เนื่องจากฮูหยินใหญ่เลี่ยวกำลังจะเร่งเดินทางมาจิงเฉิงเพื่อประกอบพิธีครบร้อยวันให้กวนเกอเอ๋อร์ เช่นนั้นพิธีครบรอบเดือนก็คงไม่อาจจัดอย่างใหญ่โตเกินไป หลังจากเลี่ยวเส้าถังและโจวชูจิ่นหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าตอนครบรอบเดือนของกวนเกอเอ๋อร์จะเชิญเพียงญาติสนิทมารับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อหนึ่งก็พอ รอให้ถึงวันพิธีครบร้อยวันค่อยส่งเทียบเชิญไปให้พวกญาติๆ และสหายสนิททั้งหลาย
หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นจึงวุ่นอยู่กับพิธีครบรอบเดือนของกวนเกอเอ๋อร์ขึ้นมา
จู่ๆ เฉิงเก้าก็มาถึงจิงเฉิงอย่างกะทันหัน ยังเข้าพักที่โรงเตี๊ยมมีระดับข้างๆ ซอยอวี๋ซู่อีกด้วย
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบสั่งการให้พ่อบ้านไปย้ายหีบสัมภาระของเฉิงเก้ามาที่นี่ ยังกล่าวอย่างขุ่นเคืองด้วยว่า “พี่ชายเก้ามาถึงจิงเฉิง จะไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมได้อย่างไร เหตุใดพอพวกข้าออกมาจากซอยจิ่วหรูแล้ว พี่ชายเก้าก็ทำตัวเหินห่างกับพวกข้าเช่นนี้!”
เฉิงเก้าเห็นนางยังคงอ่อนโยนและงดงามเหมือนเมื่อก่อน หัวใจที่แขวนเอาไว้ถึงได้วางลงมา
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าเป็นนายหญิงของซอยอวี๋ซู่ได้แล้ว” เขากล่าวเย้าโจวเสาจิ่น “เดิมทีข้าตั้งใจมาช่วยทำพิธีครบรอบเดือนให้กวนเกอ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเจ้ากลับตัดสินใจจะทำในวันครบร้อยวันแทน ข้าคงไม่อาจรั้งอยู่จนถึงตอนนั้นได้ เดือนหน้าพี่ชายอี้ของเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ข้าต้องเร่งกลับไปช่วยงาน!”
เฉิงเก้าเป็นญาติผู้พี่ของโจวชูจิ่น ทว่าหลี่ซื่อกลับมิใช่อาหญิงของเฉิงเก้า เฉิงเก้ามาเยี่ยม เป็นธรรมดาที่หลี่ซื่อจะต้องเลี่ยงออกไป ทำให้เรื่องการรับรองแขกนี้ตกมาเป็นความรับผิดชอบของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วอดไม่ได้กล่าวขึ้นอย่างขออภัยว่า “วันครบรอบเดือนของกวนเกอเอ๋อร์และวันงานแต่งงานของพี่ชายอี้ใกล้กันยิ่งนัก เดิมทีไม่คิดว่าจะมีคนจากทางจินหลิงมาร่วมด้วย จดหมายที่ส่งไปจึงค่อนข้างล่าช้า ครั้งนี้ลำบากพี่ชายเก้าต้องเหนื่อยมาที่นี่แล้ว ต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ! พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่อบ้านไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่ชายเก้าให้ทั่ว พี่ชายเก้าอยู่ที่จิงเฉิงสักสองสามวันแล้วค่อยเดินทางกลับดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงเก้ากล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่เป็นผู้ใดกันที่พอได้ยินว่าข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมก็ร้อนรนขึ้นมา ตอนนี้กลับเกรงใจที่จะรั้งข้าให้อยู่ด้วยอย่างเกรงใจเช่นนี้…ไม่เหมือนเป็นพี่ชายน้องสาวกันเลยสักนิด เจ้าควรจะไล่ข้ากลับไปทันทีหลังจากที่เสร็จจากพิธีครบรอบเดือนของกวนเกอถึงจะถูก!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่าขึ้นมา
เฉิงเก้ามองนางด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม สีหน้ามีความสุข ลดเสียงลงกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าอยู่จิงเฉิงสักระยะหนึ่งดีหรือไม่ ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปให้หมด แล้วใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุข เจ้าไม่ติดค้างอะไรตระกูลเฉิงของพวกข้าทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่ตระกูลเฉิงเหล่านั้นอีก”
น้ำตาของโจวเสาจิ่นเกือบจะร่วงหล่นลงมา
เฉิงเก้ามาจิงเฉิงไม่ไปพักที่ซอยซิ่งหลิน แต่ไปพักที่โรงเตี๊ยมแทน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีของจวนสี่ที่มีต่อเรื่องที่เกิดขึ้นที่โพรงหินนั้นแล้ว
นางยังมีอะไรต้องร้องขออีกเล่า
โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจว่า “พี่ชายเก้า ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้เฉิงสวี่จะเคยทำร้ายข้ามาก่อน แต่ข้าก็ยังจำความเมตตาของตระกูลเฉิงที่มีต่อข้าได้อยู่ นอกจากนี้ข้าไม่ได้รู้สึกว่าข้ามีความผิดอะไร แล้วเหตุใดข้าถึงไปมาหาสู่กับคนตระกูลเฉิงไม่ได้เล่า ข้าไม่เพียงต้องไปมาหาสู่กับคนตระกูลเฉิงที่ดีต่อข้าเหล่านั้นเท่านั้น ข้ายังต้องไปมาหาสู่กับพวกเขาด้วยความมั่นใจในความถูกต้องของตัวเองอีกด้วยเจ้าค่ะ” ขณะที่นางกล่าวนั้น ก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองดูเคร่งเครียดมากเกินไปเล็กน้อย จึงเอ่ยเย้าหยอกยิ้มๆ ว่า “พี่ชายเก้าคงไม่ได้คิดจะเลิกไปมาหาสู่กับข้านับจากนี้เป็นต้นไปหรอกกระมัง”
เฉิงเก้าเห็นนางไม่มีความขุ่นเคืองใจต่อเรื่องก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย จึงยิ้มออกมา กล่าวกับนางอย่างจริงใจว่า “ดูแล้วเป็นข้าเองที่ใช้จิตใจอันคับแคบของคนต่ำต้อยไปวัดความคิดอันกว้างใหญ่ของบัณฑิต เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร หากต้องหลบซ่อนก็เป็นคนที่กระทำผิดเหล่านั้นที่ต้องหลบซ่อน หากต้องละอายใจก็เป็นคนที่กระทำผิดเหล่านั้นที่ต้องละอายใจถึงจะถูก”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี
เฉิงเก้าถึงได้บอกนางว่า “พี่ชายสวี่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลหมิ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกฮูหยินหยวนน่าจะเดินทางมาจิงเฉิงช่วงเดือนสี่ เพื่อจัดเตรียมงานแต่งงานกับคุณหนูของตระกูลหมิ่น”
พี่ชายเก้าคงกลัวว่าหากนางบังเอิญได้เจอเฉิงสวี่ที่จิงเฉิงแล้วจะอึดอัดใจกระมัง
เนื่องจากตระกูลเฉิงและตระกูลโจวเป็นญาติที่มาเกี่ยวดองกัน คนยังไปมาหาสู่กันอยู่ โอกาสที่จะได้พบกันจึงเป็นไปได้มาก
โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นใจ เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาด้วยหรือไม่ ข้าคิดว่าตระกูลเฉิงจะต้อนรับเจ้าสาวคนใหม่ที่จินหลิงเสียอีก”
“ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มา” เฉิงเก้ากล่าว “ได้ยินท่านย่ากล่าวว่า บ้านเดิมของเจ้าสาวคนใหม่อยู่ฝูเจี้ยน ไกลเกินไป จึงตั้งใจจะแต่งงานออกเรือนที่จิงเฉิง ฮูหยินหยวนเห็นใจตระกูลฝั่งเจ้าสาว ดังนั้นจึงตัดสินใจต้อนรับเจ้าสาวคนใหม่ที่จิงเฉิง ฤกษ์แต่งงานกำหนดเป็นเดือนเก้าของปีนี้ รอให้เจ้าสาวคนใหม่กลับจากเยี่ยมบ้านเดิมแล้วค่อยพาเจ้าสาวคนใหม่กลับไปกราบไหว้บรรพชน และทำความเคารพบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลาย”
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยเจ้าสาวคนใหม่และคนที่มาส่งตัวเจ้าสาวจะได้ไม่ไปได้ยินข่าวลือหรือคำให้ร้ายอะไรเข้า ตระกูลเฉิงยังได้แสดงความเอาใจใส่ต่อตระกูลหมิ่นอีกด้วย
เพียงแต่ว่าทำให้เจ้าสาวคนใหม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น ต้องวิ่งวุ่นทั้งสองฝั่ง
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เมื่อก่อนนางยังเคยสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นเป็นคนเช่นไร แต่ว่าตอนนี้ นางไม่มีความสนใจต่อเรื่องของเฉิงสวี่เลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่จิตใจใคร่รู้สักนิดก็ไม่มีแล้ว
เฉิงเก้าจึงเอ่ยถึงเรื่องของเฉิงลู่ขึ้นมา “…เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”
“ทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเคยได้ยินพี่เขยเอ่ยถึงแล้ว”
เฉิงเก้าจึงยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าชื่นชมเซียงชิงเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าแม้นเขาจะไร้บิดาตั้งแต่ยังเด็ก ทว่ากลับมีจิตใจอ่อนโยน ขยันศึกษาเล่าเรียน เป็นคนที่ทำการใหญ่ได้ผู้หนึ่ง ฉะนั้นเมื่อเห็นเขาปฏิบัติกับเจ้าอย่างดี ยังคิดว่าเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก…ผู้ใดจะรู้ว่าข้ากลับมองคนผิดไป…เรื่องที่เขาขายทรัพย์สินของตระกูลเพื่อไปติดสินบนฝ่ายการศึกษานั้นข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่ที่เขาละทิ้งมารดาผู้ให้กำเนิดนั้น ข้าจินตนาการไม่ออกจริงๆ…”
โจวเสาจิ่นกล่าวปลอบโยนเขาว่า “พี่ชายเก้าเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์และกตัญญูรู้คุณ จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจการกระทำอันโหดร้ายเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานเช่นนี้ของเขาเจ้าค่ะ!”
เฉิงเก้ายังคงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย บอกนางว่า “เนื่องจากมารดาของเขาเป็นฮูหยินมานานหลายปี อยู่ที่อารามชีไม่กี่เดือนก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว มาขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง อยากให้ซอยจิ่วหรูช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีพให้นาง ผู้อาวุโสจากหลายๆ จวนล้วนไม่ให้ความสนใจนาง เพียงส่งมามาออกหน้าไปไล่นางด้วยเงินไม่กี่เหลี่ยงเท่านั้น ได้ยินว่านางกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมช่วงหนึ่งก็ถูกพวกหลานชายและภรรยาไล่ออกมา เงินทองยังถูกหลานชายสองสามคนหลอกเอาออกไปจุนเจือพวกหลานชายทั้งหลายอีกด้วย จึงได้แต่ต้องกลับไปอยู่ที่อารามชี นอกจากนี้ผู้อาวุโสในตระกูลตัดสินใจแล้วว่าจะขับไล่เฉิงลู่ออกจากวงศ์ตระกูล ก่อนข้ามาได้ทำพิธีบอกกล่าวบรรพชนเรียบร้อยแล้ว เวลานี้น่าจะส่งรายงานไปถึงทางการแล้ว”
ไม่ต่างอะไรกับชาติก่อน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าชาตินี้เฉิงลู่จะได้พบกับผู้อุปถัมภ์ที่ยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเขาและยังช่วยเขาก่อร่างสร้างกิจการของตัวเองผู้นั้นอยู่หรือไม่
โจวเสาจิ่นทอดถอนใจหายครั้งหนึ่งแล้วก็ปล่อยผ่านไป นางเดินนำเฉิงเก้าไปดูกวนเกอ
โจวชูจิ่นยังออกมารับลมไม่ได้ แม่นมจึงอุ้มทารกน้อยออกมาให้เขาดู
ทารกน้อยผิวขาวอ้วนจ้ำม่ำทำให้เฉิงเก้าหลงรักเสียจนไม่อยากละจาก ทำให้โจวโย่วจิ่นที่มาดูกวนเกอเช่นกันวิ่งวนอยู่รอบๆ อย่างร้อนรน “ท่านน้าเก้าๆ ข้าเองก็อยากดูด้วยๆ!”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา
โจวเสาจิ่นบอกนางว่า “ผู้นี้คือพี่ชาย!”
โจวโย่วจิ่นมองเฉิงเก้าอย่างไม่เข้าใจ และไม่ยอมเรียก
เฉิงเก้าหัวเราะอย่างหนัก ลูบศีรษะของนาง วางทารกน้อยลงบนตั่ง
โจวโย่วจิ่นจึงย่อตัวนั่งลงข้างๆ มองกวนเกอตาไม่กะพริบ ยังบอกเฉิงเก้าด้วยว่า “ท่านไปแหย่หน้าเขาไม่ได้ เขาจะเจ็บมากๆ ได้”
เฉิงเก้าหัวเราะจนงอหงาย เอ่ยขึ้นว่า “นี่คงเป็นคำพูดที่มารดาของเจ้าว่าเจ้าไว้เมื่อวานกระมัง”
โจวโย่วจิ่นไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดว่าอะไร เบิกดวงตาโตมองเขาอย่างว่างเปล่า
ทำให้เฉิงเก้ารู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก อุ้มโจวโย่วจิ่นเอาไว้กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “น้องสาวคนเล็กของเจ้าผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างไร้ทางเลือกเล็กน้อยว่า “ฮูหยินบอกให้นางพูดมาโดยตลอด แต่นางก็ไม่พูด ไม่คาดคิดว่าพอนางเห็นกวนเกอเท่านั้นก็เริ่มพูดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเวลาพูดจายังพูดได้เป็นประโยคๆ ทำให้พวกข้าล้วนตกใจกันเป็นการใหญ่”
“ตอนเจ้าเป็นเด็กก็เป็นเช่นนี้” เฉิงเก้ากล่าวย้อนรำลึกความหลัง “ตอนนั้นพวกเรายังคิดว่าเจ้าเป็นใบ้เสียอีก ทำให้ท่านย่าเป็นกังวลใจยิ่งนัก นอนไม่หลับไปหลายคืน”
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่หยุด
แม่นมอุ้มทารกน้อยกลับเข้าไปห้องชั้นใน โจวโย่วจิ่นก็ตามเข้าไปในห้องชั้นในด้วย
โจวเสาจิ่นส่งเฉิงเก้าออกจากเรือนหลัก
เบื้องหน้าได้พบกับเลี่ยวเส้าถังที่เร่งกลับมาอย่างรีบร้อนหลังจากได้รับข่าวแล้ว
เลี่ยวเส้าถังดึงตัวเฉิงเก้าไปดื่มสุราอย่างกระตือรือร้น
โจวเสาจิ่นจัดเตรียมอาหารให้พวกเขา
ตกเย็น นางได้ยินข่าวว่าเฉิงฉือกลับเข้าเมืองหลวงมาแล้ว
มาเร็วกว่าที่เฉิงฉือเคยบอกเอาไว้หนึ่งเดือนกว่า
โจวชูจิ่นยิ้มเบิกบานพร้อมกับกล่าวอย่างคาดเดาว่า “หรือว่าจะเร่งกลับมาทำพิธีครบรอบเดือนให้กวนเกอของพวกเรา?”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น กล่าวยิ้มๆ ว่า “บางทีอาจเป็นเพราะว่าจัดการธุระด้านนอกเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง”
“ก็อาจจะเป็นไปได้” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน พวกเราก็ต้องไปเยี่ยมท่านน้าฉือสักครั้งถึงจะถูก เพียงแต่ว่าข้ายังอยู่เดือนอยู่ ไม่สะดวกออกไปข้างนอก เจ้าไปเป็นตัวแทนของพวกเราสักครั้งก็แล้วกัน รอให้ข้าออกจากการอยู่เดือนแล้ว ข้าค่อยไปกล่าวขอบคุณท่านน้าฉือก็ยังไม่สาย”
โจวเสาจิ่นจึงส่งเทียบไปที่ซองอวี๋เฉียน
ไม่นานก็ได้รับข่าวกลับมาจากทางด้านนั้น พรุ่งนี้เชิญนางไปเป็นแขกที่บ้าน
อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น โจวเสาจิ่นตั้งอกตั้งใจเลือกเสื้อเจี๋ยอ่าวบุฝ้ายผ้าไหมหังโจวสีม่วงอ่อนไร้ลวดลายและกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีเขียวมันวาวขอบกระโปรงกว้างลายดอกไม้ บริเวณเอวห้อยเครื่องประดับจิ้นปู้ทำด้วยหินโมราสีแดงเป็นพวงองุ่นเอาไว้หนึ่งชิ้น เส้นผมสีดำม้วนขึ้นบนหลังศีรษะ ประดับด้วยมงกุฎดอกไม้ทำจากทองฝังอัญมณีล้ำค่า นั่งเกี้ยวไปที่ซอยอวี๋เฉียน
ระหว่างทางนางเลิกผ้าม่านเกี้ยวขึ้นสำรวจเส้นทางไปซอยอวี๋เฉียนไปตลอดทาง
ซอยอวี๋เฉียนอยู่ใกล้กับซอยอวี๋ซู่มากจริงๆ
ทั้งสองซอยกั้นเอาไว้ด้วยถนนใหญ่เพียงหนึ่งเส้น นั่งเกี้ยวก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น
ไม่ต่างจากซอยอวี๋ซู่ที่เลี่ยวเส้าถังและโจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ บ้านที่เฉิงฉืออาศัยอยู่ในซอยอวี๋เฉียนก็เป็นบ้านที่มีลานขนาดเล็กหนึ่งวงเท่านั้น ประตูทางเข้ามีบานศิลาที่สลักอักษร ‘ฝู’ กลับด้านขนาดใหญ่เอาไว้หนึ่งคำ บนพื้นปูด้วยกระเบื้องศิลาเข้าชุดกัน หน้าประตูชั้นในปลูกต้นกุ้ยเอาไว้สองต้น กำแพงสีขาวขุ่น เสาสีแดง หน้าต่างสีเขียว ตรงกลางลานสร้างซุ้มองุ่นเอาไว้ ด้านล่างเป็นโต๊ะและม้านั่งหิน ด้านข้างมีอ่างเลี้ยงปลากระเบื้องเคลือบลายครามอยู่หนึ่งอ่าง ไม่ต้องดูก็รู้ได้ว่าภายในเลี้ยงปลาทองหลายตัวเอาไว้
โจวเสาจิ่นอดยู่ปากไม่ได้
ท่านน้าฉือเป็นคนพิถีพิถันผู้หนึ่ง แต่เหตุใดถึงไม่เอาใส่ใจสถานที่ที่ตัวเองจะพักอาศัยอยู่ถึงเพียงนี้นะ
หรือว่าที่นี่ก็เป็นเพียงสถานที่ที่เขาคิดจะพักเพียงชั่วคราวเท่านั้น?
คนที่ออกมาต้อนรับนางคือไหวซาน
เขากล่าวด้วยอาการไม่ค่อยสบายใจนักว่า “คุณหนูรอง เดิมทีนายท่านสี่กำลังรอท่านอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นายท่านผู้เฒ่าซ่งจะมาหาอย่างกะทันหัน ลากนายท่านสี่ไปดูแผนที่ทางอุทกวิทยาอะไรสักอย่างที่ห้องหนังสือกันอยู่ คงต้องรบกวนท่านไปนั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนแล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร
ตอนอยู่บนเรือไปเขาผู่ถัวนั้นนางก็รู้แล้วว่าเฉิงฉือและนายท่านผู้เฒ่าซ่งหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้มากเพียงใด
นางยิ้มพร้อมกับเดินตามไหวซานไปที่ห้องรับแขก ไหวซานรินน้ำชาให้นางด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นมองสำรวจห้องรับแขก
ตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง เครื่องเรือนเคลือบน้ำมันสีดำ บนชั้นวางของมีค่ามีของวางประดับเอาไว้เพียงไม่กี่ชิ้น ดูเป็นไปตามขนบที่ควรจะเป็นไม่มีอะไรแปลกใหม่
บางทีอาจจะเป็นเพราะสัมผัสได้ถึง ‘ความไม่ชอบใจ’ ของโจวเสาจิ่น ไหวซานเอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีนายท่านสี่ซื้อบ้านอยู่ที่ประตูเฉาหยางเอาไว้หลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังใหญ่ขนาดสี่วง ซึ่งเป็นบ้านของใต้เท้าหลิวอดีตข้าหลวงดูแลการค้าเกลือแห่งไหวอัน นายท่านสี่ยังให้คนมาบูรณะปรับปรุงใหม่หนึ่งรอบเป็นพิเศษ ใช้เวลาไปค่อนข้างมาก แต่ผู้ใดจะรู้ว่าก่อนเดินทางมาจิงเฉิง นายท่านสี่กลับเปลี่ยนใจ มาซื้อบ้านขนาดเล็กอีกหลังทางด้านนี้ด้วย อยู่ใกล้กับคุณหนูรองทางด้านโน้นก็จริง เพียงแต่ว่าไม่ทันได้จัดการตกแต่งบ้านหลังนี้เท่านั้น ของส่วนใหญ่ยังคงเป็นของเดิมที่เจ้าของคนเก่าทิ้งเอาไว้ ระเกะระกะไม่เป็นระเบียบยิ่ง นายท่านสี่มิได้สั่งการ จื่อผิงจึงไม่กล้าตัดสินใจตกแต่งเพิ่มเข้าไปด้วยตัวเอง ทำให้คุณหนูรองได้เห็นเรื่องขำขันแล้ว”
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าวอยู่ครู่หนึ่ง
อยู่ใกล้กับคุณหนูรองอีกนิด…จะเป็นเพราะเหตุผลนี้ฉะนั้นถึงได้มาซื้อบ้านอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนอย่างกะทันหันหรือไม่นะ
นางใจเต้นตึกตัก กว่าครู่ใหญ่ก็ไม่อาจทำให้สงบลงมาได้
…………………………………………………………