ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 99 การฝึกบำเพ็ญเพียรสำคัญมากกว่าความเป็นความตาย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เซวียนหยวนผ้อถือจานอาหารเดินเข้ามา ตอนนี้ผู้คนในสวนร้อยหญ้าได้ออกไปแล้ว ทั่วทั้งสวนว่างเปล่า ไม่มีคนส่งอาหาร สำนักฝึกหลวงจึงทำได้เพียงทำอาหารเอง ในตอนแรกสุดไม่กี่วันนี้ คนโชคร้ายจับฉลากรับผิดชอบเรื่องหุงหาอาหารในไม่กี่วันนี้เป็นหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้

แสงดวงดาวลอดจากด้านนอกหน้าต่างเข้ามาในหอตำรา เบาบางอย่างยิ่ง เหมือนกับอาหารที่เขาทำวันนี้

เมื่อเวลาอาหารกลางวัน จินอวี้ลวี่มาลองชิมอาหาร แล้วก็บอกกับพวกเขาว่า หลังจากนี้เมื่อรับประทานอาหารไม่ต้องรอตน

ถังซานสือลิ่ววางตะเกียบลง จ้องมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าลืมใส่เกลืออีกแล้วใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงมองเขายิ้มออกมา “ก็เหมือนกับที่เจ้ามักจะกล่าวบ่อยๆ เปลี่ยนประเด็นการสนทนาได้ไม่ชำนาญอย่างยิ่ง”

ถังซานสือลิ่วสีหน้ามิได้เปลี่ยนเอ่ยว่า “นั่นก็เป็นเพราะว่าเงื่อนไขของเจ้าสูงเกินไป”

เมื่อรับประทานอาหารโดยมิได้รู้รสชาติเสร็จเรียบร้อย คนทั้งสามเริ่มเดินรอบทะเลสาบในสำนักฝึกหลวง ยังสามารถเห็นประตูสำนักฝึกหลวงรางๆ มีแสงจากโคมไฟลอดออกมาจากห้องเวรยามเล็กๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นไก่ย่างที่หอมฉุยเล็ดลอดตามออกมา ยังมีกลิ่นหอมของสุราออกมาด้วย

ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารมื้อเย็นหอมฉุยของจินอวี้ลวี่ ถังซานสือลิ่วรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง จึงเสนอว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเริ่มสั่งอาหารจากข้างนอก ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขากับเฉินฉางเซิงก็มิได้ขาดเงิน ไม่ว่าเซวียนหยวนผ้อจะสามารถกินได้อย่างไรก็ไม่อาจกินจนให้พวกเขายากจน สำหรับเซวียนหยวนผ้อรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ทว่าเฉินฉางเซิงกลับจะแสดงการทัดทานอย่างเห็นได้ชัดเจน สั่งอาหารมาจากข้างนอกมีน้ำมันและเกลือจำนวนมาก ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายใดๆ ทั้งสิ้น อาหารที่เซวียนหยวนผ้อทำถึงแม้ว่าจะไม่มีรสชาติ ทว่าโภชนาการมิได้ขาดแม้แต่น้อย

สำหรับความละเอียดรอบคอบหรือกระทั่งการดำเนินชีวิตด้วยความเคยชินของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อล้วนแต่เคยชินเสียแล้ว นอกจากส่ายศีรษะแสดงถึงความเสียใจ คร้านที่จะโต้เถียงอะไรกับเขา คนทั้งสามยังคงเดินเล่นรอบทะเลสาบ จนกระทั่งค่ำคืนค่อยๆ มืดมิด ผิวน้ำทะเลสาบมีแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นทาบทับลงมา

กิ่งก้านของต้นไทรย้อยยื่นออกมาด้านนอกทะเลสาบถูกสายลมยามค่ำคืนพัดกวัดแกว่งเบาๆ ราวกับกำลังเด็ดดวงดาวเหล่านั้น

เฉินฉางเซิงจ้องมองภาพนี้ทำให้คิดไปถึงลั่วลั่ว

แยกจากกันเพียงแค่สองวันเขาก็คิดถึงนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่านางอยู่ที่สำนักจวนราชวังหลีนั้นยินดีหรือไม่ แล้วฝึกบำเพ็ญเพียรกับผู้ใด พลังปราณแท้จุดชีพจรเหลาทางด้านซ้ายจะทะลุทะลวงได้หรือยัง แล้วจะ…คิดถึงสระน้ำแห่งนี้กับต้นไทรย้อยที่อยู่รอบสระน้ำแห่งนี้หรือไม่

ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อได้กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งออกมาจากห้องเวรยามแห่งนั้นพลันคิดไปถึงลั่วลั่ว

ไม่มีลั่วลั่ว สวนร้อยหญ้าก็ไร้ผู้คน ไร้อาหารดีๆ รสเลิศทุกชนิด ไม่มีหญิงสาวที่น่ารักงดงาม มองไม่เห็นองค์หญิงออกคำสั่งให้คนกลัดกลุ้มใจ ต้องเผชิญกับปัญหาวุ่นวายมากมาย เมื่อไหร่เจ้าจะกลับมาเสียที เจ้ารีบกลับมาเถิด อาจารย์ของเจ้าใกล้จะรับมือไม่ไหวแล้ว

หลังจากเดินเล่นแล้ว ถังซานสือลิ่วเตรียมตัวไปเดินเล่นที่ตรอก กลับเห็นเฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในหอตำรา นั่งลงกับบนพื้น สุดท้ายแล้วจึงเริ่มนั่งสมาธิไตร่ตรองลึกซึ้ง เซวียนหยวนผ้อก็เริ่มฝึกซ้อมท่าร่างกับต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ริมทะเลสาบ เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ

เขาไตร่ตรองชั่วครู่ จึงเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเฉินฉางเซิง หลับตาปรับลมหายใจให้สงบ มือทั้งสองวางอยู่บนหัวเข่า กลางฝ่ามือหงายสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เริ่มนั่งรวบรวมสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียร

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาลืมตาขึ้น เข้าใจซาบซึ้งถึงพลังปราณแท้ที่ไหลเวียนในชีพจร ให้จิตวิญญาณเป็นสายตา ตรวจสอบสภาพด้านในอย่างละเอียดถี่ถ้วน นี่ก็คือการถอดจิตมองภายใน หากตามการมองภายในต่อไปก็สามารถมองเห็นแสงแวววาวที่อยู่ในนัยน์ตาของเขารางๆ

การถอดจิตมองภายในสามารถพลิกกลับเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเขาฝึกบำเพ็ญเพียรถึงขั้นถอดจิต ทะลวงขั้นถอดจิตเมื่ออายุสิบหกปี ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักเทียนเต้า หอกระบี่เขาหลีซานหรือว่าสำนักอื่นๆ ล้วนแต่จะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนที่สำคัญอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้เขากลับทำได้เพียงฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยตนเองอยู่ที่สำนักฝึกหลวง

เป็นธรรมดาที่ถังซานสือลิ่วจะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง เพียงแค่ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นในตนเองที่จะทะลวงขั้นต่อไปอย่างรุนแรง

ตอนนี้เอง เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขา ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าสามารถสอนองค์หญิงลั่วลั่วได้ ตัวข้ายอมลดเกียรติเชิญให้เจ้ามาสั่งสอนแล้วเป็นอย่างไร เมื่อคิดใคร่ครวญอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาพลันดังขึ้น ถามถึงปัญหาหัวข้อการฝึกบำเพ็ญเพียรหลายข้อที่ทำให้หนักใจ

เฉินฉางครุ่นคิดจริงจังเป็นระยะเวลานาน หลังจากนั้นเอ่ยว่า “…ข้าไม่เข้าใจ”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกโมโห กล่าวว่า “การขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของเผ่าปีศาจเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ล้วนแต่ถูกเจ้าแก้ไขได้…ถ้าหากไม่ใช่เพราะองค์หญิงลั่วลั่วกับเสนาธิการจิน ข้ากล้าพนันเวลานี้เจ้าก็คงจะถูกคนที่จักรพรรดิขาวส่งมาจับตัวไปยังแม่น้ำแดงแล้ว สุดท้ายแล้วคาดไม่ถึงเจ้ากล้ากล่าวว่าไม่เข้าใจปัญหาของข้ารึ”

“ร่างกายของเผ่าปีศาจมีลักษณะพิเศษเฉพาะ องค์หญิงลั่วลั่วก็มีความพิเศษเฉพาะ พอดีกับว่าเป็นเพราะความพิเศษเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสามารถคิดวิธีได้บางอย่าง…เพราะข้าศึกษาเกี่ยวกับทางด้านชีพจรมานานหลายปี แต่ปัญหาของเจ้า วิชาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการถอดจิตภายใน ทว่าข้าหมดหนทางที่จะถอดจิตมองภายใน แล้วจะเริ่มต้นอย่างไรเล่า”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขากล่าวต่อ “ข้ากลับคิดว่าเจ้ายังมิต้องรีบร้อน ตอนนี้อายุของเจ้าน้อยอย่างยิ่งก็สามารถทะลวงขั้นถอดจิต ห่างจากธรณีประตูขั้นทะลวงอเวจีไม่กี่ชุ่น เพียงแค่ฝึกฝนไปตามพละกำลัง จักมีวันหนึ่งที่จะทะลุทะลวงสำเร็จ ดีที่สุดสภาพจิตใจจะต้องไม่วุ่นวาย”

“ไม่เกี่ยวข้องกับการสอบใหญ่”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองนัยน์ตาเขา ก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดสิ่งใดไป พลันยืดตัวลุกขึ้น เดินไปยังริมหน้าต่าง จ้องมองดวงดารานับไม่ถ้วนที่อยู่บนท้องฟ้ายามราตรี หลังจากเงียบนิ่งเพียงอึดใจ จึงเอ่ยว่า “การฝึกบำเพ็ญเพียรก็เปรียบดังพายเรือทวนน้ำ ยิ่งมุ่งไปข้างหน้ายิ่งยากลำบาก ตอนนี้ข้าฝึกบำเพ็ญเพียรถึงขั้นถอดจิต ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถือว่าไม่เลวนัก ทว่า…ธรณีประตูแห่งนั้นยากที่จะก้าวเท้าเข้าไป”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

เมื่ออยู่ที่วัดเก่าในซีหนิง เขาไม่เข้าใจต่อการฝึกบำเพ็ญเพียรใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้มาเล่าเรียนที่สำนักฝึกหลวงเป็นเวลาครึ่งปี เขารู้ว่าถังซานสือลิ่วอยากจะเอ่ยสิ่งใด เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาแม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ยังไม่สำเร็จ วันนั้นที่จะมาถึงห่างไกลยิ่งยวด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยคิดจริงจัง

ยิ่งฝึกบำเพ็ญเพียรยิ่งถอยหลังยิ่งยากลำบาก และก็ยิ่งอันตราย เนื่องจากต้องถอดจิตภายในเพื่อเข้าสู่ทะลวงอเวจี ธรณีประตูแห่งนั้นก็คือภูเขาสูงลูกหนึ่ง ภายหลังทุกครั้งที่ทะลุทะลวงขั้นบำเพ็ญเพียร ยอดเขาที่จะต้องปีนป่ายขึ้นไปยิ่งนานยิ่งสูงชะลูด และผู้คนที่อยู่ด้านหน้าภูเขาลูกแรกก็จะมากที่สุด เพราะว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรเวลานั้นล้วนแต่ไม่มีประสบการณ์

ระยะเวลานานหลายปี คัมภีร์สวรรค์ตกลงมายังโลก ภูมิปัญญามนุษย์ถูกเปิดออก เผ่ามนุษย์เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร วันเวลาผ่านไปยาวนานไม่รู้ว่ามีผู้มีพรสวรรค์พรั่งพรูออกมามากน้อยเพียงใด ในช่วงเวลาหนุ่มสาวหรือยังเยาว์วัย จะสามารถชำระล้างกระดูกจนถึงขั้นถอดจิตได้อย่างง่ายดาย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าก่อนจะทะลุขั้นทะลวงอเวจี ต้องใช้ชีวิตเป็นการแลกเปลี่ยนก่อนจะเข้าไป

คนเหล่านั้นล้วนแต่เคยเหมือนถังซานสือลิ่วที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ค่อนข้างได้รับความเอาใจใส่ หรืออาจจะกล่าวว่ามีชื่ออยู่บนประกาศชิงอวิ๋น มิได้ข้ามผ่านธรณีประตูบานนั้น หลังจากเสียชีวิตร่างกายสูญสลาย ใช้เวลาไม่มาก ก็ถูกผู้คนทั่วทั้งต้าลู่ลืมเลือน ถูกคนหนุ่มรุ่นใหม่แทนที่

เพราะเหตุใดจิวซานจวิน สวีโหย่วหรง โกว่หานสือ รวมถึงม่ออวี่ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยและคนอื่น ถูกมองว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง จนกระทั่งถูกบรรดาผู้แกร่งกล้าอาวุโสให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เหลืออย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะว่ายามพวกเขาเยาว์วัยอย่างยิ่งก็บรรลุจนถึงขั้นทะลวงอเวจี

คนเหล่านี้ได้ก้าวข้ามความพ่ายแพ้สูงสุด ในเวลาเดียวกันก็ข้ามผ่านธรณีประตูแห่งความตายสูงสุดเช่นกัน ถึงแม้นับแต่นี้ไประยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรจะยาวนาน พวกเขากลับยังคงอยู่ดังเช่นตีนเขาของขั้นรวบรวมดวงดาว เปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณ แต่พวกเขากลายเป็นความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้แกร่งกล้ามากกว่าผู้อื่นไม่รู้ต่อกี่เท่า

ถังซานสือลิ่วไม่อยากเสียชีวิต ยิ่งไม่อยากถูกลืมเลือน เพื่อที่จะทะลวงขั้นถอดจิต เพื่อที่จะได้รับชัยชนะของการสอบใหญ่ในปีหน้า เพื่อที่จะอยู่อันดับหน้าของประกาศชิงอวิ๋น เขาถึงจะต้องจากบ้านเกิดมาไกลโพ้น มาถึงยังจิงตู มาขอศึกษายังสำนักเทียนเต้า

มีเพียงสถานที่อย่างสำนักเทียนเต้าหอกระบี่เขาหลีซานเท่านั้นที่มีรากฐานมั่นคงแข็งแกร่งเช่นนี้ ถือเป็นสำนักหรือพรรคที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ถึงจะมีอัตราการประสบความสำเร็จในการยกระดับลูกศิษย์ให้สามารถได้ทะลวงขั้นได้มากที่สุด

ยามนี้ เขาออกมาจากสำนักเทียนเต้า มาอยู่สำนักที่มีเพียงนักเรียน ไม่มีอาจารย์ แล้วผู้ใดจะช่วยเขาได้เล่า

เสนาธิการจินถึงแม้จะแข็งแกร่งก็ตาม ทว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาของเผ่าปีศาจ จึงยากเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเขา

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งเป็นเวลานาน กล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าเชื่อมั่นใจตัวข้า ข้าอาจจะลองศึกษาดูว่ามีวิธีอะไรช่วยเหลือเจ้าได้”

ถังซานสือลิ่วฝืนตีหน้ายิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าเตรียมที่จะให้ข้าเป็นหนูทดลองรึ”

“เจ้าไม่ยินยอมหรือ” เฉินฉางเซิงยิ้มพลางกล่าวออกไป

ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ข้าใจกล้าอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเชื่อมั่นข้าอย่างยิ่ง”

ถังซานสือลิ่วไร้วาจาตอบโต้ เอ่ยว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิด แม้แต่การชำระล้างกระดูกเจ้ายังไม่สำเร็จใช่หรือไม่”

เรื่องราวนี้ไม่จำเป็นต้องไปจดจำ เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้

เฉินฉางเซิงกางมือทั้งสองออกนอกแขนเสื้อ ยังมีเส้นผมที่ไม่มีความแตกต่างใดๆ กับคนธรรมดา ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร ถ้าหากนำมีดเล่มหนึ่งที่ไม่แหลมคมกรีดบนข้อมือของเขา จะต้องมีเส้นสีแดงเล็กๆ ปรากฏออกมา หลังจากนั้นโลหิตสดๆ ก็จะไหลออกมา

“ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด”

ทุกค่ำคืนนั่งสมาธิใคร่ครวญเป็นเวลาครึ่งปี ดึงแสงดวงดาวมาชำระล้างกระดูก ชัดเจนว่าจังหวะการก้าวเดินมิได้มีปัญหา แต่กลับไม่มีผลแม้แต่น้อย ผู้มีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวดังเช่นเขายังมีบางครั้งที่ยากจะหลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้า เขาจ้องมองดวงดาวดาษเดียรเต็มท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “คงจะมีปัญหาที่พรสวรรค์จริงๆ”

ฟังเขาอธิบายถึงขั้นตอนการดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก ถังซานสือลิ่วยื่นมือเข้าไปกุมแขนเขา หลับตาใช้พลังปราณแท้รับรู้ถึงสภาวะในร่างกายเขาอย่างละเอียด พบว่าในร่างกายของเขาตรวจสอบไม่พบแสงพร่างพราวดวงดาวใดๆ อดไม่ได้ที่จะกลัดกลุ้มใจ

ตั้งแต่แรกเริ่มถึงสิ้นสุดเขาคิดว่าเฉินฉางเซิงเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง หลังจากได้รู้ถึงหนังสือสมรสของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง ความคิดนี้เด็ดเดี่ยวไร้สิ่งใดเปรียบ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ผู้มีพรสวรรค์ที่ตนยอมรับจะมีปัญหาทางด้านพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร แล้วจะไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูกได้อย่างไร

“อาจจะ เป็นปัญหาของชีพจร”

ด้านหน้าหอตำรามีเสียงดังขึ้น จินอวี้ลวี่เดินเข้ามา มองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “พวกเราเผ่าปีศาจฝึกบำเพ็ญเพียรก็ต้องชำระล้างแสงดวงดาว ทว่าเป็นเพราะสาเหตุความแตกต่างชีพจรของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ ด้วยเหตุนี้วิชาจึงไม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเจ้าจะคล้ายกันหรือไม่”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ พลางเอ่ยออกมา “ใช่แล้ว ชีพจรของข้ามีปัญหา”

ถังซานสือลิ่วแปลกประหลาดใจ พลางถามออกไป “ก่อนหน้านี้เจ้ายังกล่าวเกี่ยวกับพรสวรรค์”

“ชีพจรเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด เป็นธรรมดาที่จะเป็นพรสวรรค์ชนิดหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะเจาะจงเกินไป เพราะว่านั่นเป็นการพัวพันไปถึงความลับอันยิ่งใหญ่ของเขา ถ้าหากถังซานสือลิ่วถามออกมา เขาก็ไม่รู้ว่าจะควรตอบอย่างไร เงามืดเงานั้นนำพามาซึ่งความกดดันที่ยิ่งใหญ่ เขาชัดเจนอย่างยิ่งว่าไม่ยินยอมให้คนอื่นมาแบกรับด้วยกัน

จินอวี้ลวี่จ้องมองเขาเงียบๆ อยู่ๆ ก็กล่าวออกมา “กฎแห่งสวรรค์เดิมทีก็ไม่ยุติธรรม”

ใช่แล้ว กฎแห่งสวรรค์แต่ไหนแต่ไรเพื่อความยุติธรรมจึงไม่ยุติธรรม อยากจะช่วยแต่เกินความสามารถจะช่วยได้ คัมภีร์เต๋าเจ็ดอักษรล้วนแต่กล่าวไว้