“ใช่ค่ะ ผู้หญิงถ้าไม่รู้จักควบคุมพฤติกรรมตัวเองก็ต้องตกเป็นขี้ปากของสังคม” ผู้อำนวยการพูดจบอยู่ๆก็นึกถึงเรื่องราวแย่ๆของตัวเองในอดีต ทัศนคติที่หยั่งรากลึกขัดแย้งกับเรื่องจริงที่เธอเผชิญอาการหวาดระแวงของเธอเริ่มออกอีกแล้ว แต่เพื่อรับมือกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนที่รู้ความลับของเธอ เธอยอมทำตัวเห็นด้วยกับผู้หญิงคนนี้
ผู้อำนวยการร่วมวงด่าเสี่ยวเชี่ยนกับผู้หญิงคนนี้ ในที่สุดก็วกเข้าประเด็นหลัก
“ลูกชายคุณอาการหนักไหมคะ?”
“ก็แค่อารมณ์ฉุนเฉียวโมโหง่าย อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก พวกเราคอยดูแลให้มากหน่อยก็ได้แล้ว พ่อเขานั่นแหละที่อยากจับลูกมาอยู่ที่นี่ให้ได้ นี่มันนรกบนโลกมนุษย์ไม่ใช่เหรอ ลูกชายที่น่าสงสารของฉัน” ผู้หญิงคนนี้ร้องไห้เอามือปิดหน้า
ในสายตาของเธอ การที่ลูกถูกจับมัดเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก ห้องผู้ป่วยของศูนย์บำบัดจิตใจแม้กระทั่งหน้าต่างก็ยังติดลูกกรง ไม่ต่างอะไรกับติดคุก ไม่มีอิสระเลยแม้แต่น้อย
“เลิกพูดเถอะน่า เขาอยู่บ้านทั้งพูดจารุนแรงทั้งจะใช้กำลัง อาการหนักแบบนั้นถ้าออกไปทำร้ายคนข้างนอกจะทำยังไง” คนเป็นพ่อมองทุกอย่างตามความจริง รู้ว่าการที่ศูนย์บำบัดจิตใจทำแบบนั้นกับคนไข้อันที่จริงก็เพื่อตัวคนไข้เอง
เวลาที่โรคประสาทอาการกำเริบคนไข้จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เพียงแต่จะทำร้ายคนอื่น บางครั้งยังทำร้ายตัวเองด้วย การที่ติดลูกกรงภายในห้อง จำกัดอิสระ ก็เพื่อป้องกันพฤติกรรมรุนแรงเวลาอาการกำเริบ
“ก็สมน้ำหน้าไง ใครใช้ให้นังจิ้งจอกนั่นออกมาเพ่นพ่านยั่วคน”
พูดกับผู้หญิงแบบนี้ไปก็เท่านั้น สามีหลับตา ตัดสินใจแล้วว่าจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้
ส่วนผู้อำนวยการกลับเกิดความคิด ปล่อยคนไข้คนนั้นออกมาจะทำร้ายคน ทำร้ายคน…
คล้ายกับในสมองมีเสียงกำลังพูดกับเธอ ถ้าหมอคนนั้นเกิดเรื่องขึ้นก็จะไม่เอาเรื่องที่เธอถูกทำร้ายไปพูด ไม่ต้องถึงกับเอาชีวิต ขอให้มันเป็นเหมือนเธอก็พอ เป็นเหมือนเธอ…
“คุณเอาเบอร์มาให้ฉันสิคะ ฉันรู้จักหมอทางนี้ เดี๋ยวจะแนะนำโรงพยาบาลถูกๆที่ดีกว่านี้ให้” ในใจผู้อำนวยการเกิดความคิดไม่ดีขึ้นมาแล้ว พฤติกรรมก็เริ่มออกทันที
“จริงเหรอ? งั้นเดี๋ยวฉันให้เบอร์บ้านไปนะ…”
ผู้หญิงสองคนต่างคิดกันไปคนละอย่าง ส่วนผู้อำนวยการได้มีหน่อความคิดชั่วร้ายแตกขึ้นในจิตใจ
บนรถของฟู่กุ้ย แก้มของหลิวเหมยป่องจนแทบระเบิด
“พี่ไม่น่าห้ามฉันเลย ฉันล่ะอยากเข้าไปถีบสักสองที คนแบบนี้มันวอนโดนเท้าชัดๆ”
ฟู่กุ้ยยิ้มออกมาไม่พูดอะไร
“ทะเลาะกับคนมีอคติ ตรงนี้เธอมีปัญหาหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนชี้ที่หัวตัวเอง
“แต่เขาพูดจาเกินไปจริงๆนะพี่ เรียกพี่ว่านังจิ้งจอกหาว่าพี่ไปทำลูกเขาอาการหนัก”
“อุ๊บ” เสี่ยวเชี่ยนขำ “เขาชมพี่ว่าสวยแล้วเธอจะโกรธทำไม?”
“นั่นเรียกชมเหรอ? ฉันเห็นเขาแทบจะยกพี่เป็นตัวกาลกิณีบ้านเมืองเลยด้วยซ้ำ” ได้ยินคนอื่นว่าคนของตัวเองแบบนี้มันทนไม่ได้
“เขาอยากจะพูดอะไรก็เรื่องของเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องไปหงุดหงิดกับคนแบบนี้ มีแต่จะเสียสุขภาพเปล่าๆ เร็วเข้าพี่ฟู่กุ้ย เอาชาดอกเก๊กฮวยให้หลิวเหมยดื่มดับไฟโกรธหน่อย”
“ดื่มหน่อยนะ โมโหไปก็ไม่คุ้มหรอก” ฟู่กุ้ยเอามือข้างหนึ่งหยิบกระบอกน้ำให้หลิวเหมย
“ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้นี่”
“พี่จะบอกอะไรให้นะ ต่อไปถ้าเจอคนที่มีอคติรุนแรงแบบนี้อีกถ้าไม่เข้าไปถีบให้เขากลัวเธอก็หลบให้ไกลอย่าได้ไปต่อปากต่อคำ ไม่งั้นเธอได้เป็นบ้าแน่”
“ดูสิ พี่สะใภ้ยังบอกให้ฉันเข้าไปถีบเลย พี่นั่นแหละไม่น่าห้ามฉัน”
“บ้านพวกเขาเพิ่งมีคนป่วยเลยอารมณ์ไม่ดี เธอไม่ถีบเขาไม่เหมาะนะ” ฟู่กุ้ยยังคงเป็นคนดี
“พี่สะใภ้ดูสิ พี่ฟู่กุ้ยเป็นแม่พระมาโปรด” หลิวเหมยฟ้อง
“นี่เป็นหลักปรัชญาในการใช้ชีวิตของเขา เขาต้องการจะบอกว่า คนพวกนั้นมีประวัติกรรมพันธุ์โรคประสาท เธอไปยั่วโมโหเดี๋ยวเธอจะซวยไปด้วย เกิดทางนั้นป่วยขึ้นมา ถ้าเขามาฆ่าเธอเขาไม่ผิดนะ แต่ถ้าเธอไปฆ่าเขาเธอติดคุก เธอว่าอันไหนเหมาะกว่า?”
หลิวเหมยตกใจตาโต ฟู่กุ้ยส่ายหน้า เขาไม่ได้หมายความแบบนั้นเลย…
“สมกับเป็นคนความรู้สูง คิดอะไรรอบคอบจริงๆ” หลิวเหมยเริ่มเข้าสู่โหมดเลื่อมใสฟู่กุ้ยอีกครั้ง
ก็ได้ เขาอาจจะหมายความแบบนั้นเล็กน้อย ฟู่กุ้ยยอมรับอย่างเงียบๆ
“จริงสิ แล้วได้เจอเพื่อนเธอไหม อาการเป็นไงบ้าง?” เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงจุดประสงค์การมาที่นี่ของหลิวเหมยกับฟู่กุ้ยขึ้นมาได้จึงถามดู
ตอนนี้หลิวเหมยอยู่บนรถแล้ว เธอนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ กำมือทุบเบาะ ฟู่กุ้ยคนดีรีบยื่นกระบอกน้ำให้เธอดื่มดับไฟโกรธ
“อย่าโมโหไปเลย ไม่คุ้มหรอกกับเรื่องแบบนี้”
“หืม? หรือว่าเหมือนกับที่พวกเราคิดไว้?” ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนกับฟู่กุ้ยต่างคิดว่าเพื่อนคนนี้ของหลิวเหมยคนนี้เป็นโรคหลงผิด แต่ดูจากท่าทางของหลิวเหมยแล้วคงไม่ใช่แค่นั้น
“ฉันกับพี่ฟู่กุ้ยเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าถ้าเพื่อนฉันถูกสามีทำร้ายจริงๆฉันควรทำไง หรือถ้าเขาเป็นอย่างที่พี่กับพี่ฟู่กุ้ยคิดไว้ว่าเป็นโรคหลงผิดแล้วพวกเราควรทำยังไง”
ปรากกฎหลิวเหมยไม่นึกเลยว่า พอเธอกับพี่ฟู่กุ้ยไปถึงบ้านเพื่อน เคาะอยู่ตั้งนานก็ไม่มีคนมาเปิด บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแบบธรรมดา กลอนประตูถูกล็อคจากด้านใน
หลิวเหมยกลัวเกิดเรื่องจึงปีนกำแพงเข้าไป
ภาพที่เธอเห็นทำเอาเธอโมโหสุดขีด
ผู้หญิงที่โพสต์ลงในอินเตอร์เน็ตว่าตัวเองน่าสงสารที่สุดในโลกคนนั้นแต่งตัวสวมเสื้อกล้ามนุ่งกางเกงขาสั้น นั่งแคะเล็บพลางกินแตงโม สาเหตุที่ไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นเพราะใส่หูฟังอยู่ กำลังดูหนังอย่างว่าของญี่ปุ่น แถมยังส่งเสียงร้องครางตามด้วย
หลิวเหมยรู้สึกตัวเองโง่ไปเลย
เสี่ยวเชี่ยนพอฟังถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมา
หลิวเหมยเล่าได้เห็นภาพมาก เสี่ยวเชี่ยนประหนึ่งเห็นผู้หญิงสติเพี้ยนๆคนหนึ่งนั่งแคะเล็บกินแตงโมอยู่ตรงหน้า ปากก็ครางเสียงไปด้วย
“เขาเห็นฉันยังตกใจเลยพี่ ถามฉันว่าทำไมไม่เคาะประตู ถ้าฉันเคาะยังไงเขาก็ต้องได้ยิน”
“จากนั้นล่ะ?”
“ฉันก็เลยพูดถึงจุดประสงค์ที่ฉันมา บอกว่าเพื่อนๆเป็นห่วงเขามาก ฉันเลยกลับมาดู ที่เขียนลงในเน็ตน่ะมันอะไรกัน? ปรากฏเขากับพูดว่า…”
หลิวเหมยพอนึกถึงท่าทางสุดประหลาดของเพื่อนคนนี้แล้วก็โมโห
“เขาบอกว่าฉันเสือก เขาก็แค่เขียนเล่นๆดูว่าจะมีคนสนใจแค่ไหน ใครจะไปคิดว่าพวกเราเรียนหนังสือจนโง่กันไปหมด เรื่องแบบนี้ก็เชื่อ…ตอนที่เขาพูดนะฉันแทบอยากกระโดดถีบ”
ผลลัพธ์แบบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเสี่ยวเชี่ยนเล็กน้อย เธอกับฟู่กุ้ยมองหน้ากัน ฟู่กุ้ยผายมือออกอย่างจนปัญญา
“ต่อมาพี่ก็เข้าไปดู น่าเสียดายที่เขาเป็นคนปกติ ไม่ได้เป็นโรคประสาท”
ไม่ได้เป็นโรคหลงผิดอย่างที่ประธานเชี่ยนกับฟู่กุ้ยคิดไว้ แต่กลับเป็นคนที่ความคิดบิดเบี้ยวเป็นพิเศษ
และที่น่าแค้นกว่าก็คือ พอฟู่กุ้ยเข้าไปแล้ว เพื่อนที่เมื่อครู่ยังยิ้มเยาะหลิวเหมยอยู่กลับกลายเป็นคนมารยา พยายามยั่วยวนฟู่กุ้ย คะยั้นคะยอให้ฟู่กุ้ยกินแตงโม แต่ฟู่กุ้ยไม่กินของที่คนเอามือแคะเท้าหยิบยื่นให้หรอก อยู่กับหลิวเหมยสักพักก็รีบหนีออกมา