บทที่ 1119+1120 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 1119 เจ้ามานี่ซิ
เธอเป็นถึงนักฆ่า เชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าและคำพูดเป็นที่สุด สายตาก็โหดเหี้ยมยิ่งนัก หลังจากเธอกวาดสายตาดูอย่างละเอียด หัวใจยังคงเต้นระรัว!
เธอเห็นคนของโม่เจ้าแล้ว!
โดยปกติลูกน้องพวกนั้นของโม่เจ้าจะไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน พวกเขาไม่ได้แปลงโฉมแม้แต่น้อย เพียงแต่เปลี่ยนอาภรณ์เป็นแบบธรรมดาของชาวบ้านเท่านั้น
มีการแต่งตัวหลากหลายรูปแบบ พ่อค้าขายของหาบเร่ นักเลงหัวไม้เดินเตร็ดเตร่ ชายฉกรรจ์บนถนนที่กำลังสนทนาพาที…
พวกเขาเหมือนกำลังทำธุระของตัวเอง แต่สายตาคอยจดจ้องไปทางภัตตาคารที่ตี้ฝูอีอยู่เนืองๆ พวกเขาทำเหมือนไม่จงใจ กลับปิดกั้นเส้นทางหลบหนีรอบด้านของภัตตาคารไว้หมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าจงใจปิดล้อม
กู้ซีจิ่วสอดส่องสายตามองดูรอบๆ ‘ตอนนี้โม่เจ้านั่นไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่? แล้วจะปรากฏตัวออกมาในรูปแบบไหน?’
กู้ซีจิ่วเป็นกังวลจนวุ่นวายใจ ถึงแม้รู้อยู่แล้วว่าด้วยความฉลาดของตี้ฝูอี อย่างไรก็ต้องวางกับดักไว้ในละแวกนี้บ้าง แต่เธอมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นคนของเขา จึงยังไม่ค่อยวางใจ
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนวันก่อนวันพายุมรสุมโหมกระหน่ำ ดูเหมือนคลื่นลมสงบ แต่ความจริงเต็มไปด้วยจิตสังหาร พร้อมที่จะถาโถมเข้าใส่ตลอดเวลา!
“เห็นอะไรบ้างไหม?” หลงฟั่นพลันโผล่มาด้านหลังเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
กู้ซีจิ่วไม่หันหน้าไปมอง ขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เสียงของเธอเบาเกินไป หลงฟั่นไม่ได้ยิน “เธอพูดอะไร?”
“หลงฟั่น วันนี้คุณพาฉันมาดูละครอะไรกันแน่? ทำไมถึงยังไม่เริ่มอีก?” คำพูดนี้ของกู้ซีจิ่วแทบจะตะโกนก็ว่าได้
แน่นอน เสียงเธอยังไม่มีทางดังได้ แต่อย่างน้อยคนในห้องนี้ต่างก็ได้ยินกันหมด
ความจริงแล้วใจเธอยังมีความหวังเล็กน้อย หวังให้ตี้ฝูอีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหูดีได้ยินคำพูดของเธอสักหน่อย…
หากแต่เธอทำได้เพียงตะโกนประโยคนี้ เนื่องจากฝ่ามือของหลงฟั่นวางอยู่ตรงตำแหน่งด้านหลังหัวใจเธอ “ถ้าตะโกนอีก ฉันจะฆ่าเธอซะ!”
“ชิ ก็คุณฟังไม่ได้ยินก่อนไม่ใช่หรือไง” กู้ซีจิ่วเหยียดหยาม
ในขณะที่สองคนกำลังวุ่นกันอยู่นั้น ประตูของห้องอันโอ่อ่าก็ถูกเคาะเบาๆ สองที เมื่อหลงฟั่นขานรับ เสมียนร้านพาหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเยื้องย่างเข้ามา ยิ้มประจบสอพลอก่อนเอ่ยถาม “นายท่าน ต้องการฟังผีผาเพื่อความเพลิดเพลินหรือไม่ขอรับ? แม่นางผู้นี้เป็นนักเล่นผีผาที่มีชื่อเสียงมากของที่นี่ เล่นผีผาได้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด…”
การบริการของนักดนตรีหญิงในภัตตาคารแบบนี้เป็นเรื่องที่เห็นจนชินตา แต่หลงฟั่นก็ไม่ไว้วางใจ
เขาไม่อยากให้มีใครมารบกวน ขณะกำลังจะบอกปัด กู้ซีจิ่วก็เอ่ยปากเสียแล้ว “หลานรัก ปู่ไม่ได้ดูละคร ได้ฟังบทเพลงบรรเลงผีผาก็ยังดี”
แม้ว่าเสียงของเธอไม่ดัง ดีร้ายเสมียนร้านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็ยังพอได้ยิน พลันเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ท่านผู้อาวุโสใคร่ฟัง ผีผาที่แม่นางผู้นี้เล่นยอดเยี่ยมจริงๆ ขอรับ”
ในเมื่อท่านปู่พูดเช่นนี้ หลงฟั่นหลานรักย่อมไม่อาจขัดข้อง เขาใจเต้นวูบหนึ่ง มองดูแม่นางคนนั้น
การแต่งกายของนางสะอาดหมดจด ผมสีหมึกยาวระเอว รูปโฉมประณีตงดงาม ผิวพรรณซีดขาวไปบ้าง บุคลิกค่อนข้างเย็นชา นางกอดผีผาตัวหนึ่งไว้ในอ้อมอก ยืนก้มหน้าเล็กน้อย งดงามเยือกเย็นดังบุปผางามสะท้อนในสายธาร กิริยาดังต้นหลิวลู่ลม
หลงฟั่นเอ่ย “เจ้ามานี่ซิ ให้ข้าดูผีผาของเจ้าสักหน่อย”
สตรีผู้นั้นก้าวเดินไปข้างหน้าตามคาด แต่ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรเข้าจึงเดินโซเซ โผไปทางหลงฟั่น!
หลงฟั่นยื่นมือไปประคองนาง “เหตุใดจึงเลินเล่อเช่นนี้?” เขาให้นางยืนอย่างมั่นคง พร้อมถือโอกาสรับผีผามา
กู้ซีจิ่วยิ้มเยาะในใจ เมื่อกี้สตรีผู้นั้นไม่ใช่เลินเล่อสะดุดล้มลงไปหรอก ทว่าเป็นแผนการของหลงฟั่น คาดว่าเจ้านั่นคิดจะทดสอบวรยุทธ์ของนางสักหน่อย ช่างระวังตัวเสียจริง!
—————————————————–
บทที่ 1120 ใครมุ่งร้ายใคร
ผีผาของสตรีผู้นั้นเป็นเพียงผีผาธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่มีพวกกลไกอะไรเลย
อีกทั้งการประคองของหลงฟั่นเมื่อสักครู่นี้ ก็เป็นการวัดว่านางมีพลังวิญญาณขั้นที่สองโดยประมาณ อย่างมากสุดก็พอเป็นหมัดเท้าปักบุปผา เอาไว้จัดการนักเลงได้ ไม่มากพอให้กังวลใจ
ดังนั้นเขาจึงวางใจให้แม่นางผู้นั้นอยู่ต่อ
ความจริงแล้วเขาก็ชอบบุคคลที่เป็นศิลปิน ในยุคปัจจุบันเขามักฟังเพลงบรรเลงเปียโนพวกนี้อยู่เป็นประจำ แต่ในยุคนี้เขาหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยตลอดเวลา อีกทั้งวรยุทธ์ของลูกน้องข้างกายก็ฝึกได้ไม่เลว พวกที่ร้องรำทำเพลงได้แทบไม่มี เขาไม่ได้ฟังเพลงมานานมากแล้ว คิดถึงยิ่งนัก จึงถามแม่นางคนนั้น “เล่นเพลงอะไรได้บ้าง?”
สตรีผู้นั้นน้อมกายเอ่ยขึ้นหลายบทเพลง ต่างเป็นเพลงที่ค่อนข้างโด่งดังในยุคนี้
หลงฟั่นเลือกมาหนึ่งบทเพลง
สตรีผู้นั้นย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นบรรเลงขึ้นอย่างช้าๆ
นางเล่นไปเพียงไม่กี่ทำนอง กู้ซีจิ่วก็รู้เลยว่านี่คือบุคคลระดับปรมาจารย์จริงๆ!
ตัวโน้ตไหลผ่านปลายนิ้วของนาง ทั้งๆ ที่เป็นบทเพลงธรรมดา แต่นางกลับเล่นออกมาได้ดั่งสายน้ำเอื่อยไหลผ่านในจิตใจ ความรู้สึกนั้นราวกับฟ้าอันร้อนรุ่มเคลื่อนที่เข้าหาป่าเขาที่มีสายลมโชย ความเหนื่อยล้าทั้งร่างพลันจางหายไปกับบทเพลงที่แสนวิเศษนี้
เสียงของผีผานี้ไม่ด้อยกว่าบทเพลงชื่อดังเหล่านั้นที่กู้ซีจิ่วฟังในยุคปัจจุบันเลย ถึงขั้นเลิศล้ำกว่าด้วยซ้ำ
อธิบายได้เพียงหนึ่งประโยคว่า ‘บทเพลงบนสรวงสวรรค์ โลกมนุษย์ไหนเลยจะมีโอกาสได้ยิน’
เดิมทีหลงฟั่นฟังไปอย่างเสียไม่ได้ คิดเสียว่าฟังคลายความเบื่อหน่าย แต่เมื่อฟังไปครึ่งบทเพลง เขาก็ฟังจนเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน
เขาไม่ได้ลิ้มรสชิมชาติเนื้อมาสามเดือนแล้ว ตอนนี้กลับฟังอย่างพึงพอใจยิ่งนัก แม้แต่ลูกน้องสองคนข้างหลังยังฟังกันอย่างเคลิบเคลิ้ม แม้แต่กระแอมสักครั้งยังไม่กล้า เกรงว่าจะขัดเสียงสวรรค์นี้
กู้ซีจิ่วก็กำลังฟัง สายตาจดจ้องไปยังปลายนิ้วที่ดีดผีผาของสตรีผู้นั้น รูปโฉมและนิ้วมือของนางช่างละเมียดละไม ค่อนข้างใหญ่และยาว เมื่อนางยกมือขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือขาวดุจหิมะ กำไลเงินที่ข้อมือสองวงส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง ผสานกับเสียงผีผา กลับมีเสน่ห์ที่ต่างออกไป
หญิงที่มีฝ่ามือใหญ่มีอยู่ทุกหนแห่ง ไม่น่าประหลาดใจอะไร ยิ่งไปกว่านั้นมือของนางช่างงดงาม และก็ไม่ได้เทอะทะด้วย
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่ามือของนางค่อนข้างคุ้นตา แต่นึกไม่ออกในทันทีว่าเคยเห็นที่ใด
ผู้หญิงมือใหญ่ที่เธอรู้จักมีไม่กี่คน แต่ต่างเทียบไม่ได้กับมือนี้
หลงฟั่นก็ช่างละเอียดรอบคอบนัก เขายังกลัวว่านางจะเป็นสายของฝ่ายตรงข้าม คอยเตรียมป้องกันการลงมือของศัตรู จึงจ้องมองอย่างเงียบๆ โดยตลอด
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาวางใจขึ้นมากแล้ว สตรีผู้นั้นดีดสายตามแบบแผน ไม่มีท่าทางที่มากเกินไป
ฟังจบไปแล้วสองเพลง นางก็ยังไม่มีท่าทีตุกติกอะไรเลย
เมื่อจบเพลง เสียงบรรเลงยังคงดังก้อง
หลงฟั่นยังอารมณ์ค้างอยากเพลิดเพลินต่อ จึงตบรางวัลให้นางเป็นทองก้อนโต เพื่อให้นางเล่นต่ออีกเพลง
เขาช่างใจกว้างนัก ทองคำที่ตบรางวัลให้ไปมีมูลค่าสิบตำลึง นักดนตรีหญิงธรรมดาสิบปียังหาไม่ได้มากมายเท่านี้เลย!
ดวงตาสตรีผู้นั้นวาบไหว แต่ไม่ได้รับทองนั้นมา กลับเม้มริมฝีปาก รีบคุกเข่าไปทางกู้ซีจิ่ว “ขอบคุณผู้อาวุโสกับคุณชายที่ตบรางวัล เทียนเกอซาบซึ้งยิ่งนัก เทียนเกอขอบังอาจ ผู้อาวุโสและคุณชายโปรดช่วยชีวิตข้าด้วย”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน หลงฟั่นขมวดคิ้ว “เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?”
สตรีผู้นั้นหลุบสายตาลง “ตระกูลชั้นสูงในเมืองนี้หมายปองเทียนเกอ ต้องการบังคับให้เทียนเกอแต่งเป็นอนุ เทียนเกอไม่ประสงค์จะแต่งงาน แต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้ เช่นนี้ยอมตายเสียยังดีกว่า”
————————————————