บทที่ 389 กลับบ้าน

คู่ชะตาบันดาลรัก

หลิวกงกงอยู่ต่ออีกไม่กี่วันก็เดินทางกลับเมืองหลวง ก่อนออกเดินทางได้นำของเล็กใหญ่มากมายที่เหลียงจางมอบให้ออกมา

ทั้งโสม เขากวาง บัวหิมะ ถังเช่า ไข่มุก หยกเขียว ปะการัง หินหมาเหน่า

หลิวกงกงหันกลับมามอบของที่ได้มาก่อนหน้าให้แก่หยางชู และพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจใส่ “ครั้งนี้คุณชายสามคงตกใจ ได้ยินมาว่ายาที่ท่านใช้บำรุงร่างกายหมดแล้วจึงนำของใหม่มาให้ขอรับ”

“น่าอายเสียจริง” หยางชูพูดอย่างสุภาพ

“ไอหยา ท่านไม่ต้องสุภาพกับบ่าวหรอกขอรับ บ่าวอยู่ในวังได้รับการดูแลจากเหนียงเหนียง การได้พบคุณชายสามไม่ใช่เรื่องง่ายนี่เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว จริงหรือไม่แม่ทัพเหลียง”

เหลียงจางยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง “จริง หลานรับไปเถอะ”

เขาแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกรอยยิ้มบนใบหน้าของหยางชู แต่จะทำอย่างไรได้ วันนั้นหลิวกงกงบอกชัดเจนว่าถึงแม้ฮ่องเต้จะจดบัญชีเขาไว้ในใจ แต่มีกุ้ยเฟยอยู่คงทำอะไรได้ไม่ง่ายนัก

อดทนไว้ก่อน ตั้งใจกราบไหว้พระโพธิสัตว์รอสะสมบุญให้มากก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีทีเดียว!

“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะนะ อาสวน กลับไปก็เซ่นไหว้สร้างศาลให้ท่านอาเป็นการขอบคุณด้วย!”

ใบหน้าของเหลียงจางเปลี่ยนไปเขาพูดว่า “หลานอย่าเล่นตลกเลยสร้างศาลเป็นเรื่องของคนตาย…”

“มีสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยไม่ใช่หรือขอรับ”

“…”

ตัวฝูเดินเข้ามาหาแล้วทำความเคารพ “คุณชาย คุณหนูบอกว่าอย่าทำให้หลิวกงกงล่าช้า ตอนนี้ยังไม่เช้าพวกเราควรออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ”

หยางชูยกพัดขึ้นตบหัวตนเองเบาๆ “เป็นความผิดข้าที่คิดไม่รอบคอบแค่อยากพูดกับสหายอีกสักหน่อยเพื่อผ่อนคลายความคิดถึงบ้านเกิดเท่านั้น”

หลิวกงกงเข้าใจดีจึงพูดว่า “ท่านอยู่ซีเป่ยคงลำบากมาก”

“ไม่ลำบากเลยๆ ตอนนี้เกาถางดีขึ้นมากแล้ว! ท่านกลับไปบอกฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงได้ ข้าอยู่ซีเป่ยสบายดีพวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวล”

“ขอรับ บ่าวจะทำตามคำสั่ง…” หลังจากพูดคุยกันมากมายในที่สุดหลิวกงกงก็ออกเดินทาง

กลุ่มคนที่เดินทางกลับเมืองหลวงหายลับไปจากถนนสายหลักหยางชูบิดเอวแล้วพูดว่า “ท่านอา เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน!”

เหลียงจางยิ้ม “ได้ ขอให้หลานเดินทางราบรื่น”

หยางชูโบกมือ “ขอบคุณขอรับ อ้อ..จริงสิ หากหมอเทวดาจงกลับมาแล้ว อย่าลืมเชิญเขามาที่เกาถางด้วยนะขอรับ”

“ได้ อาจะช่วยส่งข้อความไปให้” ทั้งสองสบตากันต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหมอเทวดาจงเยวี่ยคงไปเชิญมาไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่เคยมาที่เป่ยเทียนเหมินแต่แรกแล้ว

…………

เวลาผ่านไปครึ่งปีในที่สุดหมิงเวยก็ได้กลับมาที่สนามเลี้ยงม้า เมื่อเทียบกับตอนที่นางจากไปสนามเลี้ยงม้าเกาถางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในเมืองมีผู้คนเดินไปมา ถนนก็เต็มไปด้วยผู้คน จากประตูเมืองสู่สนามเลี้ยงม้าจะมีคนเดินถนนอยู่เสมอ คนขายของ คนเข็นเกวียน คนขี่ม้า เดิมทีขี่ม้าใช้เวลาเพียงครึ่งวัน แต่พวกเขาเดินทั้งวันเนื่องจากคนเยอะเกินไปจึงยากที่จะวิ่งได้

พระอาทิตย์เอนไปทางทิศตะวันตกหมิงเวยเห็นวังที่ตั้งอยู่ไกลออกไป หรือจะพูดว่าเป็นกำแพงเมืองเล็กๆ ดี ยังไม่ได้ขยาย แต่นอกประตูเมืองก็มีตลาดเกิดขึ้นแล้ว

กระโจมใหญ่ต่อแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีพ่อค้าที่เดินทางเข้าๆ ออกๆ มากมาย เมื่อกลุ่มของพวกเขาเดินทางเข้ามาใกล้ประตูวังก็เปิดออกพร้อมสะพานแขวนที่ถูกลดระดับลง พ่อค้าที่เห็นกลุ่มคนเดินทางเข้ามาใกล้ก็ส่งข่าวให้แก่กัน “ดูสิ คุณชายกลับมาแล้ว”

ข่าวกระจายไปทั่วตลาดอย่างรวดเร็วพ่อค้ากับเหล่าคนงานต่างรีบเร่ง บางคนต้องการเห็นรูปลักษณ์ของคุณชาย บางคนต้องการขายสินค้าให้คุณชาย สถานการณ์เกิดเสียงดังวุ่นวายตะโกนลั่นกันไปมา แต่ไม่มีผู้ใดดันกันเลยไม่วุ่นวายมากเท่าไรนัก

ทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณชายผู้นี้ชอบความหรูหรา แต่ก็เกลียดความไม่เป็นระเบียบ พวกเขาสามารถขายของได้มากเท่าที่ต้องการ แต่ถ้ากล้าเบียดเสียดจนวุ่นวายก็จะถูกลงโทษด้วยการไล่ออกจากเกาถาง

เนื่องจากจัดการโจรบนเขาเหยียนซานจนสะอาดเรียบร้อยแล้วเส้นทางการค้านี้จึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา หากไม่สามารถเดินทางบนถนนสายนี้ได้ต้นทุนการเดินทางก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดังนั้นหากทำเงินได้น้อยลงมากก็อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปโดยสิ้นเชิง

ยังไม่ทันที่คุณชายปรากฏตัว แต่คำพูดของพ่อค้าขนส่งสินค้าจากทางใต้ดึงดูดความสนใจของเขา รถม้าหยุดลง จากนั้นก็มีองครักษ์เดินเข้าไปพูดด้วยว่า “ท่าน พรุ่งนี้นำสินค้าไปที่จวนเจ้าเมืองด้วย”

พ่อค้าสินค้าดีใจมาก และกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า “ขอรับ ขอบคุณคุณชายมากที่ให้โอกาสข้าน้อย ขอบคุณคุณชาย…”

เมื่อองครักษ์เดินจากไปพ่อค้าคนอื่นๆ ก็เบียดเข้ามาหา พ่อค้าบางคนที่ขายสินค้าไม่เหมือนอีกฝ่ายมาทำความสนิทสนมด้วย โดยหวังว่าเขาจะนำสินค้าของตัวเองไปด้วยไม่แน่ว่าคุณชายอาจจะซื้อไปด้วยก็ได้

ผู้ใดจะรู้ว่าคุณชายผู้นี้จะใจกว้างเช่นนี้ ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างเมือง คำสั่งซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจนถึงตอนนี้ก็ยังคงดำเนินการอยู่ เพียงแต่ไม่ได้รับทุกอย่างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ขอเพียงได้เข้าจวนเจ้าเมืองก็ไม่ได้ออกมามือเปล่าแน่นอนไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลก็สามารถทำรายได้มากมายจนสามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้ทันที กลุ่มคนเดินผ่านสะพานแขวนอย่างราบรื่น และเข้าไปในป้อมปราการ

เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมืองรถม้ายังไม่ทันหยุดเสียงของอาหว่านก็ดังขึ้น “คุณชายกลับมาแล้ว!”

หยางชูลงจากรถม้า เขายิ้มแล้วตบหัวนางเบาๆ “ข้าไม่อยู่พวกเจ้าสบายดีหรือไม่”

“แน่นอนเจ้าค่ะ พวกเราปกป้องเรือนจนแม้แต่ลมก็ย่างกรายเข้ามาไม่ได้!”

หยางชูหัวเราะเสียงดัง “เช่นนั้นจะหายใจออกหรือ”

หมิงเวยลงจากรถนางมองจวนเจ้าเมืองที่สร้างขึ้นใหม่แล้วพยักหน้า “ไม่เลวเลยทีเดียว”

โหวเหลียงเดินกะโผลกกะเผลกลงจากรถม้าเขาตบหน้าอกแล้วพูดอย่างโอ้อวดว่า “แผนผังของตระกูลโหวได้สร้างวังที่ดีที่สุดขอรับ” หมิงเวยเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเข้าไป

โหวเหลียงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับสายตาของนางจึงถามตัวฝู “แม่นางตัวฝู แม่นางหมิงมองเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ข้าพูดอะไรผิดหรือ”

ตัวฝูพูด “ท่านกลับไปรักษาบาดแผลของท่านก่อนเถิดไม่เช่นนั้นเดี๋ยวแผลปริอีก…”

พูดถึงเรื่องนี้คนที่ฟังก็เศร้าคนเห็นก็ร้องไห้จุดที่โหวเหลียงบาดเจ็บนั้นตำแหน่งไม่ค่อยดีเท่าไร ขานั่งไม่ได้เขาทำได้แค่นอนคว่ำ แต่นิสัยคนจะเปลี่ยนไปง่ายๆ ได้อย่างไร ในตอนที่เข้าห้องน้ำไม่สามารถนอนคว่ำได้บาดแผลของเขาในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ปริออกไปแล้วสามครั้ง…

โหวเหลียงเช็ดน้ำตาไม่คิดพูดประจบสอพลอต่ออีกเขารีบกลับไปพักผ่อนทันที

“เป็นอย่างไรบ้าง ใช้ได้หรือไม่” หยางชูพาหมิงเวยเดินไปรอบๆ

“ได้อยู่เจ้าค่ะ” ในแง่ของขนาดมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับตำหนักในเมืองหลวง อย่างไรก็ตามมันถูกสร้างขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งปีก็ถือว่ากว้างขวางพอที่จะอยู่อาศัยได้อย่างสบาย

“จริงสิ ห้องของข้าล่ะเจ้าคะ” เมื่อนางถามหยางชูก็ทำตัวอ้อยอิ่ง

ตัวฝูตาเป็นประกายวาววับ “คุณชายหยาง ท่านคงไม่ต้องการให้คุณหนูของบ่าวพักด้วยกันกับท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ”

อาหว่านที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็พูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าคุณชายเป็นคนเช่นไร แน่นอนว่านางต้องมีห้องเป็นของตนเอง!”

“อ้อ” ตัวฝูถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี”

นางคิดว่าคุณชายเป็นคนไร้เกียรติจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แต่ตัวฝูก็พบว่าตนเองรู้สึกละอายใจเร็วเกินไป หมิงเวยมีห้องเป็นของตนเองเพียงแต่ในจวนเจ้าเมืองขนาดใหญ่นี้ ขนาดอาหว่านยังมีเรือนเป็นของตนเอง แต่ห้องของหมิงเวยกลับอยู่ข้างห้องของคุณชาย…