บทที่ 49.1 จิตใจอันน่ากลัวของฮ่องเต้และการตายของชิ่งเฟย (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

หลี่รุ่ยเสียงเป็นคนที่ใครๆ ต่างรู้จักมักหน้าค่าตา

ถึงแม้หลัวเสียงจะตื่นเต้นมากถึงเพียงใด แต่ตอนนี้เขาถูกคนราดน้ำเย็นรดหัวจนทำให้เย็นแข็งยะเยือกไปทั่วกาย มือไม้แข็งทื่อจนลืมไปว่าทำอะไรอยู่

ชิ่งเฟยเองก็เพิ่งได้สติขึ้นมาจากความมึนงง นางกำลังจะแหกปากกรีดร้องออกมา ทว่านางได้สติกลับมาในวินาทีสุดท้าย ในขณะที่ยกมือผลักตัวหลัวเสียงที่อยู่บนร่างของตนออกไป เสียงร้องนั่นก็ติดค้างอยู่ในลำคอ

กลัวอย่างเดียวว่าจะเผลอหลุดบังคับเอาไว้ไม่ได้แล้วร้องออกมา

หลัวเสียงกลิ้งตัวลงมาจากร่างกายของนาง ตอนนั้นเองเขาถึงค่อยได้สติขึ้น เก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างรีบร้อน

“หัว…หัวหน้าหลี่…” ชิ่งเฟยพูดตะกุกตะกัก รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกายเอาไว้พลางพูดขึ้นเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว

สีหน้าของหลี่รุ่ยเสียงมืดมน

ทว่าสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากเดินเข้ามาในห้องคือเอื้อมมือไปด้านหลังลำตัวแล้วปิดประตูลงไป เพื่อบังสายตาของฉู่สวินหยางและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกเอาไว้

จากนั้นเบนสายตากลับมาภายในห้องอีกครั้ง เขาปรายตาไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เลยไปหยิบขึ้นมาดู

เวลานี้ชิ่งเฟยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางเพียงห่มร่างกายของตนเอาไว้แล้วกลิ้งลงมาจากเตียง พยายามจะไปกระตุกชายเสื้อของเขา

“หัวหน้าหลี่ ข้าถูกคนอื่นใส่ร้าย ข้า…” ชิ่งเฟยเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างร้อนรน

หลี่รุ่ยเสียงไม่ใช่ฮ่องเต้ เขามองนางด้วยสายตามืดมนทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “พระชายาต้องการพูดอะไร เก็บเอาไว้พูดต่อหน้าฮ่องเต้เถิดขอรับ!”

ชิ่งเฟยตกใจแทบจะพุ่งตัวเข้าไป จนลืมแม้กระทั่งปกปิดความอับอายบนร่างกายของตัวเอง

แต่หลี่รุ่ยเสียงไวกว่านางมากนัก ในระหว่างที่พูดอยู่เขาก็แง้มประตูออกเล็กน้อยแล้วเดินจากออกไป

แล้วเมื่อชิ่งเฟยพุ่งตัวออกไปตอนนั้น ก็ชนเข้ากับประตูที่ถูกปิดใส่พอดี ทำให้ด้านหลังบานประตูนั้นหลงเหลือเพียงแต่ความสิ้นหวัง

หลี่รุ่ยเสียงเดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าเย็นชา

หลานซีคุกเข่าตัวสั่นอยู่ในเรือน เมื่อเห็นหน้าเขาก็แทบจะสลบเหมือดไปคาที่

ชิงเถิงและสุ่ยอวี้ก็ตัวแข็งทื่อราวกับขอนไม้ ส่วนด้านข้างก็เป็นฉู่สวินหยางและฉู่เยว่ซิน

หลี่รุ่ยเสียงปรายตามองพวกนางสองคนหนึ่งครั้ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ท่านหญิงทั้งสองอย่าเข้าไปในห้องนั้นเลย ข้าน้อยขอตัวสักประเดี๋ยว ระหว่างนี้ท่านหญิงทั้งสองอย่าเพิ่งไปที่อื่น รอข้าสักครู่เดียวนะขอรับ!”

พอพูดจบก็ยกชายเสื้อผ้าขึ้นแล้วเดินออกจากประตูไปอย่างรีบร้อน พลางกำชับกับขันทีว่า “จับตามองอารักขาที่นี่เอาไว้ แล้วดูแลท่านหญิงทั้งสองให้ดีล่ะ!”

เรื่องน่าอับอายเยี่ยงนี้ช่างเป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยมีมาก่อนเลยทีเดียว

หากฮ่องเต้รู้เข้าต้องโมโหโกรธเกรี้ยวมากแน่นอน ไม่อาจรับประกันได้เลยว่าคนที่อยู่ในเรือน ณ ตอนนี้จะมีชีวิตรอดออกไปได้สักกี่คนเชียว

“ขอรับ หัวหน้า!” ขันทีผู้น้อยคนนั้นขานรับ ก้มตัวทำความเคารพแล้วยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือน

ภายในห้อง ชิ่งเฟยกลัวว่าเรื่องจะถูกเปิดเผยจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จึงไม่กล้าส่งเสียงร้องใดออกมา นางกับหลัวเสียงเลยยุ่งวุ่นอยู่กับการสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

ฉู่สวินหยางกับฉู่เยว่ซินยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ด้านนอกห้องนั้น

แสงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันช่างร้อนระอุยิ่งนัก แดดส่องลงมาบนตัวของพวกนางทั้งสองคน ฉู่เยว่ซินโดนแดดเผาเยี่ยงนี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่าเลือดข้างในตัวมันเย็นเฉียบเหลือเกิน

เมื่อหลี่รุ่ยเสียงออกไปแล้ว สุ่ยอวี้ก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ นางหันไปมองฉู่เยว่ซินด้วยใบหน้าน้ำตาคลอเบ้าพูดเสียงสั่นระริกขึ้นว่า “ท่านหญิง ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”

หากฮ่องเต้ทรงกริ้วโกรธขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงตัวนางเลย ขนาดฉู่เยว่ซินและฉู่สวินหยางจะโดนทำโทษอย่างไรบ้างจะมิอาจบอกได้

ฉู่เยว่ซินกำผ้าเช็ดหน้าในมือเอาไว้แน่น ใบหน้าขาวซีดจนไม่เห็นแม้กระทั่งเส้นเลือด ถึงแม้คนอื่นจะมองไม่เห็นเบาะแสอะไรก็เถอะ แต่มีแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ดี ทำให้ตอนนี้นางเองก็เข่าอ่อนจนแทบยืนไม่ไหวเหมือนกัน

ฉู่สวินหยางมองตรงไปข้างหน้า ยิ้มบางแล้วพูดว่า “ชิงเถิง เจ้าพาสุ่ยอวี้ไปดื่มน้ำที่ห้องด้านข้างให้สงบสติอารมณ์สักหน่อยเถอะ!”

ถึงแม้ในใจของชิงเถิงจะรู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นว่าฉู่สวินหยางมั่นใจสงบนิ่งไม่สนใจแบบนี้ นางเองก็รู้สึกมั่นใจขึ้นเช่นกัน จึงลุกขึ้นยืนพยุงสุ่ยอวี้ที่ยืนตัวตรงไม่ได้ไปยังห้องพักที่เยื้องอยู่ด้านข้าง

ภายในเรือนตอนนั้นเลยเหลือฉู่สวินหยางกับฉู่เยว่ซินแค่สองคน

ฉู่สวินหยางเองก็เอ่ยปากพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม

“เดี๋ยวอีกสักพักฝ่าบาทจะมาแล้ว รู้ใช่ไหมว่าต้องพูดว่าอย่างไร?”

ฉู่เยว่ซินที่กำลังสติสะตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นดังนั้นตัวก็สั่น หับขวับไปมองนางอย่างทันที

แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสับสนมึนงง กลืนน้ำลายลงไปหลายอึกกว่าจะฝืนเค้นเสียงพูดออกมาได้ว่า “เจ้าต้องการทำอะไร?”

“พี่ก็รู้นี่ว่าข้าต้องการทำอะไรน่ะ!” ฉู่สวินหยางกล่าว ในที่สุดก็เบนสายตากลับมา

มุมปากของนางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลเสียให้กับตัวเองเลย “พี่รองเป็นคนฉลาดที่ยากจะได้พบ แม้ข้าจะไม่สอนท่านว่าสถานการณ์แบบนี้ควรเอาตัวรอดอย่างไร ท่านพี่เองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

ฉู่เยว่ซินตกใจชะงัก หันมองตาอีกฝ่ายแล้วเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิมอีกขั้น…

ทุกคนต่างคิดว่านางเป็นคนอ่อนแอไม่ได้เรื่อง มีเพียงแค่ฉู่สวินหยางเท่านั้นที่บอกว่านางเป็นคนฉลาด

แต่ในเวลานี้นางไม่รู้สึกถึงความดีใจที่ถูกคนอื่นชมเชย ทว่ากลับยิ่งรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาเสียมากกว่า

ฉู่สวินหยางมองนางรอให้อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ

ฉู่เยว่ซินได้เสียงดังสวบสาบดังขึ้นมาจากในห้อง ในใจยิ่งอดไม่ได้อยากจะร้องไห้ออกมา แต่กลับพูดขู่ขึ้นมาเบาๆ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง? นางเป็นพระชายาของเสด็จปู่เชียวนะ เจ้า…”

คิดจะกล่าวหาว่าภรรยาของฮ่องเต้เล่นชู้ เรื่องแบบนี้มันช่างเหลือเชื่อไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ฉู่สวินหยางกลับกล้าคิดแบบนี้ออกมาได้?

“นางเป็นใคร แล้วมันเกี่ยวกับข้าตรงไหนล่ะ?” ฉู่สวินหยางหัวเราะขึ้นอย่างไม่สนใจไยดี จากนั้นเดินไปด้านข้างสองก้าวแล้วพูดอย่างเอ้อระเหยลอยใจว่า “หากท่านพี่ปล่อยพันธมิตรคนนี้ไปไม่ลง เดี๋ยวท่านก็เล่นใหญ่ปกป้องนางสักหน่อยสิ เข้าข้างนางไปเลย ข้ารับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งแน่นอน!”

ชิ่งเฟยทำเรื่องเช่นนี้ลงไป ไม่ว่าจะตัดสินใจทำด้วยตัวเองหรือถูกคนอื่นใส่ร้าย ถึงตอนนี้อย่างไรก็เหลือแค่ความตายอย่างเดียวเท่านั้น

ฉู่เยว่ซินจะไปมีความหวังกับเรื่องนี้ต่อไปได้เยี่ยงไร? หากบอกว่าชิ่งเฟยเป็นคนมาขอให้นางช่วย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองเดิมทีมันก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่าเป็นพันธมิตรกันได้ด้วยซ้ำ

ฉู่เยว่ซินกัดริมฝีปากแน่นเถียงอีกฝ่ายไม่ออก

ฉู่สวินหยางเองก็ไม่พูดอะไรให้มากความ นางเพียงยืนนิ่งรออยู่ข้างๆ

จากนั้นสองพี่น้องคู่นี้ก็ไม่มีใครส่งเสียงพูดอะไรขึ้นมาอีก

——————————————————–