ณ ดินแดนชิงอำนาจ อาณาเขตของคริสตจักรแห่งความตาย

ภายในโบสถ์

“อรุณสวัสดิ์นายท่าน”

“ยินดีที่ได้พบนายท่าน”

“นายท่านที่เคารพ มีอะไรให้รับใช้หรือไม่?”

เหล่าผู้ศรัทธา คนแล้วคนเล่ากล่าวทักทายพลางน้อมกายคำนับ

หมาดำที่ลอยอยู่กลางอากาศผงกหัวให้เหล่าผู้ศรัทธาเล็กน้อย

“แอนนายังไม่ออกมาอีกหรือ?” มันถาม

“ขอรับ เธอยังคงฝึกตนอย่างหนักอยู่ในโลกของราชทูตแห่งความแห้งแล้ง”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อย”

หมาดำกล่าว แล้วก็หายวับไปจากโบสถ์

วินาทีถัดมา มันก็ปรากฏตัวขึ้นในโลกที่ฟุ้งไปด้วยความมืดมิด

“กลิ่นอายแห่งความตาย…รู้สึกว่าจะอยู่ตรงนั้น”

หมาดำมองไปยังทิศทางหนึ่ง ก่อนจะทะยานตัวมุ่งไปด้วยความเร็วอันมิอาจจินตนาการได้ ไม่กี่ลมหายใจก็มาถึงที่หมาย

มันตกลงเหนือยอดตึกระฟ้า ก้มลงมองซากปรักหักพังของโลกจากในจุดที่ห่างไกล

ภายใต้หมอกแสงสีเทาสลัว ร่างใหญ่เริ่มปรากฏกายให้เห็นจากระยะไกล

โครม โครม โครม!

ในทุกๆ ย่างก้าวของร่างที่ว่า ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของพื้นดินอย่างรุนแรง

หมาดำเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ จนกระทั่งร่างใหญ่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าตึกระฟ้า

อีกฝ่ายมีความสูงแทบจะไม่แตกต่างจากตึกระฟ้าที่หมาดำยืนอยู่เลย ขณะเดียวกันทั้งร่างของมันก็ถูกสวมทับไปด้วยชุดเกราะสีซีด โดยเฉพาะหมวกเกราะที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ปกคลุมจนมิด ไม่มีกระทั่งที่ว่างให้ดวงตามองลอดผ่านออกมา

เมื่อมันหยุดนิ่ง ผืนดินที่มันหยั่งเท้าสัมผัสก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากดินเป็นกรวด กระทั่งตึกระฟ้าที่หมาดำยืนอยู่ก็เริ่มทรุดโทรม เหี่ยวแห้งลงคล้ายถูกลิดรอนอายุขัยไปอย่างรวดเร็ว

หมาดำมองมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ราชทูตแห่งความแห้งแล้ง เจ้าจะยินยอมภักดีต่อคริสตจักรแห่งความตายหรือไม่?”

เบื้องหลังเกราะรบ เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของมอนสเตอร์ที่เพิ่งประสบกับการขับสู้มาอย่างยาวนาน ได้เผยถึงความลังเลออกมา

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือหมวกเกราะของมอนสเตอร์อย่างกะทันหัน

เป็น ‘แอนนา’

แอนนาที่กำลังมุ่งมั่นทุ่มเทฝึกฝนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

เธอดูไม่แตกต่างไปจากในอดีตเลย ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของหญิงสาวยังคงงดงาม และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความเยาว์วัย

แต่ที่ต่างไปจากเดิม ดูจะเป็นผมยาวสีแดงเพลิงของเธอ

ผมยาวที่ยามปกติมักจะสะท้อนแสงสดใส บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และมันไม่ใช่สีดำธรรมดา แต่เป็นสีดำที่ถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดอันลึกล้ำ

แอนนากุมเคียวทมิฬไว้ในแนวนอน และใช้ปลายด้ามของมันเคาะลงบนหมวกเกราะของมอนสเตอร์

“อย่าสร้างปัญหาให้ฉันมากกว่านี้เลย อย่าบอกนะว่านายลืมคำพูดตัวเองเมื่อกี้ไปแล้ว?” เธอกล่าว

มอนสเตอร์หยุดหอบหายใจไปสักพัก ในที่สุดมันก็คุกเข่าลงอย่างช้าๆ ต่อหน้าหมาดำ

“ข้ายินยอมภักดีต่อคริสตจักรแห่งความตาย”

เสียงที่อุดอู้แต่ดังสนั่นดั่งฟ้าร้อง พึมพำออกมา

เมื่อหมาดำได้รับคำตอบ ทันใดนั้นเปลวไฟทมิฬก็กระชากออกมาจากตัวมันทันที

เปลวไฟทมิฬเหล่านี้ควบรวมกันเป็นเส้นตัวอักษรบางอย่าง และบินตรงเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์

ร่างของมอนสเตอร์สั่นเทาด้วยความเจ็บปวด และจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อฟื้นคืนสติอารมณ์ให้กลับมา

หมาดำกล่าว “ตามข้อตกลงที่ทวยเทพได้กำหนดขึ้น นับจากนี้ไป เจ้าจะได้กลับเข้าสู่อ้อมอกของเทพแห่งความตาย จักได้รับเกียรติยศ และความรุ่งโรจน์อย่างหาที่ใดเปรียบ!”

เปรี้ยง!

จากฝั่งซ้ายและขวาของร่างราชทูตแห่งความแห้งแล้ง จู่ๆ ก็ปรากฏถึงประตูทมิฬที่เปิดออก

ราชทูตไม่สามารถต่อต้านขัดขืนใดๆ ได้เลย ทั้งร่างของมันหายเข้าไปในประตูทมิฬโดยสมบูรณ์

แต่แอนนายังคงปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ

หญิงสาวค่อยๆ ร่อนลงบนยอดตึกระฟ้า วางพาดเคียวยาวสีดำบนไหล่เธอ ปากอ้าหาว

“เหนื่อยจัง ฉันขอกลับไปนอนก่อนนะ…เอ ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?”

หมาดำตอบกลับไปอย่างเงียบๆ “กระทั่งราชทูตแห่งความแห้งแล้งก็ยังยอมจำนน ข้าต้องขอบอกเลยว่าพัฒนาการของเจ้าช่างเป็นไปอย่างก้าวกระโดดเสียจริงๆ”

“หยุดพูดไร้สาระเถอะ เข้าประเด็นมาเลยดีกว่า”

“ก็ได้ๆ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีเวลาได้นอนพักน่ะสิ”

“ว่าไงนะ? ฉันอุตส่าห์ทุ่มทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการเจ้าตัวสร้างปัญหานั่น อย่าบอกนะว่ามีงานอื่นให้ทำอีกแล้ว? ไม่เอาล่ะ ช่างหัวงานอื่นมัน ฉันจะไปนอน!”

“…เอาเป็นแลกเปลี่ยนกับการที่ข้าจะพาเจ้าไปดื่มเป็นไง?”

“เห? เป็นพระคุณจริงๆ หวังว่าคราวนี้จะไม่ทิ้งให้ฉันเป็นคนจ่ายบิลอีกหรอกนะใช่ไหม?”

“ไม่แน่นอน ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจ ข้าจะจ่ายบิลให้ก่อนเลย แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาดื่มกัน”

“ฮี่ๆ ฟังดูจริงใจไม่เลวเลยนี่ ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ฉันจะไปดื่มกับท่าน แล้วค่อยกลับไปนอน”

“แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าจะต้องไปทักทายแขกผู้มาเยือนในนามของคริสตจักรแห่งความตายเสียก่อน”

“ที่แท้ก็เรื่องงานอีกแล้ว เหอะ ถ้าเช่นนั้นไม่เป็นไร ฉันไม่ไปกับท่านก็ได้ ซื้อเหล้ากินเองคนเดียวสะดวกกว่าซะอีก!”

“แอนนา ฟังนะ มันเป็นงานง่ายๆ ที่เจ้าต้องทำก็เพียงแค่เอ่ยทักทายกับคนเหล่านั้นไปสักสองสามคำ แล้วเจ้าก็แยกตัวออกมาได้เลย ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปดื่มเอง” หมาดำพยายามอธิบาย

“แน่ใจนะ?” แอนนาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“แน่ใจสิ! ข้าน่ะมักจะมอบหมายงานยากลำบากให้กับคนอื่นๆ แต่สำหรับเจ้าที่พิเศษกว่าใคร และสนิทสนมกับข้าเป็นการส่วนตัว ข้าย่อมใจดีมอบหมายงานสบายๆ ให้แก่เจ้าอยู่แล้ว” หมาดำกล่าวอย่างจริงใจ

“…แค่พูดทักทายไม่กี่คำก็ไม่น่าจะนานอะไร โอเค เอาก็เอา” แอนนาพูดกับตัวเอง

“ยอดเยี่ยม! ข้าจะรอเจ้าอยู่ในวิหาร เจ้าเสร็จธุระเมื่อไหร่ พวกเราจะตรงไปที่บาร์ทันที!” หมาดำกล่าว

“อืม ในเมื่อท่านแสดงถึงความจริงใจแบบนี้ ฉันยอมทำให้ก็ได้ แต่ท่านจะต้องบอกฉันก่อนว่าคนอื่นๆ เป็นใคร และฉันจะต้องพูดเรื่องอะไรกับพวกเขาเมื่อพบเจอ”

“พวกเขามาจากพันธมิตรแห่งคริสตจักรอื่นๆ และยังเป็นสาวกหลักของโบสถ์ คล้ายกันกับเจ้านั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันถึงต้องไปพบพวกเขาด้วยล่ะ?”

“เพื่อทำความคุ้นเคยและจดจำใบหน้าซึ่งกันและกัน จะได้ไม่เผลอทำร้ายกันหากเกิดการต่อสู้ขึ้นในอนาคต”

“ถ้าเช่นนั้นก็เรื่องง่ายๆ ฉันจะทำให้มันจบๆ ไปโดยเร็วที่สุด แล้วจะกลับไปดื่มนะ”

หนึ่งคนหนึ่งหมาตกลงกันจบ ก็หายวับไปจากโลกราชทูตแห่งความแห้งแล้ง

หลังจากนั้นไม่นาน แอนนาก็รีบตรงเข้าไปยังห้องรับรองลับของทางคริสตจักร

ชายหญิงกว่าเจ็ดแปดคนเฝ้ารอเธออยู่ก่อนแล้ว

เขาและเธอมาจากนิกายศาสนาและกลุ่มอิทธิพลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง

“ขอโทษทีที่ฉันมาสาย”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีดำ เดินเข้ามาในท่วงท่าสง่างามเอ่ยปากกล่าว

“เหอะ! เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นเรื่องสำคัญ แต่เธอก็ยังมาสาย” หญิงสาวที่สวมชุดเกราะเต็มตัวบ่นด้วยความหงุดหงิด

“หืม? แต่ฉันว่าเวลานี้มันก็เหมาะสมแล้วนะ หรือคุณคาดหวังให้ ‘ความตาย’ มาเยือนตัวเองเร็วกว่าที่คิดล่ะ?” แอนนากล่าวด้วยรอยยิ้ม

หญิงชุดเกราะมองไปยังท่าทีผ่อนคลายของแอนนา และนึกขึ้นได้ว่าสถานะของอีกฝ่ายคือตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตาย ก็เลยจำใจทน ไม่ถกเถียงต่อ

แอนนากวาดมองใบหน้าของทุกคนเพื่อจดจำพวกเขา ก่อนจะเอ่ยเชิญ “พวกคุณนั่งกันก่อนเถอะ ที่นี่มีเก้าอี้อยู่มากมาย ทำไมต้องยืนคุยกันด้วยล่ะ?”

ชายคนหนึ่งก้มลงมองนาฬิกาพกของเขาและกล่าว “ฉันเกรงว่าเราจะไม่มีเวลามานั่งพูดคุยกันอย่างช้าๆ แล้วน่ะสิ”

“ถูกต้อง ในเมื่อตอนนี้คริสตจักรแห่งความตายก็มาถึงแล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันสักทีเถอะ” อีกคนกล่าว

ว่าจบ ทุกคนต่างก็หันไปมองหญิงสาวที่มีรูปร่างราวกับกลุ่มหมอกลวงตา

เมื่อเห็นว่าถูกทุกคนจ้องมอง หญิงสาวก็เอ่ยปาก “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ แต่การเดินทางข้ามผ่านชั้นโลกในดินแดนชิงอำนาจ จำเป็นต้องมีอะไรบางอย่างคอยปกป้อง…”

“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง” อีกคนกล่าว

ในมือของเขา กำลังกุมบอลน้ำแข็งที่ส่งกลิ่นอายเย็นสดชื่นออกมา

“เทคนิคเยือกแข็งของฉันจะช่วยกักเก็บกลิ่นอายของพวกเราทั้งหมด ส่งผลให้จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นถึงพวกเราได้อย่างแน่นอน แต่ในช่วงเวลาสามสิบลมหายใจ ทุกคนจะต้องถูกแช่แข็งโดยสิ้นเชิง จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว”

บางคนเอ่ยยกย่อง “ก็แค่ถูกแช่แข็งใช่ไหม? แบบนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องทนกับความเจ็บปวดใดๆ แค่นั้นก็ดีมากแล้ว”

“ใช่ มันยังไม่สายเกินไป พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ” อีกคนกระตุ้น

แอนนาที่รับฟังบทสนทนาของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากที่หมาดำพูดไว้

“ขอโทษที ฉันอยากจะถามว่า…”

เธอพยายามที่จะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง

อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว

บอลน้ำแข็งถูกบดขยี้จนแตกเป็นผง

พริบตานั้นทุกคนในห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง

แอนนาขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลย!

และไม่ใช่แค่เธอ คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน!

ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงในร่างเงาหมอกก็ได้เริ่มร่ายเทคนิคมนตรา

ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนปรากฏถึงปากใหญ่อ้าขึ้น

ปากใหญ่นี้พุ่งพรวดขึ้นมา และกลืนกินทุกคนหายเข้าไปในปากของมัน

เผยให้เห็นถึงร่างของมอนสเตอร์โปร่งใสเจาะขึ้นมาจากพื้นดิน

มอนสเตอร์ตัวนี้ รูปลักษณ์ของมัน ดูคล้ายกับปลายักษ์บางชนิดจากในยุคโบราณ

มันสะบัดตัวไปมาก่อนจะมุดหายเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าด้วยความเร็วสูง เคลื่อนย้ายผ่านไปยังชั้นโลกต่อไป

อีกด้านหนึ่ง

บนยอดสุดของวิหาร

บทสนทนากำลังดำเนินไปอย่างเงียบๆ

“เจ้าเล่นหลอกลวงนางแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ?” อีกาดำเอ่ยถาม

“ก็มันไม่มีทางเลือกนี่นา ยังจะมีวิธีอะไรอีกนางถึงจะยอมปฏิบัติตาม ข้าก็ทำได้แค่เท่านี้” หมาดำบ่นอุบ

“แต่หลังจากที่นางกลับมา วิหารคงต้องพังยับเยินอีกครั้งเป็นแน่” อีกาดำถอนหายใจ

“ปล่อยนางไป ส่วนข้าว่าจะขอตัวออกไปปฏิบัติภารกิจเผยแผ่ศาสนาสักหน่อย คงจะไม่ได้กลับมาอีกสักพักนะ” หมาดำกล่าว

และจู่ๆ มันก็หายวับไปทันที

บนยอดวิหาร เหลืออีกาดำอยู่เพียงลำพัง

อีกาดำเงียบไปนาน ก่อนจะสบถออกมา

“เผยแผ่ศาสนาอะไรกัน เจ้าก็แค่กลัวว่าจะถูกแอนนาระบายความโกรธใส่มิใช่หรือ ทำแบบนี้มัน…ช่างไร้ศักดิ์ศรีในฐานะผู้รับใช้เทพแห่งความตายซะจริงๆ!”

…………………………………..