บทที่ 203 ส่งนางจากไปอย่างสงบ

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 203 ส่งนางจากไปอย่างสงบ

ในมิช้าทั้งสามคนก็เดินทางมาถึงตำหนักอู๋ขู่

เมื่อยืนอยู่ด้านนอกตำหนักอู๋ขู่ หนานหว่านเยียนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความกดอากาศต่ำในห้อง

นางดึงเสื้อผ้าที่สวมใส่เข้ามาให้แนบชิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสื้อคลุมด้านนอกนี้เป็นของกู้โม่หาน

กู้โม่หานมิได้กล่าวสิ่งใด เขารีบเดินตรงเข้าไปในตำหนักอู๋ขู่อย่างรวดเร็ว

หนานหว่านเยียนก็เดินๆ ตามเขาไปด้วย

บัดนี้ภายในห้องบรรทม มีผู้คนมากมายยืนอยู่

ใบหน้าของกู้จิ่งซานดูเคร่งขรึม ฮองเฮายืนอยู่ข้างกายเขาด้วยท่าทางอันซับซ้อน

เมื่อนึกย้อนไปในวังหลัง มีเพียงสตรีนางนี้เท่านั้นที่กล้าโต้แย้งกับนาง ทะเลาะกันไปมาทุกๆ วัน

บัดนี้หยีเฟยนอนอยู่บนเตียงมาสิบกว่าปี จู่ๆ หากจะจากไป ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย……

สวีหว่านหยิงและองค์ชายสิบยืนเงียบ ดวงตาแดงเรื่อ

อ๋องเฉิงและพระชายา มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

หนานชิงชิงมองไปยังหยีเฟยซึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาอันมีความสุข

เดิมทีนางกับอ๋องเฉิงกำลังอยู่ในจวน ได้ยินพ่อบ้านเข้ามารายงานว่าหยีเฟยจะมิไหวแล้ว นางก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ

นางกำลังกังวลใจว่าจะหาวิธีใดมาจัดการหนานหว่านเยียนดี บัดนี้เป็นอย่างไรเล่า จู่ๆ หยีเฟยก็กำลังจะสิ้นใจ หากว่ากู้โม่หานโมโหหงุดหงิดขึ้นมา คนแรกที่เขาจะจัดการก็คือหนานหว่านเยียน

นางมิจำเป็นต้องลงมือจัดการด้วยตนเอง ก็สามารถจัดการกับหนานหว่านเยียนได้ ดังนั้นนางจึงต้องเดินทางมาดูอย่างแน่นอน

ดังนั้นจึงได้เข้าวังมาพร้อมกับอ๋องเฉิง

บัดนี้อ๋องเฉิงขมวดคิ้วเข้าหากัน สายตาจ้องมองไปยังผู้ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

เมื่อย้อนไปยังวัยเยาว์ ฮองเฮามักเข้มงวดกับเขาเสมอ และทุกครั้งที่ถูกพระนางลงโทษ เขาก็จะมาที่ตำหนักของหยีเฟย มาเล่นกับกู้โม่หาน

หยีเฟยปฏิบัติกับเขาดุจดั่งลูกที่ให้กำเนิดเอง ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็เห็นนางเป็นเหมือนมารดา

การที่หยีเฟย นอนอยู่บนเตียงมานานนับสิบปีนี้ บอกตามตรงว่าเขาเองก็ปวดใจ

หากมิใช่เพราะกู้โม่หานกระทำการอย่างเด็ดขาดเช่นนั้น เขาก็คงจะมิทำให้กู้โม่หานลำบากใจ อย่างน้อยก็ยังไว้ชีวิต……

ภายในห้อง บรรยากาศดูกดดันและหนักหน่วง

หยีเฟยที่นอนอยู่บนเตียงดูท่าทีอ่อนแอ เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย

เมื่อกู้โม่หานเข้ามาในห้องนอน เห็นสีหน้าอันซีดเผือดของหยีเฟยหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับมีใครใช้มีดแทงมาด้านใน เขาคุกเข่าลงต่อหน้ากู้จิ่งซาน “คารวะเสด็จพ่อ!”

หนานหว่านเยียนก็คุกเข่าลงไปเช่นกัน

ทุกคนหันไปมองตามต้นเสียง เมื่อพบอ๋องอี้และพระชายา หนานชิงชิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไปกะทันหัน

นางเห็นริมฝีปากของหนานหว่านเยียนแดงบวม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ที่สำคัญก็คือหนานหว่านเยียนสวมเสื้อผ้าของกู้โม่หานอยู่

ส่วนกู้โม่หานมิได้สวมเสื้อคลุมด้านนอก เมื่อครู่ทั้งสองทำอะไรอยู่ เดาได้มิยาก

แววตาของหนานชิงชิงฉายแววริษยาอย่างแรง

กู้จิ่งซานเหลือบมองมาทางกู้โม่หานและหนานหว่านเยียน สายตาจับจ้องไปยังเสื้อคลุมบุรุษตัวใหญ่ที่หนานหว่านเยียนสวมเอาไว้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้ทั้งสองลุกขึ้นยืน

เขาถอนหายใจออกมา แล้วเอามือไขว้หลัง

“ลุกขึ้นดูเสด็จแม่ของพวกเจ้าเถิด เรื่องในวันนี้ข้ามิได้บอกไปยังไทเฮา เนื่องจากพระนางอายุมากแล้ว เกรงว่ามิอาจรับได้กับเรื่องนี้”

กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนลุกขึ้นยืน องค์ชายสิบร้องไห้ออกมา “พี่หก หยีเฟยเหนียงเหนียงคงมิอยากให้พี่เศร้าโศกเสียใจ จงทำใจเถิด!”

หยีเฟยเหนียงเหนียงเป็นผู้อาวุโสที่น่ารักยิ่งนัก องค์ชายสิบจำได้ดีว่าหยีเฟยเหนียงเหนียงเคยให้ขนมลูกกวาดแก่เขา บัดนี้นางพยายามต่อสู้มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจทนได้ ……

เขารู้สึกปวดใจแต่ก็ทำได้เพียงปลอบโยนกู้โม่หานมิให้เขาเศร้าโศกจนเกินไป

กู้โม่หานกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาแดงเรื่อ ทำใจหรือ?

เขามองไปทางหมอหลวง “หมอหลวงเจียง จงบอกกับข้ามาว่าบัดนี้อาการของเสด็จแม่เป็นอย่างไร”

หมอหลวงเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้างเป็นคนที่รักษาเสิ่นอี่ว์ในตอนนั้น และชื่นชมหนานหว่านเยียนเป็นยิ่งนัก

เขาส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ทูลอ๋องอี้ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้หยีเฟยเหนียงมีอาการจับไข้สูงมิลด จวบจนกระทั่งบัดนี้ เกรงว่าวาระสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว นางมิอาจทนต่อไปได้……”

คำตอบนี้มิได้ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากหยีเฟยใช้ชีวิตเช่นนี้มาสิบกว่าปีแล้ว หากนางจะล่วงลับเสียบัดนี้ก็มิน่าแปลก

กู้จิ่งซานถอนหายใจอย่างช่วยมิได้ ก่อนจะหันกลับไปมองดูสองแม่ลูก ฮองเฮาและอ๋องเฉิงเพียงเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อย

มีแต่หนานชิงชิงเท่านั้นที่แอบเย้ยหยันอยู่ในใจ

ตายเถอะ รีบตายเร็วเข้า!

หากว่าหยีเฟยตายไปเสีย ทุกอย่างคงจะมีความสุขลงตัว

แต่กู้โม่หานมิเชื่อในโชคชะตา เขาโซซัดโซเซเดินไปข้างเตียงของหยีเฟย “ข้ามิเชื่อ เมื่อวานนี้เสด็จแม่ยังดีๆ อยู่ เหตุใดจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ การวินิจฉัยของท่านผิดพลาดแน่”

ใบหน้าของหนานหว่านเยียนขยับเขยื้อนเล็กน้อย

อารมณ์ของกู้โม่หานอยู่เหนือการควบคุม แต่นางมิได้เข้าไปหยุดเขา ได้แต่เริ่มสังเกตร่างกายของหยีเฟยอย่างจริงจัง

กู้จิ่งซานหันกลับไปตบบ่ากู้โม่หานเล็กน้อย ดวงตาของเขาลึกล้ำดุจสายน้ำ น้ำเสียงกล่าวขึ้นมิต่ำมิสูง แต่ดูลึกล้ำลึกซึ้ง

“เจ้าหก ข้ารู้ดีว่าเจ้ายากที่จะยอมรับได้ในเวลาอันสั้นนี้ แต่ชีวิตของเสด็จแม่เจ้า คงจะดำเนินมาถึงจุดจบแล้ว ในฐานะลูกชาย เจ้าควรที่จะเอ่ยอำลานางดีๆ ให้นางจากไปอย่างหมดโศก”

อ๋องเฉิงกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “อ๋องอี้ นี่มันเวลาใดแล้ว เจ้ายังมัวสงสัยการวินิจฉัยของหมอหลวงอยู่หรือ บัดนี้เจ้ามีอะไรจะบอกกับหยีเฟยเหนียงเหนียง ก็จงบอกไปเถิด เพื่อที่จะ…… ส่งนางจากไปด้วยดี”

ประโยคนี้กระแทกเข้าไปในหัวใจของกู้โม่หาน ราวกับท่อนไม้ท่อนใหญ่ ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ

ชั่ววินาทีนี้ กำแพงความแข็งแกร่งที่เขาพยายามอดกลั้นเอาไว้ทลายลงทันที ดวงตาสีดำสนิทของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา

จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความสงบ “ช้าก่อน อาการป่วยของเสด็จแม่ดูแปลกเล็กน้อย……”