ตอนที่ 104 เยี่ยนรู้สึกยินดีปรีดาเบิกบานใจเป็นที่สุด! / ตอนที่ 105 นางต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็มาหาข้า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 104 เยี่ยนรู้สึกยินดีปรีดาเบิกบานใจเป็นที่สุด! 

 

 

ในตอนแรกเป่ยเฉินอี้ตั้งใจมุ่งหน้าไปชายแดน เดิมทีสมควรเป็นการต่อสู้อย่างดุเดือด ถึงแม้ว่ามาจนถึงวันนี้เซี่ยโหวเฉินยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของเป่ยเฉินอี้ แต่หลังจากเป่ยเฉินอี้ไปถึงชายแดนก็ไม่สมควรปล่อยให้เยี่ยเม่ยกลับมาอย่างปลอดภัย ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

 

 

เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ล้วนผิดปกติไปหมด

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เป่ยเฉินอี้ย้ายศพจงเจิ้งซีออกจากจวน จู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนท่าทีคิดจะแต่งงานกับเยี่ยเม่ยอย่างกะทันหัน หากบอกว่าเป็นเพราะใบหน้าของเยี่ยเม่ยเหมือนกับจงเจิ้งซีไม่มีผิดเพี้ยน ก่อนหน้า เซี่ยโหวเฉินยังพอเชื่อ แต่มาตอนนี้เป่ยเฉินอี้ไม่ได้แต่งกับเยี่ยเม่ยแล้ว เขายังช่วยเรื่องอำนาจทางทหารอีก เรื่องราวแต่ละอย่างๆ หากบอกว่าทำไปเพราะใบหน้านั้นก็เกินเหตุไปแล้ว

 

 

เหวยซื่อเห็นเซี่ยโหวเฉินมีท่าทางหนักใจ คล้ายตั้งใจครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่จึงไม่ถามมากความอีก

 

 

……

 

 

จวนองค์ชายสี่

 

 

เมื่อเยี่ยเม่ยได้รับข่าวว่าเซี่ยโหวเฉินไปจวนองค์ชายใหญ่ก็อึ้งไปแล้ว จนถึงตอนนี้เยี่ยเม่ยยังไม่เคยประมือกับเซี่ยโหวเฉินมาก่อน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉินก็ย่อมไม่ควรดูแคลนได้

 

 

ถึงแม้จะห่างชั้นกับเป่ยเฉินอี้ที่อยู่นอกราชสำนักเป่ยเฉิน ก็ยังได้รับการเคารพยกย่องจากใต้หล้าว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่ง แต่ระดับสติปัญญาย่อมไม่อาจดูแคลน หากเขามองอะไรบางอย่างออกขึ้นมา เรื่องราวจะยิ่งยุ่งยาก

 

 

เมื่อนางกลับจวนตัวเอง ก็เรียกลั่วซิงเฉินที่ถูกจับตัวมานานแต่ยังไม่ได้ใช้งานออกมา

 

 

ลั่วซิงเฉินโอดครวญเป็นรอบที่ร้อยว่าตัวเองถูกใช้งานไม่คู่ควรกับความสามารถ นางสั่งให้เขาไปถามความคิดเห็นที่จงซานมีต่อเซี่ยโหวเฉิน

 

 

ไม่นานลั่วซิงเฉินก็กลับมารายงานว่า “จงซานตอบว่า เมื่อมีเซี่ยโหวเฉินอยู่คิดจะหลอกเป่ยเฉินเสียงนานก็คงเป็นไปไม่ได้! ที่หลอกมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ช้าเร็วอย่างไรเป่ยเฉินเสียงก็ต้องระแวงสงสัยในตัวจงซาน นี่คือเรื่องที่คาดเดาได้ แต่ว่าสิ่งที่จงซานกังวลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นฐานะของท่าน ไม่รู้ว่าเซี่ยโหวเฉินพอจะรู้ตื้นลึกหนาบางบ้างหรือยัง!”

 

 

เมื่อเขากล่าวออกมาเยี่ยเม่ยก็มุ่นคิ้ว “ความหมายจงซานคือ…”

 

 

“ความหมายของเขาคือ เซี่ยโหวเฉินอยากฉวยโอกาสนี้มองพิรุธเรื่องฐานะท่านออก เรื่องที่ท่านหน้าตาเหมือนกับจงเจิ้งซี เซี่ยโหวเฉินและฮ่องเต้ต่างก็รับรู้ สิ่งที่ท่านชนะได้ในตอนนี้ก็คือ เคราะห์ดีที่เสินเซ่อเทียนไม่เคยเห็นภาพเหมือนจงเจิ้งซี ฮ่องเต้ก็ไม่เคยตรัสเรื่องนี้กับเสินเซ่อเทียนด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากองค์ชายสี่หลอกใช้ เสินเซ่อเทียนได้สำเร็จ เสินเซ่อเทียนอาจเป็นกำลังช่วยเหลือพวกเรา แต่ว่าระยะเวลาก็คงไม่ยาวนานนัก !”

 

 

ลั่วซิงเฉินรายงานคำพูดของจงซานออกไปจนครบหมดในไม่ช้า

 

 

สีหน้าเยี่ยเม่ยนิ่งสงบลง ความจริงนางเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีกำแพงที่กันลมได้ คู่มือของพวกนางก็ไม่ใช่ชนชั้นต่ำต้อย ถึงแม้เป่ยเฉินเซี่ยวและเป่ยเฉินเสียงโง่งม แต่ว่าข้างกายพวกเขากลับมียอดฝีมือ

 

 

ครั้นเห็นสีหน้าของเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลั่วซิงเฉินกล่าวต่อว่า “ใต้เท้าจงซานยังบอกอีกว่า เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องช้าเร็วที่ต้องเกิดขึ้น กระดาษห่อไฟไม่มิด ท่านก็ต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ!”

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว!”

 

 

จากสถานการณ์ตอนนี้ก็คือ เสินเซ่อเทียนรับรู้เรื่องนี้ช้าอีกหน่อย นางก็มีโอกาสชนะมากขึ้น ดังนั้นนางย่อมไม่หวังให้เสินเซ่อเทียนรู้ความ แต่ในเมื่อเขาต้องรู้แน่ อย่างนั้น…สิ่งที่จะเกิดยังไงก็ห้ามไม่ได้ ปล่อยไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน

 

 

“องค์ชายสี่!” บ่าวที่ยืนหน้าประตูคำนับ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินเข้ามาในห้องช้าๆ เขายังคงรักษาท่วงท่าสง่างามดังเคย คล้ายกับแมวเปอร์เซียสูงศักดิ์ ดูไปแล้วอารมณ์ดีไม่เลว

 

 

เยี่ยเม่ยจึงเอ่ยปากถามว่า “เรื่องสำเร็จแล้วหรือ”

 

 

ตั้งใจไปล่อลวงเสินเซ่อเทียน นี่เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย อีกฝ่ายฉลาดเป็นกรด แต่ว่าด้วยความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็น่าจะไม่มีปัญหากระมัง

 

 

“แน่นอน!”

 

 

เขาเป็นคนที่เข้าใจเสินเซ่อเทียนมากที่สุด เข้าใจอีกฝ่ายมากกว่าเสด็จพ่อของเขาเสียอีก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ว่าเสินเซ่อเทียนต้องการอะไร เฝ้ารออะไร อยากเห็นอะไร ทั้งระแวงเรื่องอะไร

 

 

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเขารู้จักเสินเซ่อเทียนมานาน ส่วนเสินเซ่อเทียนกลับไม่รู้เป้าหมายของพวกเขา

 

 

คิดดูแล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงจะควบคุมไว้ได้ชั่วคราว อีกทั้งเขายังรับปากช่วยพวกเรา แต่ว่าเขาไม่ใช่คนโง่ หลอกไม่ได้นาน ดังนั้นพวกเราต้องเร่งลงมือและระวังมากเป็นพิเศษ!”

 

 

“อืม!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า จงซานมีความเห็นไปในทางเดียวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เช่นนั้นก็ต้องยิ่งเพิ่มความระวังแล้ว

 

 

ลั่วซิงเฉินที่อยู่ด้านข้าง อดทนไม่ไหวเอ่ยว่า “ข้าไม่สนว่าพวกท่านระวังหรือไม่ระวัง กลับกันงานหยุมหยิมเช่นนี้ ภายหน้าไม่ต้องเรียกใช้ข้าอีกแล้ว ข้าเป็นถึงผู้สืบทอดของราชาพิษ เจ้ากลับสั่งให้ข้าเป็นเด็กส่งสาร!”

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “เสี่ยวจิ่วออกไปช่วยข้าทำงานแล้ว คาดว่าอีกหลายเดือนกว่าจะกลับ ดังนั้นงานส่งข่าวคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าคอยติดตามข้าทำไม กินข้าวเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ ช่วงนี้ไม่มีคนวางยาพิษ ข้ากลัวว่าเจ้าจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า!”

 

 

ลั่วซิงเฉิน “…?” อย่าทำแบบนี้จะได้ไหม! เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าก็ดีสิ เขาหาใช่คนที่ต้องการหาคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว ทุกวันนี้อาศัยในจวนองค์ชายสี่ มีกินมีดื่มมีคนปรนนิบัติไม่ดีหรือไง ยังแสวงหาคุณค่าอันใดกันอีกเล่า! เขาไม่ต้องการคุณค่าที่ถูกยัดเยียดมาให้!

 

 

ขณะที่ลั่วซิงเฉินคิดจะคัดค้านสักสองประโยค

 

 

เยี่ยเม่ยก็กล่าวต่อ “อีกอย่างเสี่ยวจิ่วเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ชื่อเสียงของเขาเจ้าคงเคยได้ยินสินะ เจ้าเป็นศิษย์ของราชาพิษ ถึงจะร้ายกาจ แต่ว่าชื่อเสียงของเสี่ยวจิ่วด้อยกว่าเจ้าหรืออย่างไร เขายังคอยวุ่นส่งข่าวให้ข้าไม่ใช่หรือ หรือเจ้าคิดว่าเจ้าร้ายกาจกว่าเขา เช่นนั้นรอเขากลับมาข้าจะให้เขาประมือกับเจ้าดูสักหน่อย”

 

 

“ไม่ต้องแล้ว!” ลั่วซิงเฉินโบกมือเป็นพัลวัน เขาเป็นผู้ใช้พิษถึงจะร้ายกาจ แต่เขากินอิ่มนอนหลับสบายเกินไปหรือไงถึงคิดประมือกับนักฆ่าอันดับหนึ่ง

 

 

มีชีวิตก็ดีแล้วนิ ทำไมต้องแส่หาเรื่องใส่ตัวด้วย!

 

 

ดังนั้นเขารีบตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่างานส่งข่าวนี่ก็ดีเหมือนกัน ถึงงานนี้จะไม่…ยิ่งใหญ่นัก แต่อย่างน้อยก็เรียกได้ว่า ค่อนข้าง…ปลอดภัย ปลอดภัย!”

 

 

นี่คือข้อดีที่เขาพยายามหาได้ยากจากงานหยุมหยิมพรรค์นี้!

 

 

งานส่งข่าวอย่างไรก็ปลอดภัยกว่าประมือกับจิ่วหุนมากนัก

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า ปลอบว่า “ในเมื่อเจ้าคิดได้เช่นนี้ ข้าก็ดีใจ คนเราต้องรู้จักแสวงหาความสุขในความทุกข์ เมื่อหาข้อดีของงานส่งข่าวได้ ในใจเจ้าก็คงสบายขึ้นมาก!”

 

 

“ถูกต้อง ข้าสบายใจมากแล้ว!” ลั่วซิงเฉินกุมอกสัมผัสถึงจิตใจอันดีงามของตนเอ่ยวาจาผีสางพรรค์นี้ออกมา “ยังมีงานอื่นให้ข้าวิ่งไปทำอีกไหม หากไม่มี ข้าผู้แสนสุขสบายก็ขอตัวไปพักผ่อนแล้ว ความจริงงานนี้ก็เหนื่อยมาก!”

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “เจ้าไปเถอะ หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกหา!”

 

 

“ได้!”

 

 

ลั่วซิงเฉินเพิ่งจะก้าวเท้าออกไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่สงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งค่อยถามว่า “จิ่วหุนจากไปแล้วหรือ ไปกี่เดือนกัน”

 

 

“อืม!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างยินดี “เยี่ยนรู้สึกยินดีปรีดาเบิกบานใจเป็นที่สุด!”

 

 

เยี่ยเม่ย “…!”

 

 

 

 

ตอนที่ 105 นางต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็มาหาข้า

 

 

ต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ

 

 

ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวจิ่วกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรองดองกันแล้วหรืออย่างไร ทำไมพอเสี่ยวจิ่วจากไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เบิกบานขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าเมื่อก่อนนางมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความเอือมระอา เอ่ยว่า “พวกเราไปจัดการเรื่องช่วยซือหม่าหรุ่ยตามหาเซียวชินกันเถอะ!”

 

 

“ได้!”

 

 

   ……

 

 

หมู่ตึกกูเยว่

 

 

ระยะนี้ดูเหมือนว่ากูเยว่อู๋เหินจะสงบลงมากแล้ว ไม่พูดถึงเรื่องดื่มสุราอีก ซินเยว่เยี่ยนค่อยคลายใจได้ ช่วงนี้นางเฝ้าอยู่ที่หมู่ตึกกูเยว่ไม่ไปไหนเพราะเกรงว่าน้องชายของตนจะคิดไม่ตก

 

 

ในวันนี้กูเยว่อู๋เหินเพิ่งเดินออกจากห้อง

 

 

หลายวันแล้วที่ซินเยว่เยี่ยนไม่เห็นเขาย่างกรายออกมาจากห้องเลย ครั้นวันนี้เห็นเขาออกมาได้ นางก็ยิ่งคลายใจ

 

 

เดิมทีนางยังคิดว่ากูเยว่อู๋เหินจะไปหาเยี่ยเม่ยใช่หรือไม่

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาหาได้คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย

 

 

เขายังคงเป็นเหมือนช่วงที่ได้พบกับเยี่ยเม่ย สั่งให้เฉิงฉู่จุดกำยานเตรียมบรรเลงพิณ ใช้ฉากกั้นลมบังแสงอาทิตย์ นิ้วเรียวยาวจรดบรรเลงพิณ เสกสรรเสียงดนตรีสดใสจากมือของเขา

 

 

เขายังนิ่งสงบเกินกว่าใคร ราวกับผู้เป็นนายแห่งเสียงนั้นยังคงไม่ยี่หระต่อปัญหาอื่นใด เยี่ยเม่ยก็ดี เรื่องอื่นก็ช่างล้วนมิได้อยู่ในใจเขา

 

 

ซินเยว่เยี่ยนนั่งฟังอยู่ด้านนอกฉากบังลม แอบคิดอยู่ในใจว่าตัวนางสามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้แล้วใช่หรือไม่ ดูเหมือนว่าอู๋เหินจะไม่ใส่ใจแล้ว

 

 

เขากลับสู่สภาพเดิมตอนที่ยังไม่ได้พบเจอเยี่ยเม่ย ดูเหมือนปกติมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางยังกังวลอันใดอยู่อีก

 

 

ผู้อื่นก้าวข้ามแผลใจมาได้แล้ว ฮ่องเต้ไม่ร้อนรน ขันทีอย่างนางจะรีบไปทำไม! ในขณะที่ซินเยว่เยี่ยนใช้ความคิด เสียงพิณของกูเยว่อู๋เหินพลันหยุดชะงักลง

 

 

เส้นเสียงเรียบเฉยของเขาดังขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “หากอยู่ในหมู่ตึกเบื่อแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นเถอะ”

 

 

คำพูดนี้ย่อมกล่าวกับซินเยว่เยี่ยน ชั่วขณะนี้นางรู้สึกคลายใจ ผ่อนคลายไปทั้งร่าง นางอึดอัดจริงๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้รู้สึกว่าอึดอัดจนแทบบ้าตายแล้ว  

 

 

แต่เพราะกังวลว่าอู๋เหินจะเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงไม่ก้าวไปไหนสักก้าว

 

 

ยามนี้อู๋เหินก็บอกให้นางออกจากบ้านได้แล้ว นางย่อมผ่อนคลายมาก หัวเราะเบิกบานเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ มีเรื่องอะไร เจ้าก็ตามข้ากลับมา!”

 

 

“ยามที่นางต้องการความช่วยเหลือ ก็กลับมาหาข้า”

 

 

กูเยว่อู๋เหินเอ่ยคำพูดประโยคนี้ด้วยเสียงเบามาก

 

 

หลังจากกล่าวจบแล้ว เสียงพิณบรรเลงขึ้นอีกครั้ง

 

 

ซินเยว่เยี่ยนใจกระตุกรัดเกร็ง สงสัยว่าเมื่อครู่นางฟังผิดไปหรือเปล่า แต่เมื่อเสียงพิณดังขึ้นมาอีกครั้ง นางถามกลับไปก็ไม่เหมาะแล้ว อืม…เช่นนั้นก็น่าจะฟังไม่ผิดกระมัง

 

 

คำว่านางคงจะหมายถึงเยี่ยเม่ยแล้ว!

 

 

แต่ว่าอู๋เหินรู้ได้อย่างไรว่าหลังจากนางออกไปแล้วจะไปหาเยี่ยเม่ยกัน

 

 

คิดเช่นนี้ก็ไม่ผิด ในยุทธภพนางมีสหายไม่น้อย แต่ก็ไม่นับว่ามาก ส่วนใหญ่ต่างก็รวมตัวอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย ในเวลาแบบนี้ นอกจากไปหาเยี่ยเม่ยแล้ว นางก็ไม่มีที่ไปอื่นอีก

 

 

คงไม่ใช่ว่าอู๋เหินคาดเดาว่านางจะไปหาเยี่ยเม่ย ถึงยอมปล่อยให้นางที่อยากออกไปข้างออกไปได้หรอกกระมัง

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนมุมปากกระตุก

 

 

“ก็ได้ ข้ารู้แล้ว!”

 

 

   ……

 

 

จวนเซี่ยชูมั่ว

 

 

เมี่ยวเจินถือกระดาษหลายแผ่น เดินกลับห้องด้วยอาการหวาดหวั่น เอ่ยว่า “ท่านหญิง ท่านไม่ให้ข้าถามก็เพราะจะทำเช่นนี้หรือ”