ตอนที่209 เงื่อนไขที่ยากเกินจะรับได้

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่209 เงื่อนไขที่ยากเกินจะรับได้

เหลียวเซียวหยุนกล้าที่จะเปิดห้องโรงแรมนอนกับจ้าวเฉียน และอีกนัยหนึ่งเธอก็อยากเห็นเช่นกันว่า จ้าวเฉียนจะคว้าโอกาสนี้ทำอะไรกับเธอหรือไม่

เมื่อเห็นจ้าวเฉียนเรียกเธอให้เขยือบเข้าใกล้ เหลียวเซียวหยุนก็เอ่ยถามขึ้นเจือท่าทีเขินอายว่า

“นี่นาย…นายจะทำอะไรน่ะ? ถ้ามีอะไรก็พูดตรงนี้เลย ฉันได้ยิน”

จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เธออยู่ไกลเกิน ขยับเข้ามาใกล้หน่อยสิ”

เหลียวเซียวหยุนก้มศีรษะมองลงพื้นอย่างเขินอาย ปราศจากคำตอบอันใดและเขยือบขึ้นไปนั่งบนเตียงใกล้กับจ้าวเฉียน

ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็เอื้อมแขนพาร่างของเธอนอนลง ภายในใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะแล้ว รีบพูดน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า

“อย่า…อย่านะ มันยังเร็วเกินไป…รึเปล่า?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ล่วงเกินอะไรเธอแน่นอน”

คล้อยหลังพูดจบ เขาก็เอนตัวก้มลงไปจูบอย่างแผ่วเบา

เหลียวเซียวหยุนหลับตาปี๋ดูเก้อเขิน แต่ก็ยังปล่อยให้จ้าวเฉียนประกบจูบต่อไปโดยไม่มีขัดขืน

ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นอนกอดกันและผล็อยหลับไปในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น เหลียวเซียวหยุนตื่นขึ้นมาก่อน เธอเห็นจ้าวเฉียนที่นอนอยู่เคียงกายอย่างมีความสุข คลี่ยิ้มหวานเฝ้ามองเขาหลับ

ประมาณสิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนก็ตื่นขึ้น ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พลันเห็นเหลียวเซียวหยุนกำลังมองมาที่ตน เขาพลิกตัวกดร่างของเธอไว้ข้างใต้ และเริ่มจูบเธออย่างดูดดื่มอีกครั้ง

“เธอมองอะไร? ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบึ้งตอบไปว่า

“ตื่นนานแล้ว นายนั่นแหละหลับได้หลับดีอย่างกับหมู”

จ้าวเฉียนหัวเราะอย่างมีความสุขกล่าวตอบไปว่า

“เห็นร่าเริงแต่เช้าฉันก็มีความสุข เมื่อคืนหลับสบายไหม? เสียดายจังที่เมื่อคืน…”

เหลียวเซียวหยุนรีบหยิบหมอนตีหน้าจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง บ่นขึ้นว่า

“ตาบ้า! ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว! ฉันจะกลับบ้าน!”

จ้าวเฉียนเคลื่อนมือล้วงไปใต้เสื้อนอนของเธอและคลึงหน้าอกหน้าใจของเธอเล็กน้อย พลางยิ้มตอบไปว่า

“เรามาต่อจากเมื่อคืนดีกว่า แล้วค่อยกลับบ้าน มาเร็วตัวน้อย…”

“อ๊ะ! นาย! ยะ-อย่านะ…เอามือออกไป งืออ…งืออ…ตาบ้า!”

…..

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เหลียวปี้เอ๋อร์ก็โทรสายหาจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนรีบหันไปจุปากให้เหลียวเซียวหยุนเพื่อให้เธอเงียบ และรับสายทันที

“ฮาโหลครับคุณเหลียว ตอนนี้ออกจากบ้านรึยังครับ?”

“ฉันออกมาแล้ว นายก็ก็ควรรีบหน่อย อย่าช้าล่ะ”

กดวางสายเสร็จ จ้าวเฉียนรีบลุกขึ้นจากเตียงขึ้นไปอาบน้ำ

เหลียวเซียวหยุนรีบเอ่ยปากเตือนจ้าวเฉียนโดยเร็ว

“นายระวังอย่าให้คุณป้าฉันจับได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นเธอฟ้องพ่อฉันแน่นอน”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า

“ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ทำเธอเสียหน้าแน่นอน เธอนอนพักเถอะ ผมจะออกไปทำธุระก่อน”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและคลุมผ้าห่มหลับไป

จ้าวเฉียนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบเดินทางไปที่บริษัทเรนเกล อินเวสเม้นท์ทันทีเพื่อเข้าพบเหลียวปี้เอ๋อร์

ระหว่างเดินทาง เขาก็โทรหาหู่เสี่ยวหัวเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดและสั่งให้เธอเตรียมการโดยด่วน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนขับไปถึงบริษัทเพื่อพาเหลียวปี้เอ๋อร์ เดินทางไปยังตึกฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ต่อ ทั้งจ้าวเฉียนและเหลียวปี้เอ๋อร์เข้าห้องประชุมนั่งรอหวู่เสี่ยวหัวที่กำลังจัดเตรียมเอกสารและข้อตกลง

พอทั้งสามเจอกันพร้อมหน้า ก็เป็นอันเปิดองค์ประชุมทันที

เหลียวปี้เอ๋อร์ประเดิมกล่าวก่อนทันทีว่า

“แม้บริษัทฉันกำลังประสบปัญหาอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ปลาใหญ่มารังแกได้หรอกนะ ดังนั้นอย่าชุบมือเปิปขโมยสิ่งที่ฉันกับสามีสร้างกันมาโดยเด็ดขาด”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“คุณเหลียวสบายใจได้ครับ พวกเราฟู่ไห่ดำเนินภายใต้พื้นคฐานความยุติธรรมเสมอ ตราบใดที่คุณยอมให้ความร่วมมือ ผลประโยชน์ที่ได้ย่อมพึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายแน่นอน เราไม่เคยชุบมือเปิปเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว นั้นไม่ใช่วิธีการของบริษัทเราครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยตอบไปว่า

“ที่หลานสาวฉันหลงนายหัวปักหัวปำขนาดนี้ เป็นเพราะนายพูดเก่งแบบนี้ใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนป้องปากหัวเราะเป็นมารยาท ยิ้มตอบไปว่า

“คุณเหลียวเป็นคนมีอารมณ์ขันดีจริงๆนะครับ นี่เป็นเพียงเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาเหมารวมแน่นอน และที่ผมพูดไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เอาล่ะ มาเข้าเรื่องธุรกิจต่อกันดีกว่าครับ”

หวู่เสี่ยวหัวแจกเอกสารแผนการลงทุนของฟู่ไห่ไปให้ทั้งคู่และกล่าวสรุปโดยย่อว่า

“ทางเราจะอัดฉีดทุนก้อนแรกเป็นจำนวน100ล้านหยวนทันทีที่เซ็นสัญญาเสร็จ แลกกลับหุ้นจำนวน51%จากทั้งหมด”

เหลียวปี้เอ๋อร์ได้ฟังแบบนั้นก็ค้านเสียงแข็งทันที ไม่ว่าพวกเขาจะให้เงินเท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือเธอไม่ยอมสูญเสียอำนาจการควบคุมบริษัทไปเด็ดขาด

หวู่เสี่ยวหัวกล่าวปลอบโยนว่า

“ฉันเข้าใจควางรู้สึกคุณเหลียวดีนะคะ แต่คุณเหลียวเองก็ต้องคำนึกถึงความเป็นจริงเช่นกัน การร่วมมือกับฟู่ไห่ของเราเป็นหนทางออกเดียวที่จะแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ หากยังยึดติดอยู่แบบนี้ บริษัทที่คุณร่วมกันสร้างกับสามีจะต้องล้มละลายแน่นอน”

เหลียวปี้เอ๋อย์โต้กลับทันที

“ยังมีบริษัทลงทุนอีกมากมายทั่วประเทศ หรือแม้แต่ในโลกนี้อีกไม่รู฿เท่าไหร่ ทำไมเราต้องยอมรับเงื่อนไขของฟู่ไห่แค่อย่างเดียว?”

จ้าวเฉียนจงใจใช้น้ำเสียงอ่อนเพื่ออธิบายเธอไปว่า

“คุณเหลียวพูดถูกนะครับ ยังมีอีกหลายบริษัทที่สามารถอัดฉีดเงินทุนให้บริษัทคุณได้ แต่จะมีสักกี่รายกันที่ยอมมาเจรจาด้วยแบบฟู่ไห่? ในฐานะนักลงทุน เมื่อพวกเขารู้ว่าบริษัทของคุณกำลังจะล้มละลาย พวกเขาย่อมกดราคาให้ต่ำที่สุดเพื่อบังคับคุณขายแน่นอน ถ้าไม่เชื่อลองไปติดต่อบริษัทอื่นก่อนได้นะครับ แล้วอีกอย่างชื่อเสียงของฟู่ไห่อยู่ในทิศทางใดคุณเหลียวเองก็น่าจะทราบ? มีกี่บริษัทแล้วที่ใกล้ล้มละลายแต่สุดท้ายฟู่ไห่ก็ช่วยไว้ได้จนกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก ทุกคำกล่าวของจ้าวเฉียนล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น ซึ่งเธอเองก็ไม่สามารถหักล้างคำพูดได้จริงๆ

แค่เธอพยายามที่จะสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองให้ถึงที่สุดเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอสิทธิ์การควบคุมบริษัทต่อไป

ดังนั้นเธอจึงกล่าวตอบไปว่า

“บริษัทนี้เป็นเสมือนหลักฐานความพยายามของฉันและสามี ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าให้ต้องเลือกจริงๆ ฉันยอมทำลายบริษัทนี้ด้วยมือตัวเอง ดีกว่าต้องยอมยกให้คนอื่น”

จ้าวเฉียนยิ้มและยังคงตัดสินใจใช้ไม้อ่อนต่อไป

“ผมคิดว่าครอบครัวของคุณเหลียวเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ผมอยากจะแนะนำให้คุณตัดสินใจเรื่องนี้โดยไม่นำตัวเงินมาเกี่ยวข้อง แต่เพื่อความอยู่รอดของบริษัทล้วนๆ ที่อื่นคงต้องการหุ้นส่วนของคุณไม่น้อยกว่า80%แน่นอน ยามฟื้นตัวกลับมาได้หรือพัฒนาขึ้นเป็นเท่าตัว คุณจะได้แค่200%จากทุนเดิม แต่พวกเราขอแค่51% นั้นหมายความว่า ผลตอบแทนที่คุณจะได้กลับมาจะสูงถึง490% หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ คุณเหลียวลองคำนวณดูแล้วคิดตอบผมสิครับว่ามันถูกต้องไหม?”

เหลียวปี้เอ๋อร์เข้าใจหลักการนี้ทุกประการ เธอเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายต้องการเข้ามาควบคุมบริษัทต่อถูกไหม?”

จ้าวเฉียนและคนอื่นๆต่างพยักหน้าตอบในทันที

เหลียวปี้เอ๋อร์ลุกขึ้นและกำลังจะจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง นักธุรกิจมากมายต่างคานเข่าขอร้องให้ฟู่ไห่มาร่วมลงทุน ดังนั้นแต่ละคนย่อมมีความหยิ่งผยองเป็นทุนเดิม กับแค่บริษัทใกล้ล้มละลายแห่งนี้ ทำไมพวกเขาต้องง้อ?

จ้าวเฉียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าวันนี้ไม่ได้ก็รอไปก่อนแค่นั้น ไม่สามารถตกลงได้จริงๆแค่รอจนกว่าบริษัทของเหลียวปี้เอ๋อร์ล้มละลาย หลังจากนั้นเขาก็แค่เข้าเสียบแทนตำแหน่งประธานต่อ

เดิมทีเหลียวปี้เอ๋อร์คิดว่า จ้าวเฉียนจะลุกขึ้นมาหยุดเธอไว้ และเธอจะยอมกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อเจรจาต่อรอง เผื่อว่าจะได้เงื่อนไขที่ดีขึ้นหน่อย แต่ที่ไหนได้เขากลับนนั่งนิ่งไม่แยแสใดๆเลยสักนิด

ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขึ้นหลังเสือและยากที่จะลงแล้ว ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปบริษัทที่เธอพยายามสร้างขึ้นมากับสามีจะต้องพังทลายไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน แต่เธอดันลุกออกมาแล้วนี่สิ! จะให้กลับไปนั่งนี่ไม่ต่างอะไรกับยอมแพ้ไปแล้ว สมแล้วที่เป็นฟู่ไห่ ความหยิ่งผยองนับว่าเป็นหนึ่ง!

แต่ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของเหลียวปี้เอ๋อร์ก็ดังขึ้น พอเธอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเหลียวเสี่ยวหยุนโทรเข้ามาหา

เหลียวเสี่ยวหยุนเอ่ยถามขึ้นทันใด

“คุณป้า สถานการร์เป็นไงบ้างค่ะ?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ตอบน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ป้ากำลังจะกลับแล้ว คนพวกนี้ไม่มีความจริงใจที่จะร่วมมือกับเราเลย ดูยังไงพวกเขาก็แค่ต้องการสิทธิ์การควบคุมต่อท่าเดียว แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ก็แย่แน่ ป้าควรทำยังไงดีเซียวหยุน?”

เหลียวเซียวหยุนเดือดขึ้นทันที เอ่ยตอบน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน! นายนี่มันแย่จริงๆ! ป้าค่ะ ขอสายคุยกับจ้าวเฉียนเองค่ะ ไม่…ไม่ต้อง เดี๋ยวนี้โทรไปด่าเขาเอง!”

เหลียวปี้เอ๋อร์ยิ้มตอบดูพึงพอใจอย่างมาก

“ดีมากหลานรัก ด่าให้หนัก!”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับโดยไว

“ไม่มีปัญหา! เดี๋ยวหนูจะโทรหาเดี๋ยวนี้และ!”

เหลียวเซียวหยุนกดสางสายไป และโทรหาจ้าวเฉียนต่อทันที

“ฮาโหล นี่นายกดดันป้าฉันมากเกินไปรึเปล่า?”

เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ก็ไม่มีมากเกินไปนะ แค่เสนอไปว่าทางฟู่ไห่จะอัดฉีดทุน100ล้านแลกกับหุ้น51% เราไม่สามารถโยนเงินจำนวนนี้ทิ้งไปเปล่าๆได้ อย่างน้อยที่สุดทางเราก็ต้องมีส่วนได้ส่วนเสียในการควบคุม”

“ลองคุยกับเธอดูอีกที ท่าทางคุณป้าเองก็สนใจไม่น้อยเหมือนกัน หลังจากวางสายใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์”

จ้าวเฉียนตอบตกลงพร้อมกดวางสายไป รีบลุกขึ้นเดินไปหาเหลียวปี้เอ๋อร์และพาเธอนั่งลง พลางนวดไหล่ให้คลายบรรยากาศตึงเครียดลง

“อย่าเพิ่งโมโหไปเลยครับคุณเหลียว เรามาเจรจากันดีๆเถอะครับ”

อันที่จริงเหลียวปี้เอ๋อร์ก็ไม่ต้องการจากไปแต่แรกอยู่แล้ว แค่เธอต้องการเงื่อนไขที่ให้ความเป็นธรรมกว่านี้เท่านั้น

ซึ่งตอนนี้เธอเองก็ทราบถึงทัศนคติของฟู่ไห่ที่มีต่อบริษัทตัวเองแล้วเช่นกัน พวกเขาไม่สนใจเลยว่าบริษัทของเธอจะเป็นเช่นไรต่อจากนี้ ยังดีที่มีจ้าวเฉียนไว้หน้าเธออยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างเชื่อฟังและหารือกันต่อไป