ผิดแล้ว เป็นข้าเอง ที่ต้องการล้มล้างตระกูลหรงของเจ้า และเป็นตระกูลหรงของเจ้าต่างหากที่สร้างความพินาศให้ตัวเอง!
น้ำเสียงของเจียงหลีราวกับว่าทะลุผ่านท้องฟ้ายามค่ำเข้าไปในหูของทุกคนในตระกูลหรง หรงเทียนเผิงตัวแข็งทื่อ สายตาที่มองไปยังจักรพรรดินีสาวเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
“ฆ่ามันนน!”
เมื่อเจียงหลีออกคําสั่ง เหล่าลูกธนูที่เตรียมไว้ก็ยิงออกไปพร้อมกันมุ่งตรงไปยังทุกคนในตระกูลหรง
ฆ่ากันเองหรือ
นอกเหนือจากการฆ่าคนของตัวเองในเส้นทางนี้แล้วมันจะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า
เกรงว่า เมื่อกำแพงถูกทำลายโดยการฆ่าฟันกันเอง คนตระกูลหรงที่อยู่ข้างในก็ตายไปเกือบหมดแล้ว
หรงเทียนเผิงหันหน้าไปทางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยลูกธนู และมองไปที่หญิงสาวด้วยสีหน้าเย็นชา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าจักรพรรดินีสาวผู้นี้ไม่อาจต่อกรได้ง่ายอย่างที่คิด
การสังหารเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในบริเวณเส้นทางตรงไปยังพระราชวัง
ตระกูลหรงจัดเตรียมมาเป็นเวลานานเพื่อรอวันนี้ แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจียงหลีคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง
การแย่งชิงอำนาจในวังนั้นทําให้คนรู้สึกหน่ายแหนงเป็นที่สุด เจียงหลียืนบนกําแพงอย่างเคร่งขรึม สีหน้าดูโดดเดี่ยว
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหรงวิ่งกรูเข้ามาหวังจะฆ่านาง แต่ถูกเงาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมืดหยุดไว้
เจียงหลีเหลือบมองสนามรบที่กําลังดําเนินอยู่อย่างเฉยเมย ภายในใจไม่มีคลื่นแห่งชัยชนะ เรื่องเช่นนี้ไม่ได้ทำให้นางมีความยินดีเลยจริงๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหรงในวันนี้ ล้วนเป็นlสิ่งที่เขาเลือกด้วยตัวเขาเอง
เพื่อจะสงบความโกลาหลนี้ ตําแหน่งของนางในราชวงศ์จยาเซียนก็จะไม่มีใครโค่นล้มได้
ในฐานะจักรพรรดิที่ทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ตราบใดที่นางสามารถนําประเทศและประชาชนให้สู่ความสงบสุขได้ ใครจะสนใจว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
ต่อให้จะมีผู้ที่ใจโลภมากก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งคนช่วยเหลือ และยากที่จะกลับมาได้!
เมื่อเสียงการสังหารค่อยๆ เบาลง เจียงหลีก็หันหลังกลับและออกคําสั่งขณะเดินออกไปด้านนอก “คนที่เหลือ ขังมันไว้ก่อน แล้วค่อยประหารชีวิตพรุ่งนี้”
ก่อนที่จะลงมือ นางได้สั่งการล่วงหน้าแล้วว่าต้องเก็บประมุขตระกูลหรงไว้ก่อน เพื่อข่มขู่ผู้คนโง่เง่าที่มีใจก่อกบฏในราชวงศ์จยาเซียน
การกบฏที่ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าได้ดำเนินการในเวลามืดค่ำ
มันควรจะกล่าวว่า ยังไม่ทันที่ได้เริ่มก็ต้องมาสิ้นสุดลงเสียแล้วถูกบีบจนตายในฝ่ามือของจักรพรรดินีจยาเซียน
เมื่อฟ้ารุ่งสาง อวี้ซูและลู่จ้านนําคําสารภาพที่ถูกสอบสวนในยามค่ำคืนและความสัมพันธ์ระหว่างหลายฝ่ายพร้อมด้วยหลักฐานของตระกูลอื่นๆ ที่น่าสงสัยมาเข้าเฝ้าเจียงหลี
เจียงหลีไม่ได้นอนทั้งคืน พึ่งเสร็จจากการฝึกฝนไปเมื่อ
นางมองกองกระดาษที่ทั้งสองคนยกมา หลับตาลงอย่างปวดหัว “ของพวกนี้ พวกเจ้าจัดการเองก็พอแล้ว ไม่ต้องนำมาให้ข้าดู”
“ฝ่าบาท ยังไงท่านพระองค์ก็ต้องลงลายพระหัตถ์ก่อนเพคะ” อวี้ซูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ลู่จ้านก็ถามขึ้นว่า “คนตระกูลหรงถูกขังอยู่ในคุกหลวง รอให้ฝ่าบาทตัดสินโทษ”
เจียงหลีประคองศีรษะขึ้น ดวงตาจับจ้องไปยังกองฎีกาเหล่านั้น มืออีกข้างพลิกไปมาอย่างสบายๆ นางถามว่า “มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างว่าราชกิจในวันนี้บ้าง”
“ทุกอย่างยังสงบดีพ่ะย่ะค่ะ” ลู่จ้านตอบ
เจียงหลีเอามือวางบนกระดาษเหล่านั้นและเงยหน้ามองทั้งสอง “นำหลักฐานที่รวบรวมได้ เผยแพร่ไปทั่วแผ่นดิน ทุกคนที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ต้องจัดการให้หมด ตระกูลของพวกเขาต้องตรวจสอบอย่างละเอียด และต้องถูกยึดคืนทรัพย์สิน ”
“เพคะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสองพยักหน้า
“แล้ว…ตระกูลหรงล่ะเพคะ” อวี้ซูเอ่ยถามเสียงแผ่ว
เจียงหลีหรี่ตาลง ครู่ต่อมาก็กล่าวกับอวี้ซูว่า “เอากระดาษและพู่กันมา”
อวี้ซูก้าวไปข้างหน้าวางกระดาษให้เจียงหลี หลังจากฝนหมึกแล้วนางจึงยื่นพู่กันที่จุ่มหมึกให้กับเจียงหลี
เจียงหลีเขียนลงบนหนังสือสักพัก
ไม่รอให้อวี้ซูและลู่จ้านได้เห็นชัดเจน นางก็ทิ้งพู่กันลงแล้วออกคําสั่งกับอวี้ซูว่า “ส่งคนไปที่จวนตระกูลหรง ให้หรงจิ่งอ่านจดหมาย อืม ส่วนจวนตระกูลหรง…อย่างพึ่งทำอะไรแล้วให้หรงจิ่งตอบจดหมายก่อน”
“เพคะ” อวี้ซูพับกระดาษให้เรียบร้อยและถอยออกไป
เจียงหลีมองไปที่ลู่จ้าน มุมปากของลู่จ้านโค้งขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ส่วนข้าจะไปจัดการเรื่องอื่น”
ภายในจวนตระกูลหรง หรงจิ่งยังอยู่ในเรือนของตน ใช้ชีวิตอย่างเอื่อยเฉื่อย
จวนตระกูลหรงเงียบสงัดทั้งคืน หลังจากฟ้าสางก็ไม่มีข่าวการเปลี่ยนแปลงของราชสํานัก เขาดูไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยและยิ่งไร้ซึ่งความกังวล
ความเฉยชาของเขาทําให้อาเฉวียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“คุณชายจิ่งอยู่หรือไม่”
ทันใดนั้นก็มีเสียงถามดังมาจากนอกเรือน
เสียงนี้ไม่คุ้นหูเลย อาเฉวียนสะดุ้งโหยงลนลานรีบเดินออกจากประตู หรงจิ่งได้ยินเสียงนี้ ก็วางของในมือลงเช่นกัน
“พวกเจ้าเป็นใครกัน เข้ามาได้อย่างไร” เมื่ออาเฉวียนเห็นคนข้างนอกก็เอ่ยถามกระโชกโฮกฮาก
เซียวเซียวยืนอยู่ที่ด้านหน้า ด้านหลังเขาคือกองทัพที่ตรวจยึดจวนตระกูลหรง ใบหน้าต่างนิ่งขรึมและเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
เมื่ออาเฉวียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจของเขาก็เต้นรัว
เซียวเซียวหยิบจดหมายที่เจียงหลีเขียนออกมาแล้วกล่าวกับอาเฉวียนว่า “ฝ่าบาททรงมีจดหมายลายพระหัตถ์ที่ต้องมอบการมอบให้คุณชายจิ่ง ขอให้ท่านออกมารับด้วย”
“นี่มัน…” อาเฉวียนลังเลเล็กน้อย
“มอบให้อาเฉวียนเถอะ” เสียงหรงจิ่งดังขึ้นมา
เซียวเซียวขมวดคิ้ว
อาเฉวียนยืดเอวขึ้นตรงทันทีแล้วพูดกับเซียวเซียวว่า “เอาจดหมายมาให้ข้า ข้าจะนำไปให้คุณชาย พวกเจ้า… พวกเจ้าจะบุกเข้ามาโดยพละกาลไม่ได้เด็ดขาด”
เซียวเซียวยิ้มเย็น “ก่อนที่ฝ่าบาทจะออกราชโองการ จวนตระกูลหรงถูกปิดล้อมเอาไว้แล้ว”
หลังจากพูดจบเขาก็ยื่นจดหมายในมือให้อาเฉวียน
อาเฉวียนรับมาแล้วรีบหันหลังเดินจากไป
หรงจิ่งรับจดหมายจากอาเฉวียน แล้วจึงให้อาเฉวียนถอยไปรอ นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีเขียนจดหมายถึงเขา ตอนที่เขาแกะมันออก เขาดูระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเปิดจดหมายดู มีเพียงสามคําเท่านั้น
ฆ่าหรือไม่
หรงจิ่งหรี่ตาลงทันที เขาอ่านเนื้อหาจดหมายในใจ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา จากนั้นเขาพึมพํากับตัวเองท่ามกลางสีหน้าฉงนสงสัยของอาเฉวียน “เจียงหลีนะเจียงหลี เจ้ากับลู่เจี้ยเกิดมาเป็นคู่บุพเพสันนิวาสกันจริงๆ รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังจะบีบบังคับข้า”
“คุณชายจิ่ง ฝ่าบาททรงให้ท่านตอบจดหมายกลับ” เสียงของเซียวเซียวดังขึ้นอีกครั้ง
อาเฉวียนมองออกไปนอกเรือน ม่านตาของหรงจิ่งหดเล็กลงอีกครั้ง เขามองไปที่ตัวอักษรสามคําบนจดหมาย เขาจะทําลงได้อย่างไร
เจียงหลีมอบชะตาลิขิตของตระกูลหรงให้กับเขา!
ฆ่าหรือไม่
หรงจิ่งยิ้มเจื่อนๆ ราวกับมีชีวิตมาหลายปีแต่ไม่เคยต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากเข็นที่จะเลือกไม่ได้เช่นนี้มาก่อน
ไม่ฆ่า…ตระกูลหรงจะรอดจากความตายจริงๆ หรือ
ส่วนคําตอบนางรู้ดีอยู่แล้วแต่ต้องการให้เขาเลือก
หรงจิ่งยกมือขึ้นช้าๆ กัดปลายนิ้วตัวเองจนแตก
“คุณชาย!” อาเฉวียนมองเขาด้วยความตกใจ
แต่เห็นเพียงเขาใช้นิ้วที่เปื้อนเลือด ค่อยๆ ใช้แรงเขียนอีกสองสามขีดลงไปที่ไหนสักแห่งบนกระดาษจดหมายนั้น
“อาเฉวียน” หรงจิ่งยัดกระดาษจดหมายกลับเข้าไปในซองแล้วยื่นให้เขา “ส่งจดหมายกลับไปเถอะ” ”
“ขอรับ” อาเฉวียนรับด้วยมือทั้งสองข้าง
เขาอยากรู้ว่าคุณชายตอบอะไรในจดหมายนั้น แต่ก็ไม่ได้เปิดดูอย่างถือวิสาสะ
หลังจากออกไป เขาส่งจดหมายคืนไปให้เซียวเซียวและกลับไปยังเรือนของหรงจิ่ง
ทหารที่ล้อมจวนตระกูลหรงไว้ไม่ได้ขยับ ส่วนพวกผู้หญิงและเด็กที่ไร้ทางสู้ที่เหลือในจวนตระกูลหรงล้วนถูกควบคุมไว้รอการพิจารณาคดีขั้นสุดท้าย
ในเวลานี้ พวกเขาก็รู้แล้วว่าความปรารถนาจะที่ขึ้นสู่บัลลังก์ของตระกูลหรงนั้นได้ล่มสลายไปเสียแล้ว…