ตอนที่ 377 ถูกใจ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เด็กหนุ่มสุภาพเรียบร้อยมีการศึกษา รูปร่างสูงโปร่งดุจต้นไผ่ ท่วงท่าดูดีมีเสน่ห์

เฉิงฉืออดยิ้มออกมาไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้ากับท่านปู่ของเจ้าเป็นสหายที่ดีต่อกันแม้จะต่างวัยกันก็ตาม ต่างคนต่างจึงรู้จักนิสัยกันดี ฉะนั้นถึงได้ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรกันมาก ซิ่วจือไม่จำเป็นต้องคิดมาก”

เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี เป็นเจี้ยหยวนประจำปีที่แล้วของเหลี่ยงหู ไม่อาจดูเบาได้

ซิ่วจือเป็นชื่ออย่างสุภาพของเขา

ซ่งมู่หันไปประสานมือให้เฉิงฉือยิ้มๆ อย่างขออภัย

รอยยิ้มอบอุ่นและสุขุม

เฉิงฉือพลันตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง เดินไปหานายท่านผู้เฒ่าซ่ง

นายท่านผู้เฒ่าซ่งกำลังเอนกายอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างอ่านพงศาวดารเล่มหนึ่งอยู่ ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นเฉิงฉือ รีบลุกขึ้นมานั่งในทันที ถามขึ้นว่า “มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเมืองไคเฟิงแล้วใช่หรือไม่”

ตาเฒ่าหมกมุ่นเกินไปแล้ว

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “เมื่อถึงมือของเจ้าแล้วข้ารู้สึกว่าอย่างไรก็ต้องมีทางออก” จากนั้นกล่าวอีกว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

เฉิงฉือนั่งลงบนตั่งตรงหน้าเขา วางมือลงบนโต๊ะตัวเล็กบนตั่งเอียงกายถามเขาว่า “ซิ่วจือของพวกท่านหมั้นหมายหรือยัง”

“ยัง!” นายท่านผู้เฒ่าซ่งถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”

เฉิงฉือไม่ตอบ แต่ยังคงถามต่อไปว่า “แล้วเคยมีการทาบทามกันด้วยวาจากับตระกูลใดแล้วหรือยัง”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งถามขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าคิดจะเป็นพ่อสื่อให้ซิ่วจือของพวกข้าอย่างนั้นหรือ”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเหมาะสมกัน มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้กัน”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งรู้สึกสนใจขึ้นมา รีบถามขึ้นว่า “เป็นสตรีจากตระกูลใด เป็นคนเช่นไร แล้วเจ้าเป็นพ่อสื่อให้ตระกูลนั้นได้อย่างไร”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็เคยเจอมาก่อน คนที่เดินทางไปเขาผู่ถัวพร้อมกับข้าเมื่อคราวก่อน…”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งพลันนึกขึ้นมาได้ ความยินดีบนใบหน้าจึงยิ่งเด่นชัดขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจำได้ เด็กสาวที่งดงามดุจไข่มุกล้ำค่าผู้นั้น เห็นแล้วทำให้คนยากจะลืมเลือนได้ ทำไมหรือ นางยังไม่ได้หมั้นหมายอีกหรือ ข้าจำได้ว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นหลานสาวของเจ้า เป็นหญิงสาวจากจวนใดจวนหนึ่งในตระกูลเฉิงของพวกเจ้าใช่หรือไม่”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นหลานสาวของจวนสี่ แซ่โจว บุตรสาวคนรองของโจวต้าเฉิงเจ้าเมืองเป่าติ้ง กำพร้ามารดาตั้งแต่เล็ก นางกับพี่สาวมาเติบใหญ่อยู่ที่ซอยจิ่วหรู ตอนเด็กๆ ได้รับการเลี้ยงดูอยู่กับท่านอาสะใภ้กวน พอโตขึ้นมาหน่อยก็มาอยู่กับมารดาของข้า พี่สาวของนางแต่งงานกับบุตรชายคนโตของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง ตอนนี้ติดตามบุตรชายคนโตของตระกูลเลี่ยวมาอยู่ที่จิงเฉิง เพิ่งจะคลอดบุตรชายได้ผู้หนึ่ง นางกับมารดาเลี้ยง และน้องสาวต่างมารดาเข้าเมืองหลวงมาเยี่ยมพี่สาวด้วยกัน จึงอยู่ที่จิงเฉิงด้วยพอดี…เพียงแต่ไม่ทราบว่าเหตุใดซิ่วจือของพวกท่านถึงยังไม่ได้หมั้นหมายหรือ”

ประวัติซับซ้อนเล็กน้อย แต่ว่าเฉิงฉือเป็นพ่อสื่อให้ อีกทั้งตนก็เคยเจอมาก่อน นายท่านผู้เฒ่าซ่งจึงโยนคำบอกเล่าประเภทที่ว่ากำพร้ามารดาตั้งแต่เล็กนั้นทิ้งไป ทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็รู้ บุตรสะใภ้คนปัจจุบันของข้าเป็นภรรยาใหม่ของบุตรชายข้า ซิ่วจือเป็นบุตรชายของภรรยาคนก่อน เวลานั้นครอบครัวของข้ามีอำนาจน้อย ข้าจึงเลือกให้จิ่งหรานแต่งงานกับบุตรสาวคนโตของหวังจวี่เหรินที่เมืองจิงโจว หลังจากที่หวังซื่อแต่งเข้ามาแล้ว สองสามีภรรยารักใคร่กันดี ปกครองเรือนอย่างมีคุณธรรม กตัญญูต่อข้ายิ่ง ยังคลอดบุตรชายสี่คนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน ไม่มีส่วนไหนที่ข้าไม่พอใจเลย เพียงแต่ว่าต่อมาหวังซื่อติดโรคระบาด เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี ข้าจึงให้จิ่งหรานแต่งงานอีกครั้งกับบุตรสะใภ้คนปัจจุบัน…

…บุตรสะใภ้คนปัจจุบันก็ดียิ่ง นิสัยอ่อนโยน กตัญญูและเคารพผู้อาวุโส ดูแลบุตรชาย ให้ความเคารพสามี ทั้งครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันดี เพียงแต่ว่าตระกูลหวังนั้น นับตั้งแต่ที่หวังจวี่เหรินเสียชีวิตไป ก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลง ลุงคนโตของตระกูลหวังจึงไปเป็นพ่อค้า แต่เพราะมีข้ากับจิ่งหรานคอยช่วยเหลือ การค้าของเขาจึงเป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันนี้เป็นถึงตระกูลลำดับต้นๆ ของเหลี่ยงหู ลุงคนโตของตระกูลหวังนั้นนอกจากภรรยาเอกแล้ว ยังมีอนุภรรยาอีกห้าถึงหกคน ทว่าบุตรชายทั้งสิบสี่คนกลับล้วนมิใช่เมล็ดพันธ์ของผู้คงแก่เรียน จึงอยากให้บุตรสาวคนโตหรือไม่ก็บุตรสาวคนรองที่เกิดจากภรรยาเอกแต่งเข้ามาสักคนหนึ่ง แม้นจิ่งหรานจะไม่พอใจ แต่เพื่อเห็นแก่ภรรยาคนก่อน จึงฝืนตอบตกลงไป…

…แต่ซิ่วจือกลับไม่ยินยอม…

…ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางยินยอม…

…บอกว่าเคยเห็นญาติผู้น้องทั้งสองคนมาก่อนแล้ว ล้วนมิใช่คนประเภทที่เขาชื่นชอบ…

…แต่ตระกูลหวังกลับยืนกรานจะให้บุตรสาวแต่งเข้ามาสักคนหนึ่งให้ได้ นอกจากนี้ยังระบุมาว่าต้องแต่งกับซิ่วจืออีกด้วย…

…หวงซื่อผู้นั้นเป็นมารดาเลี้ยง ทั้งกลัวว่าจะทำให้ซิ่วจือขุ่นเคืองใจและกลัวว่าจะทำให้จิ่งหรานไม่พอใจ จึงยืนอยู่ตรงกลางทำตัวเสมือนหญ้าบนกำแพงที่ลู่ไปตามแรงลม ไปๆ มาๆ เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้เรื่องแต่งงานของซิ่วจือต้องล่าช้าออกไป รวมถึงทำให้เรื่องแต่งงานของน้องชายอีกสามคนของเขาต้องล่าช้าตามไปด้วย บิดาของเขากำลังเป็นกังวลใจถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เมื่อสองวันก่อนสองพ่อลูกยังมีปากเสียงกันด้วยเรื่องนี้…ข้าถึงได้พาซิ่วจือออกมาเที่ยวเล่นถึงที่นี่ ให้จิตใจได้ผ่อนคลายสักหน่อย”

ลุงคนโตของตระกูลหวังผู้นั้นนอกจากภรรยาเอกแล้วยังมีอนุภรรยา มีบุตรชายทั้งจากภรรยาเอกและอนุรวมกันถึงสิบสี่คน…เห็นได้ชัดว่ากฎระเบียบปฏิบัติของตระกูลธรรมดาสามัญยิ่งนัก

นี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ซ่งจิ่งหรานไม่ฝืนบังคับให้บุตรชายของตัวเองแต่งกับบุตรสาวของตระกูลหวังอย่างจริงจังกระมัง ไม่อย่างนั้นในเมื่อซ่งจิ่งหรานตอบตกลงแล้ว เกรงว่าต่อให้ซ่งซิ่วจือผู้นั้นจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

ตระกูลซ่งซับซ้อนวุ่นวายเพียงนี้ เฉิงฉือรู้สึกลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย

ในทางกลับกัน นายท่านผู้เฒ่าซ่งมองแล้วกลับบังเกิดความคิดอยากจะสู่ขอขึ้นมา

มองจากมุมของเขาแล้ว หญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากตระกูลใหญ่ชั้นสูงนั้น ไม่เคยได้รับความยากลำบากในชีวิตมาก่อน ส่วนใหญ่จึงมีนิสัยอ่อนโยน ใจกว้างและมีจิตใจดีงาม โดยเฉพาะคนที่ได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความประพฤติล้วนไม่มีทางย่ำแย่อย่างแน่นอน

อย่างหวงซื่อเองก็เป็นคนเช่นนั้นเหมือนกัน

แม้นนางจะเป็นภรรยาคนใหม่ แต่ก็ปฏิบัติกับลูกเลี้ยงทั้งหลายอย่างเป็นมิตร ดูแลพวกเขาอย่างจริงใจ

นี่ถึงจะเป็นบุตรสะใภ้ที่ตระกูลซ่งของพวกเขาต้องการ

“ข้าว่าไม่สู้เอาเช่นนี้ดีกว่า” นายท่านผู้เฒ่าซ่งเปลี่ยนใจ บังเกิดความคิดขึ้นมาในทันใด “ข้ายังจะอยู่ที่นี่อีกสองวัน คุณหนูตระกูลโจวก็มิใช่ใครอื่น ถึงเวลาให้พวกเขาทั้งสองคนได้ลองพบหน้ากัน หากต่างฝ่ายต่างก็พึงพอใจกันค่อยเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายกันก็ยังไม่สาย เรื่องเกี่ยวดองกันนี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของทั้งสองตระกูล ถ้าหากคู่สามีภรรยาไม่มีความสุข ทั้งสองตระกูลก็ไม่อาจเป็นสุขได้ บิดามารดาก็จะต้องเป็นกังวลใจไปด้วย ตระกูลที่เป็นมิตรต้องกลายเป็นศัตรูกัน คงไม่ดีนัก”

เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งจะมีความคิดเปิดกว้างถึงเพียงนี้

นอกจากนี้ซิ่วจือผู้นั้นก็เป็นคนที่มีความคิดผู้หนึ่ง…

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ อีกสองวันข้าจะเรียกหลานรองตระกูลโจวเข้ามาพูดคุย ให้พวกเขาทั้งสองคนได้พบหน้ากันสักครั้ง…” เมื่อพูดออกจากปากไปแล้ว พลันรู้สึกปวดไปทั้งหัวใจ แม้แต่นายท่านผู้เฒ่าซ่งยังดูออกว่าเขาไม่ปกติ ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าขอรับ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “อาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่ก้มหน้าคำนวณตัวเลขนานไปหน่อย ตอนนี้เลยรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย”

ตอนที่เฉิงจื่อชวนไปขึ้นเขากับเขานั้นเดินเร็วประหนึ่งติดปีก ร่างกายของเขามิใช่ว่าแข็งแรงประหนึ่งสังหารพ่อเสือให้ตายได้มาโดยตลอดหรอกหรือ

นายท่านผู้เฒ่าซ่งเองก็เพียงสงสัยครู่หนึ่งเท่านั้น นึกถึงว่าตอนนี้เรื่องแต่งงานของหลานชายคนโตเร่งด่วนจวนตัวมากแล้ว เขาจึงคุยกับเฉิงจื่อชวนอีกไม่กี่ประโยคแล้วก็ไปหาซ่งมู่

ซ่งมู่กำลังดูภาพแผนที่ขุนเขาและลำธารนั้นอยู่ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของคนนี้เป็นอะไรที่เล็กน้อยยิ่ง

คนที่วาดภาพแผนที่ขุนเขาและลำธารนี้ช่างเป็นคนที่เยี่ยมยอดจริงๆ

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านปู่ถึงได้หลงใหลการออกเดินทางไปทั่วทุกที่เช่นนั้น!

ถ้าหากมีโอกาส เขาก็อยากจะเดินทางไปดูให้ทั่วทุกที่บ้างเหมือนกัน

สีหน้าและท่าทางของซ่งมู่จึงค่อนข้างเคร่งขรึมจริงจังเล็กน้อย

นายท่านผู้เฒ่าซ่งเข้ามาเห็นท่าทางเช่นนั้นของหลานชายคนโต ก็ลอบพยักหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ ไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไป แล้วบอกกล่าวแผนการของเฉิงฉือให้ซ่งมู่ฟัง

ซ่งมู่หน้าแดงซ่าน ดวงหน้าเผยความประหลาดใจออกมาให้เห็นเล็กน้อย

เขาได้ยินผู้อื่นเรียกหญิงสาวผู้นั้นว่า ‘คุณหนูรอง’ หรือว่าคนที่ท่านอาฉือจะแนะนำให้เขาคือหญิงสาวที่เขาเจอโดยบังเอิญในห้องรับแขกผู้นั้น?

ซ่งมู่ยังจำความงดงามที่พบเพียงพริบตาเดียวนั้นได้

เขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามมากถึงเพียงนั้นมาก่อน

แค่การยืนอย่างสบายๆ อยู่ตรงนั้น ก็ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นสบายราวกับต้องสายลมวสันต์แล้ว

เขาพูดตะกุกตะกักขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ “ละ…แล้วแต่ท่านปู่เลยขอรับ!”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งประหลาดใจ นึกถึงตอนที่เขากับเฉิงฉือกำลังถกเถียงกันเรื่องการจัดการน้ำอยู่ในห้องหนังสือนั้นมีบ่าวชายเด็กเข้ามารายงานว่ามีแขกมา…เขาหัวเราะฮ่าขึ้นมา หรี่ตาเอ่ยเย้าหลานชายคนโตว่า “คงมิใช่ว่าเจ้าเคยเห็นแม่นางคนนั้นแล้วหรอกกระมัง แม่นางผู้นั้นหน้าตางดงามเป็นอย่างยิ่ง”

ซ่งมู่อึกๆ อักๆ พูดอะไรไม่ออก

นายท่านผู้เฒ่าซ่งหัวเราะดังลั่น ตบบ่าซ่งมู่เบาๆ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้าวางใจเถิด เจ้ามีมารดาเลี้ยงของเจ้าคอยช่วยเหลือ กับบิดาของเจ้าก็เป็นเพียงคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันเท่านั้น ยังมีข้าเข้าข้างเจ้า เจ้ามั่นใจได้เก้าในสิบส่วน อีกสองสามวันจื่อชวนจะเรียกแม่นางผู้นั้นมาพูดคุย เจ้าต้องห้ามย่อท้อ และทำให้แม่นางผู้นั้นถูกใจเจ้าให้ได้ถึงจะถูก”

ซ่งมู่ขัดเขินจนพูดอะไรไม่ออก

นายท่านผู้เฒ่าซ่งไปหาเฉิงฉือด้วยความเบิกบาน เอ่ยเร่งเร้าเขาว่า “เจ้ารีบคิดวิธีป้องกันอุทกภัยออกมาให้ได้เร็วสักหน่อย จะได้เรียกแม่นางผู้นั้นเข้ามาพูดคุยกัน”

เฉิงฉือรู้สึกปวดแปลบที่หน้าอกเล็กน้อยไม่หยุดไม่หย่อน

เขารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร!

แต่ถ้าหากว่าคนที่ทาบทามให้เป็นซ่งซิ่วจือ อีกทั้งยังให้นางมีโอกาสได้ทำความรู้จักซ่งซิ่วจือด้วย นางคงไม่ปฏิเสธการแต่งงานกับซ่งซิ่วจือหรอกกระมัง

ต่อให้ยอมรับไม่ได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็คงจะค่อยๆ สงบลงได้กระมัง

นอกจากนี้ซ่งซิ่วจือผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิริยามารยาทหรือความรู้ความสามารถล้วนยอดเยี่ยมโดดเด่นยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับเฉิงสวี่แล้ว ดูมั่นคงแน่วแน่และสงบนิ่งกว่าหลายส่วน นางน่าจะชอบถึงจะถูก

เฉิงฉือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กว่าหลายครั้ง กดข่มความวุ่นวายที่อยู่ในใจเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่าท่านจะเป็นกังวลใจเรื่องแต่งงานของหลานชายคนโตมากกว่าเสียอีก”

แน่นอนว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งย่อมไม่พูดแผนการของตัวเองออกมา

หนึ่งคือเรื่องนี้ยังไม่ได้ดูดวงชะตากัน และสองคือไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงและไม่ได้คิดจะเป็นขุนนางก็เป็นได้

เขามีวิธีทำให้เฉิงฉือมาติดกับดักได้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีก่อนเขื่อนที่เมืองไคเฟิงแตกทำให้ประชาชนต้องสูญเสียชีวิตไปเป็นจำนวนเท่าไร” นายท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวเสียงเคร่งขรึม “เมื่อหลายวันก่อนตอนที่ข้าไปเมืองไคเฟิงนั้น ตะกอนที่ขวางกั้นทางน้ำของเมืองไคเฟิงเลวร้ายกว่าเมื่อก่อนมาก และปีนี้อุณหภูมิของอากาศก็สูงกว่าปีก่อนๆ มาก ตอนนี้ยังไม่ผ่านพ้นเดือนสาม ทว่ากลับเสมือนกับเข้าเดือนที่สองของฤดูร้อนแล้วก็ไม่ปาน สวมเสื้อบุฝ้ายล้วนรู้สึกว่าค่อนข้างร้อนไปแล้ว ถ้าหากว่าถึงฤดูร้อนแล้วเจอฝนตกหนักติดต่อกัน ต่อให้เขื่อนที่เมืองไคเฟิงไม่แตก แต่เกรงว่าพืชผลล้วนเสียหายหมดเป็นแน่ เจ้าอยู่สุขสบายและปลอดภัยดี แต่ชาวบ้านเหล่านั้นเล่าจะทำอย่างไร ถ้าหากทางการเป็นที่พึ่งพาได้ ที่เต๋อโจวจะมีครอบครัวตกหล่นจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร นี่เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง หากเจ้าไม่มีพรสวรรค์นี้ก็แล้วไป แต่เมื่อมีพรสวรรค์นี้แล้วจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้”

เฉิงฉือถูกเขาต่อว่าจนได้แต่ยิ้มเฝื่อน

เมื่อเปรียบเทียบกับนายท่านผู้เฒ่าซ่งแล้ว เขาเหมือนเป็นคนแก่ชรามากกว่าเสียอีก

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “รอข้ากลับมาจากซอยอวี๋ซู่แล้วจะคิดหาวิธีแก้ปัญหาออกมาให้ได้ตลอดทั้งคืนเลยดีหรือไม่”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งฝืนขานรับคำ

เฉิงฉือจึงไปที่ซอยอวี๋ซู่

โจวเสาจิ่นรอให้พี่สาวให้นมกวนเกอจนเสร็จและส่งให้แม่นมอุ้มออกไปแล้ว ถึงได้เอ่ยถึงเรื่องที่ไปซอยอวี๋เฉียนขึ้นมา “…ท่านน้าฉือกำลังยุ่งอยู่ ข้าจึงไม่ได้พบเขา คงต้องไปเยี่ยมอีกครั้งในวันอื่นแล้วเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นไม่ได้ใส่ใจมากนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างไรเสียท่านน้าฉือก็ทราบว่าพวกเราไปเยี่ยมเขามาแล้ว รอให้ตอนที่ไปเยี่ยมเขาครั้งหน้า เขาไม่ตำหนิข้าด้วยเรื่องนี้ก็พอแล้ว ทุกคนต่างก็ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดแล้ว”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า อารมณ์หดหู่เล็กน้อย

โจวชูจิ่นรีบถามขึ้นว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าไปเจอเรื่องไม่สบายใจอะไรเข้า?”

“เปล่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบปรับอารมณ์และยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย อาจจะเป็นอาการเหนื่อยล้าที่มักเกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็เป็นได้เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด” โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ “กลางคืนเจ้าไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว กวนเกอมีแม่นม ทั้งยังมีบ่าวรับใช้อยู่เวรยามกลางคืนอีก ทางด้านนี้ข้ามีคนคอยรับใช้อยู่ เจ้าไปนอนพักผ่อนดีๆ สักตื่นหนึ่งเถิด”

โจวเสาจิ่นไม่มีกะจิตกะใจจริงๆ

นางยิ้มพร้อมกับขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นกล่าวขอตัวนั้น มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “นายท่านฉือของตระกูลเฉิงที่ซอยอวี๋เฉียนมาเจ้าค่ะ”

…………………………………………………………………………