“เมื่อวานท่านอ๋องเสวยอะไร?” ฮุ่ยซือถาม
บัดนี้ขันทีกัดฟันกรอด เกลียดชังคนที่ฆ่าเว่ยอ๋องเข้าไส้ ตอบคำถามน้อยใหญ่โดยไร้ข้อขัดข้องใดๆ ตัดสินใจว่าถึงตายก็จะลากคนที่อยู่เบื้องหลังลงสุสานให้ได้ “เมื่อวานช่วงค่ำบรรดาองค์ชายมาขอเข้าเฝ้า ท่านอ๋องไม่สดชื่นจึงพบเพียงองค์รัชทายาทและองค์ชายซื่อ นั่งอยู่ประมาณครึ่งถ้วยชาท่านอ๋องก็สั่งให้องค์รัชทายาทจากไป จากนั้นก็ปล่อยให้องค์ชายซื่อป้อนยาด้วยตัวเอง”
องค์ชายซื่อกำหมัดแน่น สีหน้ามืดมน
“หลังจากท่านอ๋องเสวยยาแล้วก็หลับไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อตื่นขึ้นเขาเรียกหลางจงฝ่ายซ้ายเพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่องค์รัชทายาทกำลังจัดการ คุยกันสองเค่อกว่าๆ บ่าวก็ปรนนิบัติให้ท่านอ๋องดื่มน้ำไปสองคำ ท่านอ๋องก็หลับไปอีกครั้งจนถึงท้ายยามซวี แล้วก็เสวยโจ๊กครึ่งชาม”
ขันทีหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความเคียดแค้น “อาหารของท่านอ๋อง บ่าวทดสอบยาพิษก่อนเสมอ บ่าวก็ทดสอบโจ๊กชามนั้นเช่นกัน หลังจากเสวยแล้ว ท่านอ๋องนอนไม่ค่อยหลับจึงสั่งให้บ่าวจุดธูปผ่อนคลาย ท่านกางแผนที่ลงบนโต๊ะแล้วอ่านมันนานกว่าครึ่งชั่วยาม ก่อนจะเข้านอน ท่านอ๋องบ่นว่าปวดศีรษะเล็กน้อย บ่าวจึงรีบสั่งให้คนไปเชิญหมอหลวงหวังป๋อที่เข้าเวรกลางคืนเข้ามา เขากล่าวว่าท่านอ๋องไม่มีอะไรร้ายแรง สาเหตุมาจากการทำงานหนักเกินไป สั่งให้ตัดยาครึ่งหนึ่งของปริมาณยาตามปกติ หลังจากท่านอ๋องดื่มเข้าไปก็พักผ่อน บ่าวเองก็เผลอหลับไปในเวลานั้น!”
อาจจะเป็นเพราะเสียงที่นุ่มนวลและลมหายใจแผ่วเบา แม้ว่าขันทีจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็ไม่ละทิ้งความอ่อนโยน ทำให้เมื่อฟังแล้วรู้สึกน่าอึดอัดมาก
ฮุ่ยซือนวดคลึงหน้าผาก หันหน้ามากล่าวกับองค์รัชทายาท “เรื่องนี้ยกให้กระหม่อมตรวจสอบอย่างละเอียดเถิด องค์รัชทายาทกับองค์ชายซื่ออยู่กับท่านอ๋อง กระหม่อมจะรีบไปรายงานซานกง[1]และผู้อาวุโสของราชวงศ์ เชิญพวกเขาเข้าไปในพระราชวังเพื่อเป็นประธานในพิธีศพ”
องค์รัชทายาทกับองค์ชายซื่อประสานมือเอ่ย “ลำบากท่านมหาเสนาบดีแล้ว”
ฮุ่ยซือคำนับกลับแล้วหมุนตัวจากไป สั่งให้คนไปเรียกหวังป๋อเข้ามา
ปากบอกว่าให้พวกเขาอยู่กับเว่ยอ๋อง แท้จริงแล้วฮุ่ยซือกำลังตักเตือนพวกเขาอย่างละมุนละม่อมว่าห้ามออกจากห้องบรรทมก่อนที่ซานกงและผู้อาวุโสของราชวงศ์จะมาถึง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการปลอมแปลง
องค์ชายซื่อจ้ององค์รัชทายาทอย่างล้ำลึก ครั้งนี้องค์รัชทายาทจ้องกลับโดยไม่ถอยหนี ทั้งคู่ต่างคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ลงมือ ความเกลียดชังในดวงตาของกันและกันก็ไม่สามารถซ่อนได้
สงครามเบื้องหน้ามีกงซุนเหยี่ยนและจิ้นปี่ดูแล ที่จริงแล้วองค์รัชทายายาทจะใส่ใจหรือไม่นั้นไม่แตกต่าง เขาต้องอยู่ที่นี่ถึงหนึ่งหรือสองชั่วยามก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ล่าช้ามากนัก
“เหตุใดองค์รัชทายาทต้องดึงมหาเสนาบดีออกไปด้วย” สีหน้าองค์ชายซื่อเยือกเย็น
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว “ท่านแม่ทัพคนเดียวไม่อาจยับยั้งกองทัพฉินได้ มหาเสนาบดีเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางทหารที่หาได้ยาก หากไม่ใช้เขา เจ้าจะให้ต้าเว่ยนั่งรอความตายรึ!? อีกอย่าง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาถามข้า!”
“หึ!” หลังจากที่องค์ชายซื่อเกือบจะบดฟันกรามของเขาก็ยังอดกลั้นความโกรธเอาไว้ได้ “เสด็จพ่อจากไปกะทันหัน คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือเจ้า ข้าจะไม่สงสัยได้อย่างไร?”
เมื่อกระต่ายร้อนใจก็ยังกัดคนได้! แม้ว่าองค์รัชทายาทอ่อนโยนเสมอมา ครั้งนี้ยังไม่ทันจะหลุดพ้นความเสียใจที่สูญเสียบิดากะทันหันก็ถูกแว้งกัดเสียก่อน จะไม่ให้เกรี้ยวกราดได้อย่างไร?
ทว่าเขายังไม่ทันจะตอบสนองก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจนดังขึ้น “องค์รัชทายาทได้รับประโยชน์ที่ไม่สมควรได้รับหรืออย่างไร? องค์ชายทำร้ายความสงบด้วยคำพูดเช่นนี้ จิตวิญญาณของท่านอ๋องยังอยู่ไม่ไกลดังนั้นโปรดระวังวาจาด้วย”
ประโยคนี้ทำให้องค์ชายซื่อพูดไม่ออก
หลางจงซ้ายขวาในฐานะขุนนางคนสนิทของท่านอ๋อง มีสิทธิ์ที่จะเตือนสติตามความเหมาะสม นอกเหนือจากท่านอ๋องแล้ว พวกเขายังรังเกียจที่จะให้คำแนะนำผู้อื่น การพูดกับองค์ชายเช่นนี้นับว่าไว้หน้าเขาแล้ว
องค์ชายซื่อทำได้เพียงจ้องหมิ่นฉือเขม็ง หายใจหอบและไม่ได้พูดอะไรอีก
***
ยี่สิบลี้ทางทิศบูรพาของด่านหานกู่เข่นฆ่าติดต่อกันหลายวัน กองทัพสองฝั่งทำสงครามมาห้าสิบสามวันแล้ว กองทัพฉินมีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ในที่สุดกองทัพเว่ยก็สามารถฟื้นคืนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ท่ามกลางความพ่ายแพ้จากการเข้าร่วมของกงซุนเหยี่ยนและกำลังเสริม
กงซุนเหยี่ยนเคยนำกองทัพฉินฆ่าทหารม้าหนึ่งแสนนายในกองทัพเว่ย อย่างไรก็ตามในเวลานี้ทั้งกองทัพเว่ยไม่เพียงแต่ไม่เกลียดชังเขาทั้งยังรู้สึกว่าเขานำพามาซึ่งความหวัง กงซุนเหยี่ยนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สามารถยึดดินแดนเจ็ดถึงแปดลี้ใกล้อันอี้นครหลวงเก่าด้วยความเร็วปานสายฟ้า จากนั้นก็ตั้งค่ายเพื่อป้องกันและปรับแก้กองทัพส่วนที่เหลือทันที
กองทัพฉินถูกกงซุนเหยี่ยนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวและใช้ประโยชน์จากช่องว่างในการหายใจนี้ศึกษามาตรการรับมืออย่างรอบคอบ
ความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่แตกต่างกันมากนัก ระดับและประสบการณ์ของท่านแม่ทัพก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน เมื่อหยุดสู้รบทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู่ทางตัน
แปดร้อยลี้ในพื้นที่ห่างไกลของฉินชวน อากาศแจ่มใสมาสองวันแล้ว แต่หิมะยังไม่ละลาย มีเพียงสีขาวกว้างไกลปรากฏสู่สายตา
ถนนในเมืองเสียนหยางถูกกวาดจนสะอาดสะอ้าน เผยให้เห็นพื้นหินชนวนสีเทาเข้ม เพราะความตึงเครียดระหว่างฉินและเว่ย ทุกชมรมป๋ออี้จึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนและล้วนถกเถียงกันเรื่องนี้
ขุนนางคนสำคัญรวมตัวกันในจวนของมหาเสนาบดี เมื่อเทียบกับความเร่าร้อนในชมรมป๋ออี้แล้ว ที่นี่ดีกว่าหน่อยหนึ่ง
กลยุทธ์ลับเหล่านี้ไม่เหมาะที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาในพระราชำนัก ดังนั้นจึงรวมตัวขุนนางคนสำคัญเพื่อหารือกันก่อน หลังจากกำหนดผลลัพธ์คร่าวๆ แล้วค่อยให้มหาเสนาบดีหารือกับกษัตริย์อีกครั้ง
“ในที่สุดตาเว่ยอ๋องเฒ่านั่นก็สิ้นแล้ว ช่างเป็นความโล่งใจจริงๆ!” อิ๋งจื๋อกล่าว
แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้แต่กลับมิได้แสดงท่าทียินดีออกมา ท้ายที่สุดผู้เสียชีวิตเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ควรได้รับความเคารพในระดับหนึ่ง
“ทันทีที่เว่ยอ๋องสิ้น เกรงว่าแผนการของกั๋วเว่ยหลายปีนี้ก็ต้องสลายไปด้วย” ชูหลี่จี๋เอ่ย
ทุกคนจมอยู่ในความเงียบและต่างมองไปยังซ่งชูอี
“ก็ไม่เสมอไป” จางอี๋จิบน้ำชา เอ่ยว่า “เจตนาเดิมของกั๋วเว่ยก็มิได้เพื่อทำลายรัฐเว่ย ในเมื่อพวกเขาลุกฮือขึ้นมา พวกเราก็พัดโหมให้เปลวเพลิงมันแรงขึ้นประไร ไม่เช่นนั้นมันจะมอดไหม้ได้อย่างไร?”
อิ๋งจื๋อกล่าว “โชคดีที่กั๋วเว่ยมีญาณรู้ล่วงหน้าที่แยกจดหมายลับและการส่งข่าวปากเปล่าออกจากกัน แม้ว่าพวกเขาจะขโมยจดหมายลับไปก็ไม่มีประโยชน์”
จดหมายลับดังกล่าวเขียนขึ้นโดยเลียนแบบลายมือของสวีจ่างหนิง ด้านบนเขียนว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดที่คิคค้นโดยจางอี๋ ส่วนสิ่งที่สายลับส่งปากเปล่าคือแผนของซ่งชูอีที่ทำตามแผนการเดิม
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “ฝ่ายขององค์รัชทายาทเว่ยอยู่เหนือความคาดหมายของข้า”
ในช่วงเริ่มต้นที่ผ่านมาหมิ่นฉือยังคงมีความยุติธรรม ก็เหมือนกับตอนที่ซ่งชูอียังอยู่ในรัฐซ่ง หลังจากนั้นความคิดก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ละทิ้งนิสัยอันเป็นภาระทั้งหมด มีความโหดร้ายและเด็ดขาดมากขึ้นเรื่อยๆ หมิ่นฉือในวัยสามสิบกว่าก็เป็นเหมือนนกอินทรีที่ฝ่าออกมาจากกรง
การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วกว่าที่คาดไว้หลายปี
อาจเป็นเพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมากขึ้นหลังจากพบกับนางกระมัง! คนที่แข็งแกร่งสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในความทุกข์ยากอย่างแท้จริง
“วันนี้ที่เรียกทุกคนมา จุดประสงค์หลักก็เพื่อสิ่งนี้” จางอี๋ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา คลี่ไผ่ม้วนหนึ่งออก “หนังสือเจรจาต่อรองกับรัฐเว่ย”
“เจรจาต่อรอง?” เว่ยจังกล่าวด้วยความโมโห “มีเรื่องเอาเปรียบเช่นนี้ด้วยหรือ?”
เว่ยจังก็เป็นทหารผู้กล้านายหนึ่ง ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบกว่า มีความสูงแปดฉื่อ ลักษณะหยาบกระด้าง เป็นศิษย์สำนักเดียวกับจางอี๋ เรียนหลักนิติธรรม มีความกล้าหาญเจ้าแผนการ เพียงแต่นิสัยมุทะลุมาก
เขากับกานเม่าเป็นคนที่ชูหลี่จี๋กับจางอี๋เลื่อนตำแหน่งขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองคนต่างยังหนุ่มแน่นและเป็นผู้นำทัพอนาคตไกล
กงซุนซื่อเอ่ย “ขอข้าดูหน่อย”
ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามานำหนังสือเจรจาต่อรองให้เขา
คนของฉินที่มีอำนาจโดยพื้นฐานแล้วเป็นนายพลทหาร แม้แต่ผู้ที่เข้ารับตำแหน่งพลเรือนก็จะไม่มีวันสูญเสียความกล้าหาญและสามารถออกสู่สนามรบได้ตลอดเวลา ในขณะนี้มีผู้ที่รู้จักศิลปะการต่อสู้เสียเจ็ดส่วน ข้าราชการที่เหลือล้วนเป็นทั้งบู๊และบุ๋น และเหล่าอาลักษณ์ทั่วไปมีเพียงหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ภายใน เว้นแต่จะเป็นคนที่มีพรสวรรค์หรือเป็นนักยุทธศาสตร์อย่างจางอี๋
รอจนทุกคนอ่านจบแล้ว จางอี๋จึงเอ่ยขึ้น “เจรจาแล้วก็ยังจะสู้รบรึ?”
“รบอยู่แล้ว!” เว่ยจังพูดขึ้นทันที
ในขณะนี้มีผู้คนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่เห็นด้วย
ชาวเว่ยขุดหลุมฝังศพของอดีตกษัตริย์แห่งรัฐฉิน แม้ทนได้ก็ไม่อาจทนได้!
พวกเขาล้วนเป็นผู้บัญชาการทหาร พวกเขาไม่คิดล้มเลิกไปจากเรื่องเช่นนี้แน่นอน
กานเม่าเอ่ยว่า “นานารัฐต่างจับตาดูเรื่องนี้อยู่! เราไม่สามารถบังคับให้พวกเขาตายได้”
จางอี๋พยักหน้า “ถูกต้อง”
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไว้ในแขนเสื้อและสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง พูดแทรกทันทีทันใด “เจรจาก็ต้องเจรจา แต่รบก็ต้องรบ!”
ท่ามกลางสงครามการเจรจาสันติภาพมีอยู่มากมาย ไม่มีใครกำหนดไว้ว่าระหว่างกระบวนการเจรจาสันติภาพจะต้องหยุดทหารเพื่อรอผล
หากเจรจา รัฐฉินจะต้องให้จางอี๋ออกโรงอย่างแน่นอน รัฐเว่ยก็ยังต้องส่งมหาเสนาบดีเข้ามา มีเพียงกงซุนเหยี่ยนและฮุ่ยซือเท่านั้นที่สามารถต้านทานเขาได้ กงซุนเหยี่ยนกำลังเป็นผู้บัญชาการรบ หากให้เขาเป็นขุนนางราชทูตในการเจรจาและพัวพันอยู่กับจางอี๋ เกรงว่ากองทัพเว่ยคงต้านได้เพียงไม่กี่วัน
หากกงซุนเหยี่ยนไม่อาจออกโรงได้ ก็ทำได้เพียงส่งฮุ่ยซือมา
ทว่าทันทีที่ฮุ่ยซือออกมาจากต้าเหลียง จินตนาการได้เลยว่าองค์รัชทายาทและองค์ชายซื่อจะต้องหักหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน บางทีมันอาจจะก่อให้เกิดการกบฏแห่งนครหลวงด้วยซ้ำ!
อันตรายเหลือเกิน…
“กั๋วเว่ยกล่าวได้ถูกต้อง” กงซุนซื่อกล่าว
ชูหลี่จี๋กับจางอี๋ก็ตั้งใจไว้เช่นนี้ แต่รายละเอียดยังคงต้องหารือกัน
ทุกคนหารือกันรอบหนึ่งเพื่อสรุปกลยุทธ์ทั่วไป
ชูหลี่จี๋วางเรื่องนี้ลงชั่วคราวและพูดถึงกิจการภายในของรัฐเว่ย “ความขัดแย้งของผู้สืบทอดบัลลังก์ในรัฐเว่ย เห็นทีพวกเราต้องแอบช่วยองค์ชายซื่ออย่างลับๆ แล้ว”
องค์รัชทายาทเว่ยให้ความรู้สึกซื่อสัตย์กตัญญูและใจดีกับผู้คนเสมอ หากเป็นยุคที่สงบและรุ่งเรือง กษัตริย์เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ความจริงก็คือถ้ารัฐเว่ยมีกษัตริย์เช่นนี้อยู่ในอำนาจเป็นเวลายี่สิบปี อีกไม่นานมันก็จะล่มสลายไปจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก ดังนั้นในช่วงแรกรัฐฉินจึงเชื่อว่าหากองค์ชายซื่ออยู่ในอำนาจจะสร้างความได้เปรียบให้รัฐฉินมากกว่า
ทว่าการแย่งชิงบัลลังก์ครั้งนี้ จู่ๆ องค์รัชทายาทก็แสดงด้านที่โหดร้ายและเด็ดขาดออกมาซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก
หลังจากการพิจารณาของขุนนางในรัฐฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าการสังหารเว่ยอ๋องจะไม่ใช่ฝีมือองค์รัชทายาทเว่ยก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นฝีมือของที่ปรึกษารอบตัวเขาแน่นอน นี่แสดงให้เห็นว่าเมื่อเขาได้รับอิทธิพลจากที่ปรึกษาที่เหนือกว่าก็สามารถบรรลุผลได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐฉินจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เขาขึ้นสู่บัลลังก์
หลังจากที่กลยุทธ์โดยรวมถูกกำหนดอย่างคร่าวๆ แล้ว ชูหลี่จี๋กับจางอี๋ก็เข้าวังเพื่อหารือขั้นสุดท้ายกับอิ๋งซื่อทันที
ส่วนซ่งชูอีกลับไปที่จวนกั๋วเว่ย การต่อสู้เบื้องหน้าเป็นไปอย่างดุเดือด ซ่งชูอีนั่งอยู่ด้านหลัง เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินตลอดสิบสองชั่วยาม
หลังจากผ่านไปสามวัน คดีสังหารเว่ยอ๋องก็มีผลออกมา
หมอหลวงหวังชี้นำว่ามันคือการฆ่าตัวตายและพบนกพิราบซึ่งยังไม่ทันฆ่าในห้องของเขา ฮุ่ยซือสั่งให้คนป้ายธูปติดตามบนตัวพิราบทันที หลังจากที่นกพิราบบินวนอยู่สามวันก็บินไปในห้องขององค์ชายซื่อและถูกฮูหยินรองของเขาตู้เจาเป็นคนรับไว้
ฮุ่ยซื่อทำการค้นหาตำหนักขององค์ชายซื่อและพบว่ามีกรงนกพิราบเจ็ดหรือแปดกรงอยู่ในลานของตู้เจา
เป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้!
ทั้งราชวงศ์ตกอยู่ในความโกลาหล ผลลัพธ์นี้ทั้งสมเหตุสมผลและทั้งเหนือความคาดคิด เพราะความเมตตาขององค์รัชทายาทนั้นชัดเจนสำหรับทุกคนและเขาก็มีสถานะผู้สืบทอดบัลลังก์ ไม่จำเป็นต้องปลงพระชนม์เว่ยอ๋องในตอนนี้ ส่วนองค์ชายซื่อมีแนวโน้มที่จะปลงพระชนม์เว่ยอ๋องมากที่สุด เพียงทุกคนไม่คาดคิดว่าเขาจะลงมือได้เร็วเช่นนี้
[1] ซานกง (สามพระยา) เป็นคำเรียกขุนนางชั้นสูงสุดสามตำแหน่งในจีนโบราณ