 

‘ไม่นะ’

 

เร็วเกินไป แม้สักวันเขาจะต้องไปหาอีริส แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ฉันยังจำเป็นต้องมีแอสรัน

 

บางทีความคิดคงออกมาเป็นการกระทำ ฉันถึงได้เผลอดึงแอสรันเขามากอดในอ้อมแขน ร่างกายของเขาผงะไปชั่วครู่ เขายิ้มและฝังหน้าลงมาบนหน้าอก มือของเขาปลดกระดุมชุดเครื่องแบบก่อนจะบีบขยำหน้าอกขาวอย่างนุ่มนวล

 

“…ข้าจะเรียกราธบันนะ”

 

“ตามใจเจ้า เจ้านั่นก็น่าจะร้อนใจเพราะอยากดูด้วยก็ได้”

 

ขณะพูดเช่นนั้น แอสรันผ่อนแรงจากมือที่จับหน้าอกอยู่เมื่อได้ยินคำว่าราธบัน แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยออกไปโดยสิ้นเชิง ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นการกระทำที่ราวกับไม่อยากออกห่างไปเลยสักนิดของเขา

 

“ชอบร่างกายของข้าขนาดนั้นเลยหรือ?”

 

แอสรันเก็บมือเมื่อได้ยินคำถาม

 

“จะไม่ชอบได้อย่างไร เจ้าเป็นตัวเมียของข้า แต่ว่า…”

 

เขากล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าตอนไหนๆ ที่เคยเห็นมาจนถึงตอนนี้

 

“นอกจากร่างของเจ้า เจ้าเคยให้อะไรอย่างอื่นกับข้าหรือไม่”

 

ฉันไม่เข้าใจคำพูดของแอสรันไปชั่วขณะ อะไรอย่างอื่น? ฉันเอ่ยถามออกไปอย่างฉับพลันทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นคำพูดที่ไม่เข้าท่า

 

“…หรือว่าต้องการวิญญาณอะไรแบบนั้นหรือ?”

 

แต่นั่นไม่ว่าสิ่งจำเป็นสำหรับพวกซาตานหรอกเหรอ สิ่งที่แอสรันต้องการมีเพียงลูกของเขาเท่านั้น เขาเป็นคนที่ไม่มีความสนใจในสิ่งอื่น แน่นอนว่าเขาคงไม่ต้องการอย่างอื่นอีกแล้ว เงินหรือชื่อเสียงจะมีประโยชน์อะไรแก่แอสรันกัน

 

คำถามของฉันทำให้แอสรันยักไหล่ขึ้นหนึ่งครั้งราวกับตนก็ไม่รู้เหมือนกัน จากนั้นก็ยกนิ้วมือขึ้นมากดลงไปบนหน้าอก หรือชัดเจนคือบนหัวใจ

 

“เห็นว่าของพวกมนุษย์อยู่ตรงนี้หรือเปล่า”

 

สิ่งที่จำเป็นสำหรับแอสรันไม่น่าใช่หัวใจนี่นา

 

ปลายนิ้วที่กดเบาๆ อยู่บนหน้าอกของฉันเลื่อนลงไปด้านล่างเล็กน้อยราวกับจบธุระแล้ว จากนั้นก็สะกิดปลายอกแข็งตรงเบาๆ คิดไว้แล้วเชียว ฉันจับนิ้วเขาออกเพราะคิดว่าควรหยุดก่อนที่จะวุ่นวายไปมากกว่านี้

 

ฉันคิดว่าเขาต้องปัดมือของฉันออกคล้ายว่าสั่งให้อยู่นิ่งๆ แน่น แต่คาดไม่ถึงว่าแอสรันกลับทำตามการกระทำของฉันอย่างมีมารยาท ฉันมองเขาอย่างเปิดเผยเพราะประหลาดใจกับแอสรันที่ว่านอนสอนง่ายแบบนี้เป็นครั้งแรก มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย

 

“เดี๋ยวนี้ไม่หลบแล้ว แถมยังไม่เขินอายด้วย”

 

หน้าฉันแดงแป๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

 

“ก็ท่านชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อย ก็เริ่มชิ…!”

 

ท้ายสุดของคำพูดถูกริมฝีปากของแอสรันที่เข้ามาโดยไม่รู้ตัวกลืนกิน แม้ฉันคิดที่จะร้องออกไป แต่ไม่นานก็ล้มเลิกมัน จูบของแอสรันที่ฉันจำได้จนถึงตอนนี้ล้วนเหมือนกันคือหยาบคายและรุนแรง

 

เหมือนกันสัมพันธ์ที่มีกับเขา ของขนาดใหญ่เข้ามาขุดหาและเสพสุขด้านในจนตั้งสติไม่ได้ จากนั้นก็แทงเข้ามาจนถึงจุดที่ลึกที่สุด นั่นคือจูบของเขาที่ฉันจดจำ แต่ทว่าตอนนี้ต่างออกไป

 

เรียวลิ้นของเขาสะกิดปลายลิ้นของฉันเบาๆ จากนั้นก็ควานด้านในอย่างเชื่องช้า ท่าทีที่ระมัดระวังที่เหมือนกับทำเป็นครั้งแรกของเขาทำให้ฉันเบิกตากว้างโดยไม่รู้ตัว ฉันคิดว่าเขาจะอยู่แบบนี้อีกสักพัก แต่เขากลับถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือแอสรัน

 

“พวกเจ้ามนุษย์อาจจะไม่รู้”

 

เขาใช้นิ้วก้อยไล้ริมฝีปากของฉัน

 

“นี่เป็นเรื่องที่ปีศาจทำเพื่อมนุษย์เป็นครั้งแรก”

 

หลังจากพูดแบบนั้น แอสรันก็กลัดกระดุมที่เขาแกะออกให้

 

“…แอสรัน?”

 

คนที่อยู่ตรงหน้าฉันคือแอสรันจริงเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมามีเสื้อกี่ตัวกันที่ฉีกขาดด้วยน้ำมือของเขา เขาทำเพียงถอดออกมาตลอด แต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องหลังจากนั้น ฉันมองดูเสื้อที่ถูกกลัดกระดุมอย่างสวยงามจนเรียบร้อยขึ้นราวกับไม่อยากจะเชื่อ

 

“…เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

 

แอสรันนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำถามของฉัน จากนั้นก็ลูบผมของฉันพลางกล่าว

 

“ยิ้มหน่อย”

 

“คะ?”

 

“บอกให้ลองยิ้มหน่อย เหมือนที่พวกมนุษย์คนอื่นทำ แล้วข้าจะปล่อยเจ้า”

 

นี่เป็นแผนอะไรอีก แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่ฉันก็ยังฝืนยกมุมปากขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าจะปล่อย

 

“แบบนี้หรือ?”

 

“…”

 

เขามองหน้าฉันแล้วถอนหายใจ ก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเอง

 

“ช่างเถอะ พอได้แล้ว ไม่อยากดู”

 

“…”

 

แอสรันจับมือฉันก่อนจะขยับตัวด้วยสีหน้าราวกับเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น อะไรกัน แล้วจะสั่งทำไม? เขามองไปยังประตูที่ราธบันยืนอยู่พลางกล่าว

 

“จะว่าไปแล้ว ไอ้ลูกหมาขนเหลืองไปไหนล่ะ?”