บทที่ 372: ชั้นสองที่เปิดไม่ได้
เสียงกลไกของเตาเผาไม่ได้ดังมากนัก กลับกัน มันค่อนข้างดูเป็นระเบียบ
ขณะที่คนทั้งหมดกำลังมองดูเตาเผาขนาดใหญ่ด้วยความอัศจรรย์ใจ ประติมากรรมนูนรูปตี้ทิงบนฝาผนังถ้ำก็เปิดปากออก และลิ้นไม้ของมันก็ค่อย ๆ ยื่นออกมา และจ่อลงที่แผ่นหิน มันเป็นตอนนั้นเองที่คนทั้งหมดสังเกตเห็นประติมากรรมนูนของอสูรเทาเที่ยที่ตั้งอยู่บนแผ่นหิน ลิ้นไม้ของตี้ทิงยื่นเข้าไปในช่องปากที่เปิดอยู่ของมัน และหางของอสูรเทาเที่ยก็เปิดออกเป็นร่องที่วิ่งไปตามด้านข้าง ใกล้กับโต๊ะหินอื่น ๆ ที่เล็กกว่า [1]
“เป็นแนวคิดที่ละเอียดมาก นี่เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในสายการผลิต” กู่ชิงถอนหายใจออกมา ทันใดนั้น พวกเขาก็พบว่าตี้ทิงได้คายบางสิ่งบางอย่างออกมา มันไหลออกมาตามลิ้นไม้และตกลงบนแผ่นหินตรงหน้าของคนทั้งหมด
ฉินเย่มองสิ่งตรงหน้าอย่างตกตะลึง นี่คือกระดองของแมลงแห่งหายนะที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือ? มันเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วส่วนที่เหลือของร่างมันหายไปที่ใดกัน?
ทุกอย่างนอกจากส่วนกระดองถูกถอดออกไปหมด ในขณะที่กระดองที่ถูกคายออกมาไม่มีร่องรอยเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ไม่อยากเชื่อ…” เขาเอื้อมมือออกไปหยิบกระดองของแมลงแห่งหายนะด้วยความเหลือเชื่อ แต่ทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับมัน กระดองของมันก็แตกออกพร้อมกับเสียงเพล้งเบา ๆ มันเป็นตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มตระหนักได้ว่า – กระดองตรงหน้าไม่เพียงแต่ถูกถอดออกจากร่างของแมลงแห่งหายนะเท่านั้น แต่มันยังถูกตัดแบ่งเป็นส่วน ๆ อย่างประณีตอีกด้วย!
กรงเล็บและปีกถูกแยกออกจากร่างหลัก ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของกระดองยังคงติดแน่นอยู่ด้วยกันดังเดิม ราวกับว่ามีผู้เชี่ยวชาญได้ตัดมันออกจากร่างด้วยความละเอียดขั้นสุดยอด!
“นี่มันทำได้อย่างไรกัน?” เขาหยิบชิ้นกระดองพวกนี้ขึ้นมาและหันไปมองที่ผนัง “ในผนังมีวิญญาณนับหมื่นตนซ่อนตัวอยู่ใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นมันจะออกมาสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!”
“พระองค์สามารถลองเปิดดูได้เพคะ” อาร์ทิสเอ่ย “หากพระองค์สามารถทำให้มันกลับเป็นแบบเดิมได้”
แน่นอนว่าข้าทำไม่ได้…
ฉินเย่ข่มความอยากรู้ของตนเองไว้ในใจ ช่างเถิด… ตราบใดที่มันสามารถทำงานได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป
“ข้าจะนำศพของแมลงแห่งหายนะกลับมาให้ได้มากที่สุด!” โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้า ๆ และลูบกระดองที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดด้วยมือที่สั่นเทา “มันคงน่าเสียดายมากหากปล่อยให้สิ่งที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ต้องอยู่เฉย ๆ…”
“เช่นนั้นข้าก็ขอมอบหน้าที่ตรงนี้ให้ท่านก็แล้วกัน” ฉินเย่ข่มความตื่นเต้นในใจ เขาแทบทนไม่ไหวที่จะได้เห็นสายการผลิตทั้งหมดได้เริ่มทำงานเช่นกัน!
นี่คือสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ในยมโลก! มันคือสัญญาณบอกว่ายมโลกกำลังเฟื่องฟูและเจริญเติบโตขึ้น!
เขามองมันก่อนจะสรุปออกมา “เอาล่ะ ทีนี้ไปดูที่ชั้นสองกันเถิด”
อาร์ทิสเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา “ได้เพคะ แต่พระองค์ทรงแน่ใจแล้วนะเพคะว่าจะไม่เสียใจภายหลัง…”
การไปด้านบนมีสิ่งใดให้ต้องเสียใจภายหลังกัน?
เหล่ารัฐมนตรีระดับสูงต่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง หากชั้นแรกยังน่าเหลือเชื่อขนาดนี้ ชั้นที่สองจะเป็นอย่างไร? แล้วชั้นบนสุดเล่า?
นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าที่นี่คือที่ซึ่งอุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นหรอกหรือ? โลงศพส่งวิญญาณ ปืนใหญ่เพลิงพลังหยิน และหน้าไม้โซ่เพลิงนรก? นี่คือสถานที่ซึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเพื่อกำจัดกองกำลังใด ๆ ที่ต่อต้านยมโลก!!
เป็นไปได้หรือไม่ที่อาวุธนิวเคลียร์พลังหยินจะถูกซ่อนไว้ด้านบน?
ความคิดของฉินเย่ล่องลอยไปเรื่อย ๆ แต่แล้วก็ต้องหยุดนิ่งไปเมื่อพวกเขามาถึงที่ชั้นสอง
มันถูกปิด
ประตูทุกบานถูกปิดสนิท นอกจากนี้ มันยังมีแผ่นยันต์จำนวนมากถูกติดอยู่บนกลอนประตูทั้งหมดอีกด้วย บ่งบอกชัดเจนว่ามันยังไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกเปิดออกในตอนนี้
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่ถามด้วยความตกใจ
“ตราจ้าวนรก” อาร์ทิสเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ตราบใดที่ตราจ้าวนรกยังไม่สมบูรณ์ พวกเราสามารถเข้าถึงได้เพียงแค่ชั้นแรกของอาคารหลังนี้เท่านั้น ชาตินั้นถูกสร้างขึ้นจากสองรากฐานสำคัญ ซึ่งนั่นก็คือเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางกำลังทหาร สิ่งที่สำคัญเช่นนี้สามารถถูกปลดล็อกได้โดยพลังของน้ำพุเหลืองเท่านั้น”
“แต่ตอนนี้…”
“พระองค์มิทรงคิดหรือเพคะว่าเหตุใดยมโลกจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์โดยปราศจากตราจ้าวนรก?” อาร์ทิสแค่นหัวเราะ “อย่างที่หม่อมฉันเคยพูดไปก่อนหน้านี้ พลังงานในยมโลกสามารถทดแทนด้วยแหล่งพลังงานอื่นได้ แต่มันก็ยังมีแหล่งพลังบางอย่างที่ไม่สามารถทดแทนกันได้เช่นกัน นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่พลังงานไม่สามารถทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นสมุดแห่งความเป็นตายหรือปากกาแห่งการพิพากษาก็ไม่สามารถทดแทนได้เช่นกัน มันจำเป็นต้องใช้พลังงานที่หลั่งไหลออกมาจากน้ำพุเหลืองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้…”
นางถอนหายใจออกมา “พระองค์จึงต้องพยายามรวบรวมเศษตราจ้าวนรกให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้…”
ฉินเย่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
พูดง่ายกว่าทำ… เศษตราจ้าวนรกอยู่ในเมืองของราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉาน มันเหมือนกับการขอให้คนอ่อนแอช่วยปกป้องฮีโร่ในตอนเริ่มเกมเพื่อต่อสู้กับกองกำลังศัตรูที่แข็งแกร่ง – ข้าจะถูกสังหารในทันที นี่ท่านเอาพื้นฐานอะไรมาบอกให้ข้าแย่งเศษตราจ้าวนรกมาจากพวกเขา
ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาของข้าอย่างนั้นหรือ?
ก็นะ… นั่นอาจเป็นไปได้…
“ทั้งหมดก็มีเท่านี้” คนทั้งหมดสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความเสียดายที่แพร่กระจายไปทั่ว ฉินเย่พยักหน้าให้กับโนบูนางะ “โนบูนางะ ข้าเองไม่คุ้นเคยกับการทหารนัก ดังนั้นข้าจะไม่เข้าไปเพิ่มความวุ่นวายให้กับการต่อสู้กับแมลงแห่งหายนะของเจ้าและจะรอข่าวดีอยู่ที่ประตูนรกแทน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
สิ้นสุดเสียงพูด ร่างของฉินเย่ก็เปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนพลังที่สลายไปอย่างรวดเร็ว “สิ้นสุดการประชุม ข้ามีเรื่องสำคัญอีกหลายอย่างที่ต้องไปจัดการในแดนมนุษย์ รวมถึงขั้นตอนการส่งมอบเอกสารและออกเดินทาง ดังนั้นข้าจะไม่รั้งพวกเจ้าไว้อีกต่อไป”
เขาไม่ได้สนใจว่าคนอื่น ๆ จะไปไหน และเขาก็ไม่ได้รีบกลับไปที่แดนมนุษย์เช่นกัน กลับกัน เด็กหนุ่มกลับตรงไปยังที่พำนักชั่วคราวของจิวยี่แทน
จิวยี่เป็นคนฉลาด
เขาไม่ออกไปไหนเลยมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เขาเพียงรอการมาถึงของฉินเย่อยู่ภายในห้องของตัวเองอย่างอดทน ดังนั้น เมื่อฉินเย่มาถึง เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของพิณทันที
มันเป็นท่วงทำนองที่สง่างาม ราวกับหยกเย็น แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีจนไม่มีผู้ใดเทียบได้
น่าเสียดายที่เขาไม่มีอารมณ์นัก… ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเสียงเบา จิวยี่เองก็ดูเหมือนจะเล่นจบพอดี เขาวางพิณลงและเงยหน้าขึ้น ก่อนจะประสานมือและกำปั้นเพื่อคารวะฉินเย่ด้วยรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า “ฝ่าบาททรงมาหากระหม่อมเร็วกว่าที่กระหม่อมคาดไว้เสียอีก”
“ข้าไม่ชอบเก็บสิ่งใดเอาไว้หากข้าไม่มั่นใจว่าจะได้มันมา” ฉินเย่เอ่ยตอบออกไปอย่างปรัชญา “ดังนั้นข้าจึงถามอรากษสแล้ว และข้าก็รู้แล้วว่าเส้นทางข้างหน้านั้นอันตรายเพียงใด”
จิวยี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แล้วพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่พระองค์ไม่สามารถยึดมั่นไว้ได้?”
“แน่นอนว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะทำลายมันทิ้งเสีย” ฉินเย่ยกถ้วยชาที่จิวยี่รินให้ขึ้นมา “อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมของท่านเป็นอย่างมาก”
“มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” สีหน้าของจิวยี่ยังคงนิ่งเฉย ทำลายอย่างนั้นหรือ? ทั่วทั้งทวีปตะวันออกกำลังอยู่ในสมดุล พระองค์ทรงคิดว่าเทพแห่งความตายไร้นามของรุสและพญายมราชของฮินดูสถานเป็นเทพเจ้าที่อ่อนโยนและเมตตาที่จะยอมอยู่นิ่งเฉยอย่างนั้นหรือ? หากถึงจุดหนึ่ง เมื่อราชทูตทั้ง 12 มีอำนาจมากพอ พวกเขาก็อาจจะจบลงโดยการประกาศสวามิภักดิ์ต่อมหาอำนาจอีกสองแห่งก็เป็นได้ ท่านฉิน เมื่อเวลานั้นมาถึง… ท่านจะหลบหนีไปที่ใดกัน?
ท่านฉิน กระหม่อมมองเห็นมากกว่าความตลกขบขันนี้ของพระองค์ ตราบใดที่ราชทูตทั้ง 12 ยังไม่น่าไว้ใจ พระองค์ก็ทรงสามารถทำได้เพียงอิงตามระบบการทูตและสันติภาพ ตอนนี้พระองค์ไม่ต่างอะไรกับเกาะฟอร์โมซาในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย [2]
มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ซื่อสัตย์ แต่เราทุกคนต่างมีจุดอ่อนและความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว ไม่มีผู้ใดคาดหวังว่าจะเห็นความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้นในยมโลก และเราก็ไม่คาดหวังที่จะให้ความมุ่งมั่นภายในใจส่งผลถึงการกระทำของตัวเองเช่นนี้ เชื่อกระหม่อมเถิด กระหม่อมไม่เคยคิดหวังให้ทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงผลกระทบจากสถานการณ์โดยรอบทั้งสิ้น
หลังจากเกิดความเงียบขึ้นระยะหนึ่ง ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า “โจวกงจิน หากวันหนึ่ง ยมโลกเปิดพรมแดนของมันจริง ๆ และมณฑลทั้ง 30 กว่าแห่งก็มีธงของจีนถูกชักขึ้นสูงเด่นเป็นสง่า ท่านจะไปที่ใด?”
แววตาของจิวยี่ไหววูบ และเขาก็ตอบกลับไปอย่างตามจริง “หากวันนั้นมาถึง กระหม่อมเองก็อาจจะยอมกลับมาที่นี่”
“แล้วหากข้าสามารถพิชิตโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นได้ก่อนที่ข้าจะเปิดพรมแดน?”
“ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์สามารถพิชิตโลกใต้พิภพที่คงอยู่มาเป็นเวลายาวนานได้หมายความว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พระองค์จะทรงเปิดพรมแดนของประเทศ กระหม่อมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองจะยินยอมที่จะกลับมาที่นี่ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่ลืมตาขึ้นและวางถ้วยชาลง “ข้าหวังว่าท่านจะหมายความตามที่พูด”
ไม่มีผู้ใดต้องการเห็นราชทูตทั้ง 12 และจ้าวนรกต้องเผชิญหน้ากันเอง
เพราะอย่างไรแล้ว ศัตรูก็มักจะอาศัยผลประโยชน์ที่เกิดความเจ็บปวดจากความขัดแย้งภายใน
สถานการณ์ในโลกนั้นซับซ้อน แต่ยมโลกจะต้องเปิดพรมแดนกับโลกทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึง 150 ปี ตอนนี้มีเพียงฉินเย่และราชทูตทั้ง 12 เท่านั้นที่เป็นตัวแทนของเมล็ดพันธุ์ของยมโลก พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู หรือต่อสู้กันเองกันแน่?
ไม่นาน จิวยี่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ภายในห้อง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดข้อมือและเรียกนกส่งสารออกมา “กลับไปที่ถังหมิง”
“หากพูดกันตามความจริง มันคงจะเป็นการดีหากพระองค์สามารถประสบความสำเร็จในทั้งหมดนั้น” เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่ฉินเย่เพิ่งจากไป “สงครามได้สร้างความเสียหายให้ดินแดนแห่งนี้มานานเกินไปแล้ว โปรดดับไฟที่โหมกระหน่ำภายในใจของข้าราชการศักดินาที่ดื้อรั้นพวกนั้น และทำให้พวกเขายอมจำนนต่อพระองค์ รวบรวมกองกำลังพันธมิตรทั้งหมดและเผชิญหน้ากับศัตรู นำพายมโลกกลับไปสู่ความรุ่งเรืองในอดีต แต่ถึงกระนั้น เส้นทางข้างหน้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความยากลำบาก…”
ยมโลก… จะสามารถกลับไปเปล่งประกายดังเดิมได้หรือไม่?
……………………………………………
ในอีกสองสามวันต่อมา ฉินเย่เดินทางกลับไปที่ยมโลกในตอนกลางคืนเท่านั้น เนื่องจากเขาต้องใช้เวลาที่เหลือในการป้องกันสุนัขฮัสกี้ที่ชื่อซู่เฟิงและหลินฮั่น ผู้ที่พร้อมจะบุกเข้ามาภายในห้องของเขาอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้ง เขาก็อยากจะกลับไปสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขในตอนที่ตัวเองยังอยู่ในช่วงโคม่าเช่นกัน แม้ว่าจะผ่านมาสามวันแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นทั้งคู่โผล่หน้ามาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดวันนี้เด็กหนุ่มก็เก็บข้าวของทั้งหมดของตนเสร็จ เขามองไปยังกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่สามใบที่อยู่ภายในห้อง ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
เขามองเห็นร่างเงาราง ๆ ของหลินฮั่นและนักเรียนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ที่สนามบาสเก็ตบอลด้านนอก ในขณะที่ห่างออกไปด้านนอก เหล่าประชาชนทั่วไปบางคนกำลังถามคำถามกับเหล่านักเรียนข้ามรั้ว อาคารสาขาเองก็ยังคงสว่างไสว น่าจะเต็มไปด้วยเหล่าอาจารย์ผู้สอนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมการสำหรับการสอนที่กำลังจะมาถึง…
ฉินเย่ได้ทำอะไรหลายอย่างเพื่อสถาบัน และมันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเอ่ยคำลา ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปี แต่จู่ ๆ เด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจากไป
เขาได้ยอมเปิดใจเพื่อเข้าสู่สังคมในแดนมนุษย์ และมันก็แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยประสบมาในอดีตอย่างสิ้นเชิง
เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกและมิตรภาพมากมาย ความรู้สึกเป็นห่วงและเป็นกังวลใจ แถมเขายังได้สัมผัสกับความรู้สึกของการประสบความสำเร็จอีกด้วย… และตอนนี้ ภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความขมขื่นเล็กน้อย
“ครั้งสุดท้ายที่เรามีความรู้สึกแบบนี้มันคือเมื่อตอนไหนกันนะ…” เขาถอนหายใจออกมาเสียงเบาและยกมือลูบหน้า เมื่อเช้านี้เขาได้ยื่นเอกสารส่งตัวไปแล้ว และคำอนุมัติก็คงจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน
ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางเดินด้านนอก “คุณถอนหายใจทำไม?” ฉินเย่มองออกไป และเขาก็พบว่าศาสตราจารย์เถาหรานดูเหมือนว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว
“ทุกการสิ้นสุดคือการเริ่มต้นใหม่ คุณยังมีเส้นทางที่รุ่งโรจน์รออยู่ นอกจากนี้ สิ่งที่รอคุณอยู่ข้างหน้าก็ไม่ได้แย่เลยสักนิด” ชายสูงวัยเดินมาที่หน้าต่างพร้อมกับถ้วยชาในมือ มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งเอื้อมมาวางลงบนบ่าของฉินเย่และเอ่ยต่อ “คุณรู้หรือเปล่าว่ามีคนกี่คนที่อยากจะมายืนอยู่ในจุดที่คุณยืนอยู่ และถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่จะสร้างโชคลาภและประโยชน์ให้กับตัวเอง? แต่คุณกลับไม่พึงพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับ”
ฉินเย่อยากจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็พบว่าตนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
การหลบหนีจากการเข้าสังคมมาเป็นเวลานานหลายปีไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย
หากพูดกันตามตรง เขามักจะพบว่ามันค่อนข้างกดดันและตึงเครียด มันรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการมีชีวิตในความมืด และมองดูโลกภายนอกที่ส่องสว่าง หรือใช้ชีวิตอยู่ในยมโลกและจ้องมองไปยังสรวงสวรรค์ แต่ตั้งแต่วันที่เขาได้กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไป เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองคงไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตอย่างธรรมดาเหมือนคนอื่น ๆ ได้อีกแล้ว เขาไม่สามารถใช้ชีวิต มีเพื่อน แต่งงาน หรือมีลูกได้อีก
แต่เขากลับต้องล่องลอยต่อไปราวกับคนเร่ร่อน ทั้งสมองและหัวใจไร้ซึ่งจุดหมาย
แต่ความรู้สึกก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสลายหายไปหรือลดน้อยลงได้ พวกมันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเท่านั้น เขาได้ยอมแพ้ต่อข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเองจะต้องเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมายไปตลอดชีวิตไปแล้ว แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าการมาถึงอย่างไม่คาดหวังของยายเมิ่งจะเปลี่ยนทุกอย่างไป?
“มันเป็นหนึ่งปีที่ดีมากจริง ๆ” สายตาของเขาค่อนข้างซับซ้อน และเด็กหนุ่มยังหลบสายตาของเถาหรานที่จ้องตอบกลับมาอีกด้วย “ขอบคุณครับ”
คำขอบคุณของฉินเย่นั้นถูกมอบให้กับทุกคนที่สร้างความสุขให้กับตน
ในขณะที่คนเหล่านี้คือคนที่เขาจะจดจำไว้ในใจตลอดไป แต่ฉินเย่ก็รู้ดีว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับอีกฝ่ายอีก ความทรงจำอันล้ำค่าเหล่านี้ถูกกำหนดให้กลายเป็นเพียงแผ่นจารึกชุดหนึ่งที่ถูกเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจจนเปื้อนฝุ่นเท่านั้น เขายังคงใช้ชีวิตในแดนมนุษย์ต่อไป แต่เขาก็คงต้องหาโอกาสดี ๆ ในการจัดฉากการตายของตัวเอง ก่อนจะสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งในที่ไหนสักแห่ง แทนที่จะทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ลึกซึ้งขึ้นและทำลายพวกเขาทีหลัง เขาเลือกที่จะหยิบมีดและตัดสายใยพวกนั้นทิ้งก่อนที่มันจะฝังลึกไปมากกว่านี้มากกว่า
“คุณขอบคุณผมทำไม?” เห็นได้ชัดว่าเถาหรานไม่รับรู้ถึงความรู้สึกส่วนลึกของฉินเย่เลยแม้แต่น้อย ชายสูงวัยเพียงแย้มยิ้มบาง “คุณเองก็ทำอะไรหลายอย่างให้กับสถาบันของเราเช่นกัน”
ฉินเย่หัวเราะแห้ง ๆ
“อ้อ จะว่าไป… คุณวางแผนว่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” เถาหรานถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“น่าจะคืนพรุ่งนี้ครับ” ฉินเย่ตอบเสียงเบา ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะไปแล้ว มันก็จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่รั้งตัวอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้ ยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งไม่อยากไปจากที่นี่มากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกพวกนี้มันไม่จำเป็นเลยสักนิด
“พรุ่งนี้?” เถาหรานตบไหล่เด็กหนุ่ม “เดินทางปลอดภัย ผมขอให้คุณประสบความสำเร็จในเมืองหวู่หยาง”
[1] อสูรที่มีใบหน้าเป็นคนร่างกายเป็นแพะ ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์ อสูรที่แสดงถึงความตะกละตะกลาม ละโมภ
[2] ไต้หวัน
ตอนต่อไป →