บทที่ 170 ปราณหยางนพเก้าล้ำลึก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 170 ปราณหยางนพเก้าล้ำลึก

บทที่ 170 ปราณหยางนพเก้าล้ำลึก

ณ ห้องโถงใหญ่บนยอดเขาใจสัจธรรม

เป่ยเหิง หลิงคงจื่อ เสวียนจิง ชิงชิว และเฉินซี ต่างก็นั่งลงบนพื้น เนื่องจากสถานะของเฉินซีพิเศษเกินไป ที่นั่งของพวกเขาจึงไม่มีความแตกต่างมากนัก และอาจถือได้ว่าเป็นการสนทนาที่เท่าเทียมกัน

แน่นอนว่ามู่เหยาและมู่เหวินเฟยก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่ความอาวุโสของพวกเขายังต่ำเกินไป ดังนั้น เมื่อพวกเขาอยู่ในห้องที่มีแต่ผู้อาวุโส พวกเขาจึงเลือกนั่งที่ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบและฟังด้วยความเคารพ

เหตุผลที่เป่ยเหิงมาเยือนในครั้งนี้นั้นธรรมดามาก เพราะเขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า เฉินซีกำลังจะบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำ แต่ยังไม่มีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะปราณอันมีค่าที่ได้คัดสรรมาอย่างดีในทันที เคล็ดวิชามิติทมิฬนี้มีวิธีการบ่มเพาะจากขอบเขตเคหาทองคำไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพี มันเป็นเคล็ดวิชาลับอันล้ำลึกที่เป็นมรดกสืบทอดกันมาเนิ่นนาน

เฉินซีรู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อเห็นสิ่งนี้ และเขาก็รับมันมาอย่างไม่ลังเลเลย

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เขานั่งอยู่ที่ริมหน้าผาเพื่อบ่มเพาะคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ โดยหมกมุ่นอยู่กับวิถีของกระบี่อันไร้ขอบเขต และการบ่มเพาะของเขาอาจถือได้ว่าไม่ได้มีการพัฒนาเลยแม้แต่น้อย ทำให้การแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะปราณติดชะงักอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ที่เขาบ่มเพาะนั้นมีเพียงแนวทางการบ่มเพาะสำหรับขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงเก้าขั้นเท่านั้น และหลังจากที่เขาบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำ เรื่องที่สำคัญที่สุดย่อมคือการเลือกเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณ ส่วนเคล็ดวิชาแปรสภาพร่างกายนั้น เขาจำเป็นต้องเข้าไปในเคหาบ่มเพาะอีกครั้ง และให้จี้อวี๋คัดเลือกมันและมอบให้แก่เขาเอง

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเป่ยเหิงมอบเคล็ดวิชามิติทมิฬให้กับเขา อาจถือได้ว่าสามารถแก้ไขความต้องการที่สำคัญที่สุดของเฉินซีได้ และทำให้เขารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

เมื่อเป่ยเหิงเห็นเฉินซีพอใจ เขาก็มีความสุขเช่นกัน และรู้สึกว่าความพยายามของเขาไม่ได้สูญเปล่า อันที่จริง เคล็ดวิชามิติทมิฬนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่เป็นสิ่งที่เขาพบในแดนซ่อนเร้นของนิกายเต๋าแห่งหนึ่งที่กำลังจะถูกทำลาย ในระหว่างการเดินทางของเขา ทุกถ้อยคำในนั้นล้ำลึกและยากหยั่งถึง แต่เนื่องจากมันเข้ากันไม่ได้กับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เขาใช้ เขาจึงไม่เคยบ่มเพาะมันเลย ดังนั้นการมอบให้เฉินซีจึงถือเป็นการใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นเอง

ส่วนเหตุผลที่หลิงคงจื่อมาเยือนนั้นก็เพื่อให้ราชาอสูรทั้งสอง เสวียนจิงและชิงชิวได้พบกับเฉินซี และรำลึกถึงอดีต ในตอนนี้คนทั้งสองได้เข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว ร่างของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณแท้ และการบ่มเพาะของพวกเขาก็ได้บรรลุถึงขอบเขตจุติ ดังนั้น การที่พวกเขาได้เข้าร่วมกับนิกาย จึงทำให้ความแข็งแกร่งของนิกายเพิ่มพูนอย่างมหาศาล

แน่นอนว่าหลิงคงจื่อเองก็รู้ถึงเหตุผลที่ราชาอสูรทั้งสองเลือกเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ก็เป็นเพราะเฉินซีนี่เอง

แน่นอนว่า มันเป็นเพราะเฉินซี

เนื่องจากเฉินซีได้รวบรวมชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากจากห้วงลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ การบ่มเพาะของราชาอสูรทั้งสองจึงไม่ถูกยับยั้งอีกต่อไป และการบ่มเพาะที่สะสมมาหลายปีของพวกเขาก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาสามารถบรรลุขอบเขตจุติได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

อาจถือได้ว่าหากไม่ใช่เพราะเฉินซี การบ่มเพาะของพวกเขาทั้งสองคงทำได้เพียงแต่ติดค้างอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลไปตลอดชีวิต และในท้ายที่สุด พวกเขาก็จะต้องตายไปด้วยความเสียใจ อันเนื่องมาจากอายุขัยของพวกเขาได้หมดสิ้นลง อีกทั้งการช่วยเหลือของเฉินซีที่มีต่อพวกเขา ก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่ ดังนั้นพวกเขาจะลืมความช่วยเหลือนี้ไปได้อย่างไร?

เมื่อรวมกับการที่พวกเขาทั้งสองได้พเนจรไปทั่วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่า การจะบรรลุไปสู่ขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้นด้วยเพียงความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจที่จะเข้าร่วมนิกาย

และในขณะนั้นเอง เฉินซีก็ได้คว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน และยังได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเป่ยเหิง ผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ทำให้ข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไปทั่วทั่งดินแดนทางใต้ และลอยไปเข้าหูของราชาทั้งสอง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในทันที!

ในแง่หนึ่งพวกเขาสามารถพึ่งพาความสัมพันธ์ของพวกเขากับเฉินซี เพื่อรับตำแหน่งที่ดีในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ และการเข้าร่วมนิกายที่ทรงพลังอย่างนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ก็จะไม่นำความอับอายมาสู่ตัวตนของพวกเขาเช่นกัน ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง จึงทำให้เสวียนจิงและชิงชิวปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซีในวันนี้

การกลับมาพบกันของสหายเก่าถือเป็นโอกาสที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างร่ำสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเป่ยเหิงและหลิงคงจื่อเห็นสิ่งนี้ ก็ไม่ได้คิดรบกวนพวกเขาอีก และเพียงพูดคุยกันสักพักก่อนจะจากไปอย่างเงียบ ๆ

“เฉินซี เมื่อไม่กี่ปีก่อน พี่ใหญ่เสวียนเคยแอบทำนายดวงชะตาให้เจ้า เขาบอกว่าชะตากรรมของเจ้านั้นแปลกประหลาด อีกทั้งยังหาได้ยากในรอบหมื่นปี ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะถูกปกปิดโดยมหาเต๋าและความลับของสวรรค์ ทำให้เขาไม่สามารถทำนายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายได้ ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ!” เมื่อชิงชิวดื่มจนเมาเล็กน้อย ดวงตารูปดอกท้อของเขาก็หรี่ลง ในขณะที่เขากล่าวอย่างกะทันหัน

“ใช่ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ” เสวียนจิงจ้องมองไปยังเฉินซีอย่างแน่วแน่ขณะที่เขาถอนหายใจ “การทำนายนั้นกินอายุขัยของข้าไปถึงร้อยปี ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่ข้าไม่สามารถทำนายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายได้ ข้ากลับได้รับผลร้ายจากการทำนายและแทบจะสูญเสียชีวิตของข้าไป น้องชาย เดิมที หากข้าได้พบเจ้าอีกครั้ง ข้าคิดจะใช้ศาสตร์แห่งการทำนาย เพื่อชี้นำเส้นทางที่ปราศจากอุปสรรคไปสู่มหาเต๋าแก่เจ้า แต่ดูเหมือนว่าชะตากรรมของเจ้ากลับถูกปกปิดโดยความลับของสวรรค์ และไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนต่ำต้อยเช่นข้าจะสามารถแง้มดูได้”

เฉินซีตกตะลึง เขารู้ว่าร่างกายของเสวียนจิงนั้น มีสายเลือดของตระกูลเต่าเฒ่าที่สืบทอดมาจากยุคบรรพกาล ทำให้เสวียนจิงมีความรู้เกี่ยวกับการทำนายอย่างมากมาย และเสวียนจิงก็เชี่ยวชาญศิลปะการทำนายโชคชะตาเป็นพิเศษ ดังนั้นหากเขากล่าวเยี่ยงนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงมิใช่หรือ?

ในช่วงห้าปีที่เขาอนุมานคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ เฉินซีได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในการทำนายอยู่บ้าง เขาทราบดีว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต และตัวแปรต่าง ๆ ในชีวิตของสรรพสัตว์ในสวรรค์และโลกนั้นขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต โชค รูปลักษณ์และกรรม เพราะเหตุนี้เมื่อเขาได้รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองไม่อาจสรุปได้ ความตกใจของเขาก็ชัดเจนมาก

แต่สิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิตนั้น คล้ายกับโชคชะตาและชะตากรรม ซึ่งเป็นดั่งภาพลวงตาที่ดูเหมือนดอกไม้ในกระจก พระจันทร์ในน้ำ และยากต่อการเข้าใจ แม้ว่าเฉินซีจะไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขาเชื่อเสมอว่าโชคชะตาถูกกำหนดโดยสวรรค์ แต่มันถูกควบคุมด้วยมือของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นโชคลาภหรือภัยพิบัติล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการรับมือกับมัน

ถึงแม้ร่องรอยของความตกใจนี้จะวาบขึ้นในหัวใจของเขา แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ แม้แต่น้อย

“อ้อ! จริงสิ ข้าได้ยินมาว่า หลังจากเข้าร่วมพิธีแล้ว เจ้าวางแผนที่จะออกเดินทางหาประสบการณ์และขัดเกลาตนเอง เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีข้างหน้าหรือ?” เสวียนจิงรีบเปลี่ยนหัวข้อเมื่อเขาเห็นบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด

“ใช่แล้ว ยังมีเวลาอีกห้าปี แต่การบ่มเพาะของข้าในตอนนี้อยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น มีเพียงการท่องไปข้างนอกเพื่อหาประสบการณ์และขัดเกลาท่ามกลางการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่านั้น จึงจะสามารถพัฒนาการบ่มเพาะของข้าได้อย่างรวดเร็ว” เฉินซีพยักหน้า

“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ การปิดด่านบ่มเพาะนั้น ย่อมด้อยกว่าการออกไปหาประสบการณ์ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘โชคลาภและการพานพบโดยบังเอิญจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนคนหนึ่งออกเดินทางเพื่อบ่มเพาะและหาประสบการณ์’ ซึ่งในตอนนี้ เจ้ากำลังจะก้าวไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำ อีกทั้งยังต้องเริ่มดูดซับปราณหยินและหยางจากสวรรค์และโลก เพื่อขัดเกลาปราณแท้ของเจ้า และต้องหมุนเวียนหยินและหยางภายในร่างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ข้าคิดว่าเจ้าควรเดินทางไปยังห้วงทะเลทรายมรณะที่ถูกเรียกขานว่าเป็นดินแดนแห่งความตาย” เสวียนจิงแย้มยิ้มขณะที่เขากล่าว

“ห้วงทะเลทรายมรณะ?” เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเสวียนจิงจะพูดถึงสถานที่ดังกล่าว หลังจากเขาถูกไล่ตามโดยผู้บ่มเพาะของตระกูลซู ครั้งหนึ่งเขาจำเป็นต้องเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะอย่างหมดหนทาง ทำให้เขาไม่เพียงแต่ได้รับศิลาวิญญาณดาราจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังได้เข้าสู่สุสานกระบี่แดนนิพพานและได้พบกับหลิงไป๋…

“ถูกต้อง ห้วงทะเลทรายมรณะเป็นสมรภูมิของเหล่าทวยเทพและอสูรเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แม้ว่าพายุจะโหมกระหน่ำ พายุทรายคำราม หรือรอยแยกมิติที่มีข้อจำกัดอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ภายในนั้น แต่ยังมีแดนเร้นลับ ที่พำนัก และสถานที่ลึกลับซ่อนอยู่ระหว่างมิติจำนวนนับไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งข้าและชิงชิวเคยเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะเมื่อไม่กี่ปีก่อน และเราได้พบถ้ำที่บรรจุปราณหยางนพเก้าล้ำลึกอยู่ถัดจากธารหินหลอมเหลวของภูเขาไฟที่ปะทุตลอดทั้งปี หากเจ้าสามารถบ่มเพาะที่นั่นได้ เจ้าก็จะพัฒนาด้วยความเร็วอันน่าทึ่งอย่างแน่นอน”

ปราณหยางนพเก้าล้ำลึก?!

หัวใจของเฉินซีสั่นไหวทันทีเมื่อได้ยินถึงสิ่งนี้

ขอบเขตเคหาทองคำนั้น คือการดูดซับปราณหยินและหยางจากสวรรค์และโลก เพื่อขัดเกลาปราณแท้ในร่างกาย ทำให้หยินและหยางหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่ภายในและส่งเสริมการสร้างจิตวิญญาณและแก่นแท้ ปราณของหยินและหยางจากสวรรค์และโลกถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ หลายร้อยประเภท และปราณเหล่านี้ก็ถูกอัดแน่นอยู่ในสิ่งต่าง ๆ เช่น หินหลอมเหลว ผืนดิน แกนกลางของหิน และแม้แต่แก่นภายในร่างของสัตว์อสูร

ในบรรดาปราณเหล่านั้น ปราณหยางนพเก้าและปราณหยินนพเก้าล้ำลึกมีคุณภาพสูงล้ำที่สุด และเป็นตัวแทนของแก่นแท้ของปราณหยินและหยางจากสวรรค์และโลกทั้งมวล หากผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสามารถใช้ปราณล้ำลึกเหล่านี้ ซึ่งเป็นตัวแทนของหยินและหยางสุดขั้วเพื่อขัดเกลาปราณแท้ของพวกเขา คุณภาพของปราณแท้และความเร็วในการบ่มเพาะของคนผู้นั้นจะเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำคนอื่น ๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อผู้บ่มเพาะควบแน่นแกนทองคำของพวกเขา โอกาสของผู้บ่มเพาะในการประสบความสำเร็จจะเพิ่มขึ้นถึงห้าส่วน!

แต่ปราณหยางนพเก้าและหยินนพเก้าล้ำลึกนั้นหาได้ยากมากภายในโลก และพวกมันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถค้นพบได้ด้วยโชคและไม่อาจไขว่คว้ามาได้ ตอนนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าห้วงทะเลทรายมรณะมีปราณหยางนพเก้าล้ำลึกอยู่ภายในจริง ๆ เฉินซีจะไม่รู้สึกหวั่นไหวได้อย่างไร

‘ข้าต้องควบแน่นแกนทองคำของข้าภายในห้าปี เพื่อที่จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นข้าต้องบรรลุขอบเขตเคหาทองคำเสียก่อน หากข้าสามารถครอบครองปราณหยางนพเก้าล้ำลึก เพื่อขัดเกลาปราณแท้ของข้า แน่นอนว่าผลลัพธ์จากบ่มเพาะจะเพิ่มพูนเป็นสองเท่า ดูเหมือนว่าข้าจำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะแล้ว…’ เฉินซีครุ่นคิดเงียบ ๆ ก่อนที่ตัดสินใจว่า เมื่อการทดสอบเข้าของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรสิ้นสุดลง เขาจะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะในทันที

หลังจากสนทนากันไปอีกระยะหนึ่ง เสวียนจิงและชิงชิว ต่างก็กล่าวอำลา มีเพียงเฉินซี มู่เหยา และมู่เหวินเฟยเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่

หลังจากบ่มเพาะมาเป็นเวลาห้าปี มู่เหยาและมู่เหวินเฟยต่างก็บรรลุไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และถือได้ว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ จนทำให้ใคร ๆ ต้องอุทานด้วยความชื่นชม และเห็นได้ชัดว่า ระหว่างการบ่มเพาะของพวกเขาในตระกูลตู้ภายใต้การดูแลของตู้ชิงซี การปฏิบัติที่พวกเขาได้รับนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ชั้นยอดคนอื่น ๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นคนของตระกูลตู้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถพูดอะไร เกี่ยวกับการที่พวกเขาเลือกนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะบ่มเพาะในภายภาคหน้าได้

เฉินซีสนทนากับพวกเขาสองคนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะจัดให้พวกเขาอยู่ในห้องโถงรับแขก และตกลงจะพาพวกเขาสองคนเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกายในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่

ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ

เฉินซีตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ และฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่อยู่พักหนึ่ง หลังจากล้างตัวแล้ว เขาก็พามู่เหยาและมู่เหวินเฟยออกจากยอดเขาใจสัจธรรมไปด้วยกัน

แสงแรกแห่งรุ่งอรุณเผยขึ้นสู่ท้องฟ้า ภูเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบเหมือนควัน และเสียงนกร้องที่ใสกระจ่างสามารถได้ยินได้ทุกที่ เมื่อนกกระเรียนมงกุฎแดงกระพือปีกบินไปบนท้องฟ้า

ที่หน้าทางเข้าของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมและผู้คนที่ตื่นเต้นอย่างมีชีวิตชีวา

ณ ปัจจุบัน อาจถือได้ว่านิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นนิกายอันดับหนึ่งในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ที่ไม่อาจโต้แย้งได้ และยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยพลังที่ไม่ธรรมดา มันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะในหัวใจของเหล่าผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วน และพวกเขาก็ปรารถนาที่จะเป็นศิษย์ของนิกายแห่งนี้

ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกายจึงมีจำนวนนับไม่ถ้วน ควบคู่ไปกับสมาชิกในครอบครัว ผู้อาวุโส และองครักษ์ที่ติดตามชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้ และทูตที่มาเข้าร่วมพิธีจากนิกายอื่น ๆ ทำให้ทั่วทั้งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรกลายเป็นมหาสมุทรที่ก่อตัวขึ้นจากผู้คนมากมาย และเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่และงดงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

โอม! โอม! โอม!

บนยอดของประตูหลักของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ‘ระฆังกระบี่’ ขนาดมหึมาดังก้องกังวานถึงสามครั้ง มันดูคล้ายกับระฆังยามเช้าที่ดังก้องไปในสวรรค์และโลก และการทดสอบเข้านิกายก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

การทดสอบเข้านิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้น ได้รับการพัฒนามาตลอดหลายหมื่นปี จนสมบูรณ์แบบและเข้มงวดเป็นอย่างมาก การทดสอบนั้นแบ่งออกเป็นสี่รายการ ได้แก่ อายุ ความเข้าใจ ร่างกาย และเจตจำนง

ทุกรายการจะมีผู้อาวุโสและศิษย์ที่เชี่ยวชาญคอยดำเนินการและจัดการมัน แต่ เพื่อประหยัดเวลา ผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้แยกย้ายกันไป และเข้าร่วมทดสอบพรสวรรค์ของพวกผู้เยาว์ที่มาลงทะเบียนด้วยตนเอง ความเร็วในการทดสอบและแม้แต่การจัดการ ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่ได้ไปที่โถงทัศนา ซึ่งมีแขกทุกคนมาร่วมพิธีอยู่ แต่เขากลับพามู่เหยาและมู่เหวินเฟยเดินผ่านทางเข้าและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่กำลังมีการทดสอบเข้านิกายอยู่

ในขณะที่ทั้งสามกำลังเฝ้ารออยู่ท่ามกลางฝูงชน มีชายหนุ่มและหญิงสาวหลายร้อยคนที่ถูกคัดออกอย่างไร้ปรานี และพวกเขาต่างก็มีสีหน้าท้อแท้และหมดกำลังใจ ทำให้บรรยากาศเงียบงันโดยรอบตกอยู่ในคลื่นแห่งความกดดัน

เมื่อมู่เหยาและมู่เหวินเฟยเห็นสิ่งนี้ ก็ตกอยู่ในความประหม่าทันทีเช่นกัน เพราะเฉินซีเคยได้บอกพวกเขาก่อนที่จะมาที่นี่ว่า เขาจะไม่ดูแลทั้งสองในระหว่างการทดสอบเข้านิกายในครั้งนี้ และต้องอาศัยความสามารถของตัวเองเพียงเท่านั้น จึงจะสามารถผ่านการทดสอบไปได้ แต่หากไม่ผ่าน… เฉินไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้พี่น้องคู่นี้ตกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้