ตอนที่ 432 อาตมาไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต

พันธกานต์ปราณอัคคี

หลังจากนั้นเจ็ดวัน

 

 

“เจ้าดู นี่คือขอบเขตที่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ภายใต้การคุ้มครองของเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ ดูคร่าวๆ เป็นประมาณรูปจันทร์เสี้ยว ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ทั้งหมดสี่แห่งที่เป็นช่องว่างไม่มีปราณมังกร ที่แห่งนี้ ในหนึ่งวันเมื่อถึงยามเหม่า ยามอู่ และยามซวี สามชั่วยามนี้ถือเป็นช่วงเวลาโล่งที่ไม่มีปราณมังกร บริเวณกึ่งกลางจันทร์เสี้ยวทุกครึ่งชั่วยามจะถูกปราณมังกรปกคุลมทั่ว พวกเราใช้พื้นที่ทั้งสี่ให้เป็นประโยชน์ คิดจะรับมือกับคนพวกนั้นไม่ยาก” แสงวิญญาณตรงปลายนิ้วมั่วชิงเฉินกระพริบ วาดภาพขึ้นมากลางอากาศ

 

 

เจ็ดวันมานี้พวกเขาหลบหนีไปทั่วทุกที่อยู่ตลอดเวลา ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขอบเขตคร่าวๆ ที่สามารถไปถึงและบริเวณพักเท้าได้ในตอนนี้

 

 

นักบวชฟังแล้วตะลึงไป จากนั้นก็ชี้รูปวาดที่ยังไม่สลายหายไป “โยม เจ้าจะรับมือพวกเขาอย่างไร”

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “แน่นอนว่าต้องฆ่า ที่บอกว่าลงมือก่อนได้เปรียบ ลงมือที่หลังพบความอนาถอย่างไรเล่า”

 

 

นักบวชรีบส่ายหน้าเป็นพังวัน “อมิตตาพุทธ อาตมาไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต”

 

 

มั่วชิงเฉินโมโห “เจ้าไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต? ข้าต้องลำบากเพราะเจ้า หากถูกคนเหล่านั้นฆ่าตาย ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ฆ่าคนทางอ้อมอย่างนั้นหรือ”

 

 

‘ผู้ฝึกบำเพ็ญสายพุทธยาน หรือจะหัวรั้นเช่นนี้เหมือนกันหมด’

 

 

นางเองก็ไม่คิดจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่คนกลุ่มนั้นเห็นชัดว่าไม่คิดจะปล่อยนักบวชรวมไปถึงตัวเองให้รอดไปได้

 

 

เจ็ดวันที่วิ่งหนีไปมาทั่วพื้นที่บริเวณนี้ และเคยเข้าไปใกล้พื้นที่บริเวณก้นหุบเขาตอนที่เพิ่งเข้ามา นางเห็นกับตาว่าคนกลุ่มนั้นยังคงเฝ้ารออยู่บริเวณเดิม ท่าทีพร้อมจะลงฆ่าทันทียามที่พวกเขาออกไป

 

 

และยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวล หากว่าศิษย์พี่ลั่วหยางกลับมาแล้วพบกับคนกลุ่มนั้น พวกเขาไม่มีทางปล่อยศิษย์พี่ลั่วหยางไปเป็นแน่ แล้วศิษย์พี่ลั่วหยางตัวคนเดียวจะไปสู้กับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณห้าคนได้อย่างไร

 

 

นักบวชเห็นมั่วชิงเฉินตีหน้าเครียด แย้มยิ้มออกมา ฟันเขี้ยวปรากฏให้เห็นอีกครั้ง “โยม ผู้ที่บำเพ็ญสายเต๋าควรจะสงบใจเสงี่ยมกาย ละแค้นละเคือง…”

 

 

มั่วชิงเฉินขยับกำปั้น กำลังจะพุ่งเข้าไปที่ฟันเขี้ยวคู่นั้น คำพูดของนักบวชลอยมาให้ได้ยินอีกครั้ง “อาตมาไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต แต่สามารถช่วยเหลือโยมได้นะ”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเก็บหมัดลงไป พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เช่นนั้นก็ย่อมได้ ถึงเวลานั้นเจ้าต้องจำให้แม่นว่าต้องเพิ่มพูนพลังพุทธญาณให้เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ พยายามทำให้มันช่วยป้องกันปราณมังกรได้นานขึ้นอีกหน่อย ไปเถิด”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสืบฝีเท้าก้าวออกไปข้างนอก นักบวชท่องคำว่าอมิตตาพุทธด้วยสีหน้าโศกเศร้าอาดูรและเจ็บแค้นใจ รีบตามติดไปข้างหลัง

 

 

“พี่ใหญ่ เจ้าลาหัวล้านกับเจ้าเด็กนั่น เหตุใดถึงอยู่ข้างในนั้นได้นานถึงเพียงนี้” ชายสวมชุดสีเหลืองเข้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้หนึ่งถามขึ้น

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ถูกขนานนามว่าพี่ใหญ่ใบหน้าซีดขาว มองดูแล้วหล่อเหลาอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่แววตาเย็นชามากเกินไป เป็นการทำลายท่วงท่าอันสง่างามให้ลดลงไปโดยปริยาย ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะออกมา “เจ้าลาหัวล้านมีสมบัติล้ำค่านิกายพุทธยานมากมาย สามารถป้องกันปราณมังกรได้ก็ถือว่าไม่แปลก คาดว่าในนั้นคงจะมีบริเวณที่ปราณมังกรไปไม่ถึง เปิดโอกาสให้พวกเขาได้หายใจ”

 

 

“พี่ใหญ่ เช่นนั้นจะทำอย่างไร หรือพวกเราจะรออยู่ตรงนี้ตลอดไปเช่นนั้นหรือ” ชายหนวดครึ้มถามขึ้นมาอีก

 

 

ชายหนุ่มสีหน้าค่อนข้างเหลืองที่ยืนอยู่อีกข้างพูดขัดขึ้นมา “น้องสาม เจ้ายังคงอดกลั้นไม่ได้อยู่อีก พี่ใหญ่ได้ส่งสารไปให้น้องหกแล้ว สั่งให้เขาไปยืมสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งมาจากชีเหลียนเจินจวินซึ่งก็คือไม้เท้ากลืนมังกร เมื่อมีไม้เท้ากลืนมังกร แม้จะไม่อาจเข้าไปในพื้นที่หุบเขามังกรลึกได้ แต่เพราะอิทธิฤทธิ์ของมันพวกเราเข้าไปรอบนอกก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ถึงเวลานั้นเจ้าลาหัวล้านกับเจ้าเด็กนั่นต่อให้มีปีกบินก็หนีไม่พ้นเป็นแน่!”

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นเข้ามาร่วมวง “พี่รอง หากว่าชีเหลียนเจินจวินไม่ยอมให้ยืมเล่า”

 

 

ชายหนุ่มสีหน้าค่อนข้างเหลืองมองพี่ใหญ่ที่หนึ่ง แค่นยิ้มพูดว่า “จะไม่ให้ยืมได้อย่างไร พี่ใหญ่สัญญาไว้แล้ว รอพวกเราทั้งหลายใช้ผนึกสีหมื่นอัญมณีตอบแทนชีเหลียนเจินจวิน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วให้ยืมใช้ไม้เท้ากลืนมังกรชั่วคราวจะเป็นอะไรไป”

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นสีหน้าเสียดาย “สมบัติล้ำค่าเช่นผนึกสีหมื่นอัญมณีส่งไปให้คนเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายเสียจริง…”

 

 

ชายหนุ่มสีหน้าซีดขาวพูดขึ้นเรียบๆ “ละโมบไม่รู้จักพอ”

 

 

ชายหนุ่มผู้นี้ในบรรดาทั้งห้าคนดูมีอำนาจมากที่สุด เขาพูดเช่นนี้คนอื่นย่อมไม่พูดอะไรอีก

 

 

ชายหนุ่มพูดขึ้นอีกว่า “รอน้องหกเอาไม้เท้ากลืนมังกรกลับมา พวกเราค่อยเข้าไปรอบนอกของพื้นที่หุบเขามังกร พวกเจ้าต้องระวังเอาไว้ด้วย เจ้าลาหัวล้านต้องจับทั้งเป็น”

 

 

สี่คนที่เหลือพากันพยักหน้ารับทราบ

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นหัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์ “พี่ใหญ่ เจ้าเด็กบ้านั้นจะต้องจับทั้งเป็นด้วยหรือไม่”

 

 

ชายหนุ่มสีหน้าซีดขาวกวาดตามองเขาทีหนึ่ง

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นรีบพูดว่า “พี่ใหญ่ เจ้าเด็กนั่นช่างมีหน้าตาสวยงามนัก ไม่ใช่ว่าน้องสี่พูดโม้ ตอนนั้นเพียงแค่มองแวบเดียวข้าก็รู้ว่านางยังคงถือพรหมจารีอยู่…จิ๊จิ๊ จะฆ่าไปเลยเช่นนี้ก็น่าเสียดายนัก ท่านดูซิว่า เหล่าพี่ร้องหลายวันมานี้ไล่ฆ่าเจ้าลาหัวล้าน ช่างลำบากนัก…”

 

 

“น้องสี่!” ชายหนวดเคาดกครึ้มตะโกนขัดเสียงดัง เหมือนว่าเห็นผี

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นพูดอย่างไม่เข้าใจ “พี่สาม น้ำเสียงของท่านจะเข้มขนาดนี้ทำไมกัน ก่อนหน้านี้ท่านเองก็…”

 

 

เสียงของเขาพูดจนถึงสุดท้ายจู่ๆ ก็สูงแหลมขึ้น กลายเป็นเสียงหวีดร้อง

 

 

ลูกศรสีฟ้าอ่อนด้ามหนึ่งทิ่มจมหายเข้าไปกลางแผ่นหลัง ตั้งแต่เส้นผมของเขาเริ่มกลายเป็นสีฟ้าเกล็ดน้ำแข็ง จากนั้นเกล็ดน้ำแข็งก็เริ่มลุกลามลงไปข้างล่าง ไม่นานก็ปกคลุมร่างของเขาไปทั่ว

 

 

ชายหน้าขาวซีดเรียกกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมา “มีคนลอบทำร้าย!”

 

 

เสียงทะลุแหวกอากาศ ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้น เห็นว่าแสงกระบี่กว่าร้อยสายล่องลอยทั่วกลางอากาศ พุ่งลงมาปกคลุมทุกคน

 

 

แสงกระบี่ยังมาไม่ถึงแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวเย็นยะเยือก เห็นชัดว่าหากถูกยิงโดนต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่

 

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสี่คนต่างใช้วิธีการต่างๆ หลบหลีกแสงกระบี่

 

 

มั่วชิงเฉินที่หลบซ่อนอยู่ในไออากาศสีม่วงอมเขียวสีหน้าเย็นนิ่ง มือเรียวขาวดุจหยกง้างออก แสงกระบี่อีกร้อยกว่าสายถูกยิงออกไป

 

 

นี่คือเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นสี่ วิญญาณบุปผาจรัสแสง

 

 

เคล็ดกระบี่ขั้นนี้แม้จะมีพลังอำนาจไม่น้อย เหมาะแก่การโจมตีแบบกลุ่ม แต่สำหรับการลงมือต่อนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นเดียวกัน ต่อให้นางกำลังลอบโจมตีก็ยังยากที่จะฆ่าจัดการคนได้

 

 

และเป้าหมายของนางไม่ใช่การฆ่ากำจัดศัตรู แต่เป็นการสร้างความวุ่นวาย

 

 

ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งหมดห้าคน ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายสองคน ระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางสองคน ระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นหนึ่งคน

 

 

ศรน้ำแข็งเหมันต์ดอกแรกของนางพูดได้ว่ามีกำลังในการทำลายล้างสูงที่สุด ในสถานการณ์ลอบโจมตีนั้นคิดจะฆ่าปิดปากนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายอาจไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย ฉะนั้นนางถึงได้เลือกลงมือกับชายหนุ่มที่ปากไม่มีหูรูดผู้นั้น เขาซึ่งเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางพอดี

 

 

และเป้าหมายการสร้างความวุ่นวายตอนนี้ เป็นเพียงเพราะนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นคนเดียวเท่านั้น

 

 

ในสถาการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามมีการป้องกันตัว สิ่งที่ง่ายต่อการฆ่าปิดปากมากที่สุดคือผู้ที่ระดับบำเพ็ญเพียรต่ำที่สุด ขอเพียงแต่กำจัดเขาไปได้ฝ่ายตรงข้ามก็จะเหลือเพียงสามคน หลังจากนี้คิดจะรับมือก็ง่ายขึ้นเป็นกอง

 

 

แทบจะไม่มีความลังเลใดๆ มั่วชิงเฉินง้างมือดึงสายธนูติดต่อกัน แสงกระบี่หลายละรอกถูกยิงออกไปไหล พลังวิญญาณในไข่มุกรวมวิญญาณถูกใช้จนหมดโดยเร็ว

 

 

นางไม่สนใจ พลังวิญญาณในร่างกายตอนนี้ยังคงมีอยู่เต็มปริ่ม ในตอนนั้นง้างสายธนูอีกหลายครั้ง

 

 

“อยู่ตรงนั้น!”

 

 

ท่ามกลางทะเลลูกศรในที่สุดชายหนุ่มหน้าขาวซีดก็พุ่งเป้าหมายไปที่ซ่อนตัวของมั่วชิงเฉิน กระบี่ยาวในมือถูกเขวี้ยงออกไปกลายเป็นแสงสีรุ้งสายหนึ่งมุ่งไปยังพื้นที่หลบซ่อนของมั่วชิงเฉิน

 

 

ธงในมือชายหนุ่มหน้าเหลืองถูกโยนออกไป ปะทะรับแรงลมกลายเป็นธงผืนใหญ่บังอยู่ด้านหน้าชายหน้าขาวซีด กั้นแสงกระบี่เต็มท้องฟ้าเอาไว้ข้างนอก

 

 

ชายหนวดครึ้มขยับมือ ขวานเล่มใหญ่พุ่งขึ้นทะลุอากาศ เหมือนมีท่าทีจะเบิกฟ้าแยกผืนดิน ไล่ตามกระบี่ยาวพุ่งเข้าหามั่วชิงเฉิน

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นที่เหลืออยู่รู้ว่าความสามารถตัวเองต่ำต้อย ยืนอยู่ด้านหลังสุดของคนทั้งหมด มือทั้งสองข้างพลิกขยับยิงเคล็ดวิญญาณออกมาไม่หยุด ศพทองแดงสองตัวลากสีเท้าเสียงดังสนั่นมุ่งตรงไปยังบริเวณที่มั่วชิงเฉินหลบซ่อน ต่อให้แสงกระบี่กระทบลงบนร่างศพทองแดง พวกมันก็ไม่มีปฏิกิริยาใด

 

 

“โยม ถ้ายังไม่ไปจะไม่ทันแล้วนะ!” นักบวชยิงตราประทับมหายานเพิ่มพูนวิญญาณพุทธญาณให้กับเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอดเพื่อที่จะทำให้มันสามารถรับมือได้นานยิ่งขึ้น แล้วยังมีกำลังเหลือมาฟังเหตุการณ์รอบข้างมองดูสถาการณ์แปดทิศ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่สะทกสะท้าน ลูกศรสีฟ้าดอกหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นเป็นรูปร่าง ยอดของลูกศรมีเปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งลูกหนึ่งพลิ้วไหวไปมา ท่ามกลางไออากาศสีม่วงอมเขียวแลดูเย็นเยียบงดงาม

 

 

สงบจิตกำหนดลมหายใจ สงบอารมณ์ตั้งสมาธิ เปลวเพลิงสีฟ้าน้ำแข็งนี้ทำให้มือเรียวขาวดุจหยกของมั่วชิงเฉินสะท้อนแสงสีฟ้าออกมา จากนั้นก็หลุดพ้นออกจากมือเหมือนกับดาวตก พุ่งสูงสู่ขอบฟ้า

 

 

ท่ามกลางทะเลศรเกลื่อนอากาศศรน้ำแข็งเหมันต์ดอกนี้เหมือนกับภูติน้อยที่เป็นหนึ่งไม่ซ้ำสอง นำแสงจ้าที่มีเอกลักษณ์พุ่งทะลุทุกสิ่งอย่างไล่ตรงไปยังด้านหลังของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ จากนั้นก็หันเปลี่ยนทิศทางอย่างแปลกประหลาด เพ่งเป้าไปที่แผ่นหลังของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอย่างแม่นยำ

 

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่รู้ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นรับมือกับแสงศรไปมากมายเพียงใด รู้สึกว่าข้างหลังกายมีความผิดปกติสิ่งที่พุ่งเข้ามารับหน้าก็คือแสงศรอีกหลายสายที่พุ่งเข้าหา โล่ชิงเหยียนสมบัติวิเศษป้องกันในมือของเขาประกายแสงจ้าปัดป้องแสงกระบี่ข้างหน้าเอาไว้ สำหรับแสงกระบี่ข้างหลังกายเขากลับเร่งโล่ชิงเหยียน ใช้โล่ชิงเหยียนกลายเป็นเกาะป้องกันครอบพื้นที่ข้างหลังตนเองไว้

 

 

ศรน้ำแข็งเหมันต์พุ่งทะลวง แทบจะทำลายเกาะป้องกันอย่างไร้ซึ่งเสียง

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นรู้สึกแผ่นหลังเย็นยะเยือก แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด จู่ๆ เขาก็พบว่าโล่ชิงเหยียนด้านหน้ากลายเป็นแสงดำสนิทตกลงไป ในช่วงเวลาที่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดให้เข้าใจก็ชำเลืองเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของพี่สาม จากนั้นทั่วฟ้ามืดสนิท เขาเหลือเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือหนาวเหน็บ

 

 

คันธนูชิงอิ่นเป็นสมบัติวิเศษเจ้าชะตาของมั่วชิงเฉิน เสี้ยววินาทีที่ศรน้ำแข็งเหมันต์หายเข้าไปในร่างนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นนางก็รู้ว่าตนเองทำสำเร็จ มือข้างหนึ่งคว้านักบวชยกขึ้นมา อีกข้างหนึ่งสะบัดไหมเกล็ดน้ำแข็งโยนออกมา กลายเป็นเกล็ดปลาบังของวิเศษที่จู่โจมเอาไว้

 

 

ในขณะที่กระทบเข้ากับกระบี่ยาวและขวานยักษ์ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายร่างเดิมออกมา และในชั่วลมหายใจนั้นเองมั่วชิงเฉินก็จับนักบวชวิ่งออกไปไกลร้อยลี้

 

 

เลือดสดถูกกระอักออกมา ร่างมั่วชิงเฉินซวนเซ มืออีกข้างปล่อยนักบวชให้ตกลงบนพื้น

 

 

นางใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งฝืนสู้การโจมตีของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายและนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ

 

 

ยังดีที่การป้องกันครั้งนั้นเพียงเพราะจะได้หลบหนีออกมาอย่างราบลื่น ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นรูปลักษณ์เดิมอย่างรวดเร็วหายเข้าไปในร่างกาย อาการบาดเจ็บไม่ได้สาหัสนัก

 

 

นักบวชสีหน้าจนปัญญาปัดเศษฝุ่นตามร่างกาย “โยม อาตมาไม่ได้วิ่งช้าไปกว่าเจ้า อมิตตาพุทธ หลังจากนี้จะวิ่งอีกขออย่าให้ยกอาตมาอีกเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “ขอโทษ เผลอเคยชินไปแล้ว”

 

 

นักบวชเองก็มุมปากกระตุกเช่นเดียวกัน แต่ก็กลับมามีท่าทีสำรวมโดยเร็ว “ความเคยชินของโยมนี้จำต้องแก้”

 

 

พูดจบก็ยื่นมือออกมายกมั่วชิงเฉินวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ