หลังจากแอสรันก่อความวุ่นวาย วิหารหลวงก็ยุ่งวุ่นวายมาก เหล่านักบวชระดับสูงเริ่มสืบค้นเกี่ยวกับพลังเวทที่ตนไม่รู้ต้นกำเนิดเป็นหลัก พวกเขาตกใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าพลังเวทกำลังแผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีปโดยเริ่มจากวิหารหลวง

 

“พลังเวทก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าอะไรกันที่สามารถบรรจุพลังเวทระดับนี้ได้?”

 

พลังเวทไม่เสถียรและดุร้ายต่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เสถียรมั่นคง ยิ่งมันยิ่งใหญ่มากเท่าไร มันก็ยิ่งเรียกร้องหาถ้วยชามที่ใหญ่พอจะบรรจุมันมากเท่านั้น ดังนั้นปีศาจตัวใหญ่จึงย่อมมีพลังเวทมหาศาล พลังเวทระดับมหาศาลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ทำให้คิดว่าจะต้องมีปีศาจที่มีขนาดใหญ่เหมาะสมกับพลังนั่น แต่ภายในวิหารหลวงกลับไม่เจอปีศาจแบบนั้นเลย

 

ฉันมองดูนักบวชระดับสูงที่ถอนหายใจยาวขณะกล่าวว่ายังคงหาปีศาจไม่เจอพลางย้อนนึกถึงภาพของแอสรันที่ออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง จู่ๆ ฉันก็นึกสงสัยในร่างเดิมของเขา ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้ ร่างต้นกำเนิดของเขาที่บรรจุพลังมหาศาลขนาดนั้นจะมีรูปร่างใหญ่และน่าเกรงขามขนาดไหนกัน

 

‘แต่ว่าไปแล้ว แอสรันพักอยู่ที่ไหน?’

 

หลังจากวันนั้น ฉันก็ไม่เห็นเขาอีกเลย ใบหน้าของแอสรันที่ดูเหนื่อยล้ามากยังคงไม่หายไปจากซอกหนึ่งในหัว เสียงของเขาที่กล่าวว่านี่เป็นเรื่องที่ปีศาจทำเพื่อมนุษย์เป็นครั้งแรกยังคงดังอยู่รอบหู

 

นี่เขากินนอนอยู่ส่วนไหนของวิหารกันแน่ เขาเปลี่ยนสีตาด้วยเวทมนตร์ รวมถึงยังเก็บงำซุ่มเสียง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะแสร้งทำตัวเป็นนักบวชที่ไหนสักแห่ง หากถูกจับได้ก็ใช้เวทมนตร์เอา

 

ฉันคาดเดาได้ไม่ยากว่าทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นมา

 

‘การเจอราธบันขณะที่อ่อนแอลงคงจะทำให้รู้สึกตะขิดตะขวง’

 

ราธบันไม่เก็บซ่อนความเกลียดชังที่มีต่อแอสรัน และแน่นอนว่าแอสรันเองก็เช่นกัน บางทีหากไม่มีฉัน ทั้งสองคนคงหยิบดาบและใช้เวทมนตร์เข้าหากันทันที แม้ฉันจะไม่รู้ว่าราธบันแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ในระดับที่แอสรันไม่อยากพบขณะที่ตนอ่อนแอลง

 

ฉันมองหาราธบันที่เห็นอยู่ไกลๆ นอกหน้าต่าง แม้จะบอกว่าอยู่ในช่วงรอพิจารณาการปลดออกจากตำแหน่ง แต่นอกจากเปลี่ยนมาถือดาบธรรมดาแทนดาบของผู้บัญชาการอัศวิน เรื่องที่เขาทำอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แม้จะนำสัญลักษณ์ของผู้บัญชาการอัศวินที่อยู่บนชุดเครื่องแบบออก แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอไม่มีสิ่งนั้นแล้วคนในวิหารหลวงที่จำเขาไม่ได้

 

ขณะที่กำลังจ้องมองราธบันออกคำสั่งกับเหล่าอัศวินอย่างเปิดเผย จู่ๆ ราธบันก็หันศีรษะอย่างกะทันหัน แล้วมองทางที่ฉันอยู่

 

‘รู้สึกตัวเหรอ?’

 

แน่ล่ะ เขาเป็นอัศวิน การสัมผัสถึงสายตาแบบนี้ได้บางทีคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทว่าการที่ยังรู้สึกตัวทั้งที่อยู่ไกลถึงขนาดนี้มันช่างน่าทึ่งจริงๆ ฉันยกมือขึ้นเหนืออกเล็กน้อยแล้วแกว่งเบาๆ คล้ายว่าทักทายเพราะสงสัยว่าเขากำลังมองฉันอยู่จริงหรือเปล่า ทันใดนั้น ราธบันก็ค้อมศีรษะให้ทันทีราวกับตอบรับ

 

การกระทำของเขาทำให้เหล่าอัศวินสงสัยว่าราธบันทำให้ใครและหันศีรษะมา ฉันรีบก้มตัวลงทันทีเพราะเขินอายที่ถูกจับได้

 

หลังจากนั่งลงใต้หน้าต่าง ใช้เวลาสักพักหัวใจที่เต้นเร็วถึงได้สงบลง ฉันค่อยๆ ยกหัวขึ้นอย่างระมัดระวังและมองดูตรงที่ราธบันอยู่อีกครั้ง เขาหันศีรษะกลับไปแล้วและกำลังสนทนากับเหล่าอัศวินอยู่ ไม่ช้าก็เห็นเขาหมุนตัวและเดินจากไป

 

‘ไปตรงอื่นแล้วเหรอ?’

 

ฉันมองต่อไปด้วยความเสียดาย เขาที่กำลังเดินไปก็หันแขนขวามาด้านหลัง จากนั้นก็แกว่งมือเบาๆ เหมือนที่ฉันทำครู่ก่อน ราวกับรู้ว่าฉันกำลังมองอยู่

 

“…!”

 

ราธบันคงไม่ใช่ว่า…มีตาด้านหลัง ครั้งนี้ก็คงรู้สึกถึงสายตาของฉันได้อีกใช่ไหม เขาคงกังวลว่าถ้าค้อมศีรษะให้เหมือนเมื่อครู่ก่อนแล้วอัศวินรอบข้างจะสังเกตเห็นอีก มองดูราธบันที่เดินห่างออกไป ฉันก็ย้อนนึกถึงเรื่องสมัยก่อน

 

‘ตอนนั้นเขาก็คงเห็นฉันเหมือนกัน’

 

ตอนที่เห็นราธบันครั้งแรก เขามองดูฉันที่อยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับและจากไปเลย ลองเทียบตอนนั้นกับตอนนี้แล้วมันเปลี่ยนไปมากจริงๆ เขาที่เคยแสร้งทำเป็นไม่เห็นและเบือนหน้าหนีอย่างเมินเฉย ตอนนี้กำลังโบกมือมาให้ฉัน

 

เมื่อคิดถึงสิ่งที่ต่างจากทิศทางเรื่องเดิมแบบนี้ ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกปลื้มใจขึ้นมา ไม่ใช่แค่ราธบันเท่านั้น ทั้งเลออน และแอสรันก็ด้วย

 

‘ถ้าได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงดี’

 

แต่ไม่นานฉันก็ส่ายหน้า สิ่งที่ฉันต้องการไม่มีทางเป็นจริงและเต็มไปด้วยความโลภราวกับการบ่นของเด็กน้อย สิ่งที่เป็นดั่งความฝันที่จะเริ่มสั่นไหวและแตกออกเมื่ออีริสปรากฏตัวขึ้นสักวันหนึ่ง แน่นอนว่าหลังจากอีริสปรากฏตัวขึ้นแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสานสัมพันธ์กับทั้งสามคนต่อไป

 

‘แต่ว่า…’

 

พอคิดว่าคนทั้งสามที่ทำเพื่อฉันแบบนี้ต้องกลายไปเป็นพวกคนอื่น ฉันก็รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมา

 

“…ไม่ชอบ”

 

หลังจากพึมพำออกไปแบบนั้น ฉันก็ตกใจกับคำที่เพิ่งหลุดพูดออกมา นี่ฉันกำลังพูดอะไรอยู่ ฉันยกปลายนิ้วเย็นมาแตะแก้ม ดูเหมือนจะได้สติกลับมาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสเข้ากับอุณหภูมิเย็นเชียบ

 

ฉันย้อนนึกถึงความทรงจำเมื่อนานมาแล้วที่จวนเจียนจะหายไป

 

เมื่ออาการแย่ลงและต้องนอนในโรงพยาบาลนานขึ้น คนที่มาเยี่ยมไข้ก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ สิ่งของต่างๆ ในบ้านฉันเริ่มมากองในห้องพักฟื้น คุณพ่อคุณแม่ที่เคยมาเยี่ยมทุกวันเริ่มมาสองวันครั้ง สามวันครั้ง จนสุดท้ายก็มาหาแค่สัปดาห์ละครั้ง และจำนวนครั้งที่ไม่มาก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะบอกว่ามีงานยุ่ง

 

และเพราะคนที่มาหาน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกยินดีอย่างมากเมื่อมีใครมาหาโดยบังเอิญ ฉันรั้งคุณครูที่ปรึกษาคนใหม่ที่เอาหนังสือเรียนมาให้และชวนคุยอยู่หลายชั่วโมง และยังรั้งญาติที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีก็เช่นกัน ในตอนนั้นเองก็บังเอิญพบเพื่อนในโรงเรียนที่อยู่ในความทรงจำตรงประตูทางเข้าโรงพยาบาล ฉันจึงวิ่งไปคุยด้วยความดีใจ

 

ฉันจำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง ก็แค่รู้สึกดีใจมากที่ได้พบคนรู้จักที่ไม่ได้เจอมานาน ฉันจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลไปก็เท่านั้น แต่เด็กคนนั้นกลับถามว่าฉันพูดอะไร และคว้าผู้ปกครองของตนที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายฟ้องว่ามีเด็กไม่รู้จักมาจับไม่ปล่อยแล้วเอาแต่พูดเรื่องน่ากลัว

 

ทันใดนั้น พ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็มองฉันด้วยใบหน้าตกใจ ก่อนจะกระชากมือฉันออกอย่างแรง

 

“เธอเป็นใคร? ยังไม่ปล่อยมืออีกเหรอ?”

 

ตอนนั้นเอง ฉันถึงได้รู้ว่าฉันกำลังจับเสื้อของเด็กคนนั้นแน่น ทั้งที่รู้ แต่มือฉันกลับไม่ยอมปล่อย เสียงที่พูดว่าเด็กที่ไม่รู้จักดังก้องอยู่ในหู ฉันจำได้ แต่อีกฝ่ายกลับลืมฉันไปแล้ว

 

ทั้งเรื่องที่วิ่งบนทางเดินด้วยกัน ทั้งเรื่องที่เคยคุยกัน ทั้งหมดนั่นมีแค่ฉันคนเดียวที่จำได้ ความทรงจำที่ฉันคิดถึงทุกอยู่ทุกวี่ทุกวัน กลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นสำหรับเด็กคนนั้น

 

หลังจากผ่านความวุ่นวายนั้นไป ฉันก็บังเอิญไปได้ยินนางพยาบาลคุยกันบนทางเดิน

 

“ใช่แล้ว เด็กห้อง 1201 นั่นแหละ อยู่โรงพยาบาลมานาน พอมีใครมาก็เกาะติดสุดๆ เลย พอคิดว่าเป็นคนที่ตัวเองรู้จักก็จับไว้ไม่ยอมปล่อย เขาขอให้ช่วยใส่ใจหน่อย”

 

“คิดไว้อยู่แล้ว พอร่างกายเจ็บป่วย หัวใจก็ป่วยด้วยเป็นธรรมดา”

 

เมื่อได้ยินบทสนทนานั้น ฉันถึงตระหนักได้ว่าฉันไม่ปกติ คืนนั้น หลังจากร้องไห้อยู่พักใหญ่ ฉันก็ไม่คุยกับใครนานๆ อีกเลย

 

“…จะเป็นเหมือนกับตอนนั้นไหมนะ”

 

ฉันเคยคิดว่าตอนนี้ต่างจากตอนเด็ก ฉันคงจะไม่ได้รับบาดแผลเพราะเรื่องแบบนั้นอีก แต่สุดท้ายฉันก็กำลังยึดติดกับคนทั้งสามโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุผลว่าเพราะฉันอยากมีชีวิตอยู่เพราะ ฉันจำเป็นต้องมีพวกเขาเพื่อมีชีวิตต่อไป และคาดหวังว่าจะมีคนที่จดจำช่วงเวลาที่ได้ใช้กับฉันมากขึ้น

 

“…ต้องระวังไว้หน่อยแล้ว”

 

ฉันมั่นใจว่าตอนแรกแค่จะรักษาความสนิทสนมไว้แต่พอดีและตั้งใจจะจากไปเมื่ออีริสมา แต่หัวใจก็สั่นไหวอยู่เรื่อย

 

‘จะยึดติดกับพวกเขาไม่ได้’

 

ฉันลองจินตนาการว่าสายตาที่เคยอ่อนโยนในคราวแรกค่อยๆ เย็นชาขึ้น เมื่อคิดว่าทั้งสามคนจะใช้สายตาแบบนั้นมองฉัน หัวใจข้างหนึ่งก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมา เป็นอย่างที่คิด ฉันกำลังพึ่งพาพวกเขาทั้งสามเป็นอย่างมากโดยไม่รู้ตัวแล้วจริงๆ

 

ฉันหลับตา นึกถึงทั้งสามคน จินตนาการถึงตัวฉันที่ยืนออกมาไกลๆ จากนั้นก็ขีดเส้นขึ้นในใจระหว่างตรงนั้น

 

เส้นที่ฉันจะต้องไม่ข้ามไป

 

******

 

ภาระงานของนักบุญหญิงถูกระงับไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมั่นใจความปลอดภัยในวิหารหลวง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลย วิหารหลวงวุ่ยวายถึงขนาดนี้ ฉันก็คงอยู่สบายๆ ไม่ได้

 

โดยเฉพาะยิ่งเป็นสถานการณ์ที่พลิกผันเพราะพลังเวทด้วยแล้ว เหล่าอัศวินที่เส้นประสาทตื่นตัวจนเฉียบคมเดินคุ้มกันในวิหารกันทั่วราวกับจะเกิดสงคราม ส่วนเหล่านักบวชก็พิจารณาร่องรอยของพลังเวทและพยายามเพื่อให้ทราบถึงแก่นของเวทมนตร์ขนาดใหญ่

 

และมีเรื่องอื่นที่กำลังรอฉันอยู่

 

“ทุกคน…จะลาออกอย่างนั้นหรือ?”

 

“ใช่ขอรับ พวกเขาบอกว่าในเมื่อนักบวชคาร์ลกลับมาแล้วก็ควรจะคืนกลับไป และยื่นคำร้องขอให้ส่งคืนตำแหน่งของพวกตนทั้งหมดขอรับ”

 

ฉันมองดูเอกสารที่ถูกยื่นมาด้านหน้า มันไม่ใช่แค่แผ่นสองแผ่น มันคือเอกสารหนึ่งมัดหนาที่ถูกเขียนด้วยลายมือทั้งหมด

 

‘พระเจ้าช่วย นี่คืองานที่คาร์ลเคยทำทั้งหมดอย่างนั้นเหรอ?’

 

แม้นักบวชหนึ่งคนรับผิดชอบหลายตำแหน่งจะไม่ใช่เรื่องที่พบได้ยาก แต่ขนาดนี้มันมากเกินไป

 

‘นี่เขาเคยรับตำแหน่งกี่ตำแหน่งกันแน่?’

 

ฉันจับกระดาษขึ้นมาเปิดผ่านๆ หนึ่งกำมือ แค่นี้ก็ราวๆ สิบแผ่นได้แล้ว นี่แสดงว่าตำแหน่งที่คาร์ลเคยรับผิดชอบมีประมาณสามสิบสี่สิบตำแหน่ง

 

“แล้วนักบวชคาร์ลว่าอย่างไร?”

 

“เขาบอกว่าอยากพบท่านนักบุญหญิงเป็นการส่วนตัวเพื่อสนทนาเรื่องนี้ขอรับ”

 

“เป็นการส่วนตัว…?”

 

ร่างกายพลันแข็งเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินว่าคาร์ลต้องการพบฉันเป็นการส่วนตัว

 

“ท่านเห็นว่าอย่างไร? ข้าคิดว่าควรฟังความคิดเห็นของเขาแล้วจัดการงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ขอรับ เพราะแค่นักบวชที่ดูแลไม่กี่ตำแหน่งหายไปก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้ทันที”

 

หน้าของนักบวชที่พูดแบบนั้นราวกับถามว่าฉันมัวทำอะไรอยู่ทำไมยังไม่รีบพบกับคาร์ลเป็นการส่วนตัวอีก

 

‘ทำยังไงดี’

 

นี่เป็นปัญหาที่ควรจะจัดการทั้งหมดเดี๋ยวนี้ ทว่าฉันยังไม่มีความคิดที่จะพบคาร์ลสองต่อสองแม้แต่น้อย ฉันเหลือบมองราธบันที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาเอ่ยปากพูดกับนักบวชก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรออกไป

 

“การพบท่านนักบุญหญิงเป็นการส่วนตัวไม่อาจทำได้จนกว่าจะยืนยันได้ว่าสาเหตุของพลังเวทที่ปกคลุมวิหารหลวงและทั่วทวีปตอนนี้คืออะไร”

 

คำพูดของราธบันทำให้ใบหน้าของนักบวชเคร่งครึมขึ้นเล็กน้อย

 

“นั่นนักบวชคาร์ลนะ?”

 

น้ำเสียงของนักบวชที่กล่าวเช่นนั้นอัดแน่นไปด้วยความเลื่อมใสที่มีต่อคาร์ลอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ราธบันตอบกลับไปราวกับนั่นไม่ใช่เรื่องของเขา

 

“จนกว่าเรื่องราวจะคลี่คลาย ข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”

 

เมื่อราธบันมีท่าทีไม่ยอมถอยโดยสิ้นเชิง นักบวชจึงกล่าวตอบรับ และบอกว่าจะไปถามคาร์ลอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป ผ่านไปไม่นานคาร์ลก็ตอบกลับมาว่าหากมีราธบันอยู่ด้วยเขากลับยิ่งโล่งใจ และยื่นคำร้องขอเข้าพบอีกครั้ง

 

เมื่อแอบถามราธบันแล้วพบว่าเขาไม่มีตารางงานอะไรเป็นพิเศษ ฉันจึงบอกว่าจะรีบพบคาร์ลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และแน่นอนว่าฉันจะเป็นคนกำหนดสถานที่พบเอง

 

‘ถึงจะเรียกว่าสถานที่พบ แต่อย่างไรก็คือห้องรับรองอยู่ดี’

 

แต่ทว่าถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกระแวงเป็นอย่างมาก ฉันจงใจเลือกห้องรับรองที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา เผื่อว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็สามารถรู้ได้จากด้านนอกทันที

 

ก่อนที่ฉันจะเข้าไปราธบันได้ตรวจสอบแล้วว่าด้านในไม่มีอะไรผิดปกติ

 

“นักบวชคาร์ลมาช้านะ”

 

ฉันคิดว่าเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างรักษาเวลา แต่เข็มบอกนาทีกลับเลยเวลานัดไปเล็กน้อยแล้วโดยไม่รู้ตัว สิ้นคำ ฉันก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังมุ่งมายังทางเดิน

 

“ผิดปกติ นี่มัน…”

 

ราธบันตรวจสอบเสียงที่กำลังเดินมาทางห้องรับรองทันทีก่อนจะมีสีหน้าเคลือบแคลง ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู และประตูเปิดออก

 

“เอ๋? เลออน?”

 

“หืม? ลีน่า?”

 

คนที่เปิดประตูเข้ามาคือเลออน

 

“มีเรื่องอะไรที่นี่หรือ? พวกเรานัดนักบวชคาร์ลไว้…”

 

“เป็นไปไม่ได้ ข้าเองก็มาที่นี่เพราะนัดนักบวชคาร์ลไว้เช่นกัน”

 

ภายในห้องเงียบสนิทไปชั่วขณะ เลออนเปิดปากพูดก่อน

 

“ห้องนี้ เก็บเสียงดีหรือไม่?”

 

“ไม่ค่อยดีเท่าไร ถ้าแค่เสียงพูดคุยกันยังพอได้ แต่ถ้าดังกว่านั้นด้านนอกก็น่าจะได้ยิน ใช่ไหม ราธบัน?”

 

ราธบันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ทันใดนั้น เลออนก็รีบเข้ามาใกล้ฉันอย่างรวดเร็ว

 

“เช่นนั้นเราควรพูดกันใกล้ๆ อีกหน่อย”

 

ขณะที่เลออนมานั่งลงด้านข้างฉันนั่นเอง

 

“อึก!”

 

จู่ๆ ความรู้สึกราวกับถูกฟ้าแลบก็แผ่ซ่านขึ้นมาจากเอวฉัน ร่างของฉันที่นั่งอยู่บนโซฟาล้มลงไปด้านหน้าแบบนั้น

 

“ท่านนักบุญหญิง!”

 

“ลีน่า!”

 

ราธบันและเลออนตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ และขณะที่เลออนซึ่งอยู่ตรงหน้ารีบเข้ามาพยุง ฉันก็รู้สึกเหมือนบริเวณด้านในต้นขา ตรงที่ที่มีรอยกำลังลุกไหม้

 

“ฮ อึก!”

 

ฉันยกมือขึ้นอุดปากเพราะเสียงร้องครางที่ดังออกมาทันที ทว่าเสียงนั่นก็ยังเล็ดลอดผ่านมือที่สั่นระริกราวกับสกัดไม่ได้ ผิวหนังที่อ่อนไหวขึ้นมาในพริบตากำลังร้องทุกข์ถึงความเจ็บปวด ฉันสั่นศีรษะอย่างบ้าคลั่ง มันเหมือนกับมีใครบางคนกำลังขบกัดไปทั่วทั้งร่าง และเหมือนกับกำลังโลมเลียขึ้นไปด้วยเช่นกัน

 

“ลีน่า เป็นไรหรือไม่?”

 

เสียงตกใจของเลออนดังขึ้นบนหัว ขณะเดียวกับที่ฉันสัมผัสได้ถึงแขนของเขาที่จับฉันอยู่ แขนที่ทั้งใหญ่ หนาและแข็งแรง ของของชายหนุ่มที่สามารถโอบรัดและเข้ามาเสพสุขกับฉันอย่างบ้าคลั่ง

 

ท้องน้อยบีบรัดตัว ฉันสัมผัสได้ว่าหว่างขากำลังเปียกชื้น

 

ฉันรู้จักร่างกายนี้ ส่วนนั้นของเขาที่เข้ามาในส่วนล่างของฉันอย่างบ้าคลั่งในห้องมืดมิด สิ่งที่ใหญ่และแข็งที่ปลดปล่อยความสุขสมของตนเองด้านในฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

 

“เลออน…”

 

ลมหายใจอ่อนระทวยออกมาจากปากที่ส่งเสียงครวญคราง มือของฉันที่หลุดออกจากปากเมื่อไรไม่รู้กำลังดึงคอของเลออนที่กอดฉันเข้ามา ถ้าฉันจูบเขาแบบนี้ เขาจะกอดฉันเหมือนตอนนั้นใช่ไหม อย่างบ้าคลั่ง อย่างดุเดือด จนกว่าฉันจะร้องไห้และร้องขอให้หยุด

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ

 

“ท่านนักบุญหญิง!”