ตอนที่ 243 กรงนก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 243 กรงนก

พื้นที่ปิดตาย ภายในมีตะเกียงน้ำมันไม่กี่ดวง

เสียงต่อสู้จากด้านนอกยังคงดุเดือด แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้

หลายคนมีสีหน้าว้าวุ่น และมีอีกหลายคนที่ยังคงนิ่งเฉย

เฉกเช่นฮ่องเต้ พระสนมซั่ง และองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ว้าวุ่นแต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับหันมองไปทางฮ่องเต้ พระองค์ทรงยิ้มให้เขาเท่านั้น

“นี่คือกรงนก”

ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หลุดสีหน้างุนงงออกมา

“สิ่งที่เรียกว่ากรงนก มิใช่สถานที่ที่มีอิสระ แผนเดิมก็คือกักขังผู้บุกรุก ในตอนนี้กลับกลายเป็นที่ซุกหัวนอนของพวกเรา ดังนั้นทุกสิ่งอย่างย่อมมีสองด้าน”

ราวกับหยูยิ่นนึกถึงการต่อสู้ที่อยู่ด้านนอกขึ้นมาได้ แต่นั่นคือโอรสคนโตของเขา !

ดังนั้นใบหน้าจึงมืดครึ้มลง และกล่าวอีกว่า “ในทางตรงกันข้ามสำหรับเขาแล้ว แท้จริงแล้วเขาเองก็อยู่ภายในกรงนกเช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต่อสนทนาหัวข้อนี้ กลับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หากมิได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”

“มิมีทาง ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว แต่เขากลับไม่ทราบ ดังนั้นเขาจึงถึงวาระที่ต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว”

เยี่ยงนั้นแท้จริงแล้วเฟ่ยอันเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ ?

แล้วฝ่าบาทได้วางแผนให้ฮั่วหวยจิ่นเขามาในสุสานหลวงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

ขันทีเจี่ยสะบัดเพียงนิ้วเดียวก็ทำขันทีเว่ยที่เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งกระเด็นออกไปอีกทั้งยังกระอักเลือดออกมาอีก หรือว่าขันทีอาวุโสผู้นี้จะคือเซิ่งเจียที่เล่าขานกันมา ?

ใจของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความสงสัย เขาหันไปมองขันทีเจี่ย ขันทีอาวุโสในยามนี้ยืนค่อมตัวอยู่ทางด้านหลังฮ่องเต้ ทั่วร่างมิได้มีท่าทางของผู้สูงส่งเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็พบเจอเข้ากับปัญหา มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากของขันทีเจี่ย สีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียว หลังจากนั้น…

ทันใดนั้นขันทีเจี่ยก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยออกมาว่า “ยาแก้พิษ…เร็ว… !”

เวรแล้ว ขันทีเจี่ยโดนพิษ !

ฮ่องเต้ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็หันไปหาขันทีเจี่ย หลังจากนั้นก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน สายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง !

สองมือของฟูเสี่ยวกวนแบออก “ข้ามิมียาแก้พิษ !”

“อั๊ก…” ใบหน้าของขันทีเจี่ยเต็มไปด้วยความทรมาน เขายื่นมือที่สั่นเทาชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เจ้านี่…ไปเอาชวงหาน…เยวี่ย…หมิง…จากที่ใดมา…”

“ปึง… !”

หัวขันทีเจี่ยล้มลงกระแทกกับพื้น

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึง ลอบคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นเก่งกาจอย่างแท้จริง !

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ตายแล้วหรือไม่ ? ”

“มิตาย แต่จะสูญเสียพละกำลังทางการต่อสู้”

“สามารถแก้ไขได้เยี่ยงไร ? ”

“ต้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋านามซูเจวี๋ยเป็นผู้แก้พิษด้วยตนเอง”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว “โหยวเป่ยโต้วรึ ? ”

ฮ่องเต้ส่ายหน้า และตอบกลับเขามาว่า “น้องชายเขา ! ”

ให้ตายเถอะ แซ่โหยวนี้เก่งกาจยิ่ง มีเทพบู๊ถึง 2 คน เยี่ยงนั้นคำร่ำลือจากยุทธภพที่กล่าวว่ามีเทพบู๊ทั้งหกก็เป็นเท็จ เพราะมีถึงเจ็ดต่างหากมิใช่รึ !

ทันใดนั้นเสียงการต่อสู้ด้านนอกก็เบาลง แต่เสียงโอดครวญกลับดังขึ้นมาแทน คาดว่าเหล่าคนที่อยู่ด้านนอกก็คงโดนพิษเข้าให้แล้ว มีเพียงฮั่วหวยจิ่นที่ไม่ทราบว่ากำลังภายในนั้นเก่งกาจหรือไม่

ชวงหานเยวี่ยหมิงมีผลแค่กับคนที่มีกำลังภายในเท่านั้น ยิ่งกำลังภายในแข็งแกร่งเท่าใดก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเด็กสาวซูซูจึงบอกกับฟู่เสี่ยวกวนว่าท่านอาจารย์เป็นบุคคลที่อยู่ระดับสูง และเกือบจะตายเพราะชวงหานเยวี่ยหมิงของศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว

ผ่านไปหลายอึดใจ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกว่า “ทูลถวายฝ่าบาท โจรกบฏต้องถูกประณาม องค์ชายใหญ่…ต้องรับโทษประหาร ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังฮ่องเต้ที่กำลังลูบคลำกำแพง ทันใดนั้นกำแพงหินก็สั่นสะท้าน จนสุดท้ายก็พังทลายลงไป กลิ่นโลหิตที่คละคลุ้งลอยตีขึ้นจมูกในทันที

สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตาคือแขนขาที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น โลหิตแดงฉานไหลเป็นทางยาวไปทั่วบริเวณราวกับทะเลโลหิต

เฟ่ยอันถือดาบด้วยมือเพียงข้างเดียวและเขาได้คุกเข่าลงไปกับพื้น ฮั่วหวยจิ่นที่ถือหอกยาวเอาไว้ในมือก็ได้ล้มลงไปกับพื้นทันทีที่ประตูหินเปิดออก

สีหน้าของเฟ่ยอันซีดเซียว เหงื่อบนใบหน้าผุดขึ้นมาราวกับกำลังวิ่งฝ่าพายุฝน

เขาขบกรามอย่างสุดชีวิต จ้องมองฝ่าบาทที่หมดกังวล และกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “กระหม่อม… โชคดีที่มิเสียหน้า ! ”

หลังจากนั้น…

หลังจากนั้น เป็นที่แน่นอนว่าเขาก็ล้มลงกับพื้นตามกันไป

สรุปได้ว่า ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งหมด มิมีผู้โชคดีแม้แต่คนเดียว ขันทีเว่ยผู้นั้นถูกมัดขึง อนาถเสียยิ่งกว่าฮั่วหวยจิ่นและคนอื่น ๆ เขาสลบไสลไปด้วยอาการน้ำลายฟูมปาก

แม้แต่เหล่าทหาร ถึงแม้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่มิมีผู้ใดสามารถยืนขึ้นมาได้เลยแม้แต่ผู้เดียว พวกเขาต่างโดนทลายกระดูก ในยามนี้จึงปวกเปียกราวกับแกะป่วยที่รอโดนเชือด

หยูยิ่นกลับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในใจครุ่นคิดว่าเพียงใช้ยาสองเม็ดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน ก็เหมือนจะมิจำเป็นต้องจัดการสิ่งอื่นใด สำนักเต๋านั่น…ฟู่เสี่ยวกวนโชคดีที่มีพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่ข้างหลัง

“ฝ่าบาท พวกเราต้องออกไปพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้น…”

เขาอยากจะกล่าวเหลือเกิดว่ามิเช่นนั้นจะโดนพิษทลายกระดูกกันถ้วนหน้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ก็พบว่าร่างของพระสนมซั่งโอนเอน ฮ่องเต้รีบคว้าพระสนมซั่งมาโอบไว้ และตะโกนเสียงดังว่า “ถอยทัพ ! ”

แต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นกังวลกับทหารเฝ้าสุสานหลวง 2,000 นายที่อยู่ด้านนอก แต่ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า

จนกระทั่งได้ออกมาจากสุสานหลวง ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พบว่าหิมะด้านนอก ได้แดงฉานไปด้วยสายโลหิต ราวกับดอกเหมยที่กำลังเบ่งบาน

เยี่ยนซือเต้าสวมชุดเกราะและถือดาบเอาไว้ในมือ และได้ยืนอยู่เบื้องหน้ากองทหารองครักษ์นับพันด้วยท่าทีเคร่งเครียด

……

……

รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สามสิบ หิมะโปร่งแสงแดดส่องประกาย

ฤดูหนาวในเมืองจินหลิงมีโอกาสที่จะเจอกับแสงแดดน้อยเป็นอย่างมาก จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก หากเป็นวันที่มีแดดสดใสในอดีต ก็จะเกิดทัศนียภาพที่มีชีวิตชีวาในเมืองหลวง

พ่อค้าแม่ค้าแผงเร่ได้ตั้งแผงริมถนน พ่อค้าสัญจรก็ได้จับจองพื้นที่ ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกจากบ้านเรือนมาจับจ่ายใช้สอย หรือเพียงออกมาเดินเล่นก็เท่านั้น

โดยเฉพาะคุณหนูน้อยใหญ่ที่หลบตัวอยู่ในห้องหับ ต่างก็ตกแต่งใบหน้าและพกสาวใช้ติดตามออกมาด้วย ขึ้นเกี้ยวขนาดเล็กตรงไปยังสถานที่ที่ครึกครื้น อย่างเช่นตรอกชิงหลวน หรืออย่างเช่นหลานถิงจี๋และอื่น ๆ

แต่เมืองหลวงในวันนี้กลับอ้างว้างอย่างไรที่เปรียบ !

ดังนั้นราวกับว่าแสงอาทิตย์นี้ไร้ความอบอุ่นยิ่ง

ถึงแม้ฮ่องเต้จะทรงรับสั่งปิดเรื่องที่เกิดขึ้นที่สุสานหลวง ณ เขาจื่อจินในวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่งไปแล้ว แต่เพราะมีคนมีจำนวนมาก ดังนั้นข่าวลับจากที่ตรงนั้นก็ได้เล็ดลอดออกมาอย่างลับ ๆ

เดิมทีผู้คนต่างมิเชื่อ องค์ชายใหญ่คือโอรสของฮ่องเต้ เขามีโอกาสที่จะเป็นองค์รัชทายาทในอนาคตมากที่สุด มิใช่ว่ามีคำพูดไว้เยี่ยงนี้รึ ฮ่องเต้รักโอรสคนโต ประชาชนชื่นชอบคนเล็ก เยี่ยงไรเสียองค์ชายใหญ่ก็คือผู้สืบราชบัลลังก์ของราชวงค์ที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาจะต่อต้านเพื่ออันใดกัน ?

เหตุใดเขาต้องทำให้บิดาของตนลำบากใจด้วย ?

กล่าวกันว่าองค์ชายใหญ่เพิ่งจะยี่สิบกว่าปีเท่านั้น หากทนต่อไปจนกว่าฮ่องเต้จะสละราชบัลลังก์ เขาก็จะได้เป็นฮ่องเต้คนต่อไปมิใช่รึ ?

แต่แล้วในคืนวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง !

กองทัพราชองครักษ์ปิดเมืองอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็ประกาศห้ามออกจากจวนในยามวิกาล สุดท้าย…สุดท้ายได้ยินมาว่า คนจำนวนหกร้อยกว่าคนของตระกูลชือในเมืองหลวง ต่างก็ได้ถูกกองทัพราชองครักษ์ปลิดศีรษะ

ผู้ที่ยังมิตายเหลืออยู่เพียงนายท่านผู้เฒ่าชือ และยังมีเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน มิใช่ว่าทั้งสองหนีไปแล้ว แต่กล่าวกันว่าทั้งสองได้ถูกควบคุมตัวเข้าวังหลวงในคืนนั้น เกรงว่าจะถูกขังอยู่ในคุกมืดของวังหลวงเสียแล้ว

เรื่องในคืนนั้นยังมีอีกหนึ่งตระกูลที่โชคร้ายไปด้วย นั่นคือตระกูลเฟ่ย

ชะตากรรมของตระกูลเฟ่ยถือว่าดีกว่าตระกูลชืออยู่เล็กน้อย อย่างน้อยเหล่าคนรับใช้ที่บริสุทธิ์ก็มิมีผู้ใดเสียชีวิต พวกเขาถูกไล่ออกมา แต่ราชครูอาวุโสเฟ่ยอีกทั้งยังมีกรมกลาโหมเฟ่ยปังบุตรคนรองของเขาที่ถูกจับกุมมายังวังหลวง เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็ยังมิทราบ

หลังจากนั้นเหล่าราชองครักษ์ที่อยู่ภายใต้การนำของนายพลหนุ่มที่ถือหอกยาวผู้หนึ่ง ก็ได้ไล่ทำความสะอาดกรมป้องกันเมือง กล่าวกันว่าหอกของนายพลหนุ่มผู้นั้นอาบไปด้วยเลือด

แต่แล้วเมื่อวาน ข่าวลือเหล่านั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกที่ ถึงแม้ชาวบ้านจะทำได้เพียงคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานหลวง แต่ความผิดของตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยที่คิดกบฏก็คือความจริง ทันทีที่ถึงยามเช้า ราชองครักษ์ก็ได้ปรี่เข้าไปในจวนใหญ่ทั้งสองที่ว่างเปล่า มีขุนนางกรมคลังที่ติดตามไป ทั้งยังมีขันทีอาวุโสอีก 1 ท่าน

พวกเขาได้ตรวจสอบทั้งสองตระกูลนี้แล้ว โดยใช้เวลาตรวจสอบถึงสามวันเต็ม ๆ !

เหล่าผู้คนในเมืองหลวงได้เห็นสิ่งของที่ถูกลากออกมาจากทั้งสองตระกูลด้วยตาของตนเอง ให้ตายเถอะ…จวนของทั้งสองตระกูลนี้แต่ละตระกูลมีรถม้าไม่ต่ำกว่าร้อยคัน !

หลังจากนั้น ทรัพย์สินที่อยู่ในเมืองหลวงของตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือก็ได้ถูกคนจากวังหลวงมายึดไปทั้งหมด ดังนั้น เหล่าผู้คนมากมายจึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก และยังได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสนุกปากอีกด้วย

“ตระกูลที่มีอำนาจทั้งหกของเมืองหลวง กิจการของตระกูลชือนั้นใหญ่มากที่สุด ถึงแม้ข้าจะมิมีเงินเข้าไปซื้อของในร้านของพวกเขา แต่คนที่อยู่ในนั้นย่อมเป็นผู้คนที่ร่ำรวย ก็มิทราบว่านายท่านผู้เฒ่าชือคิดการใดอยู่ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอยู่ดีดีมิชอบ ถึงต้องผันตัวไปเป็นกบฏ การเป็นกบฏมันดีถึงเพียงนั้นเลยรึ ? ”

“พวกเจ้าอาจจะยังมิทราบ งานกวีเทศกาลโคมไฟ คุณชายฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกลอบสังหารอีกครา หนึ่งในนั้นมีมือสังหารที่ตระกูลชือเป็นผู้หามา ดังนั้น นายท่านผู้เฒ่าชือผู้นี้ช่างหน้ามืดตามัว คุณชายฟู่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงใด แม้แต่ฮุ่ยชินอ๋องเขาก็ล้มมาแล้ว พวกเจ้าลองครุ่นคิดดูเถิด ต่อให้ตระกูลชือเก่งกาจเยี่ยงไรก็มิอาจเก่งกาจเทียบชินอ๋องได้มิใช่รึ ดังนั้นถ้าหากจะเรียกว่าเป็นเขาที่รนหาที่ตายเองก็มิผิด ! ”

“คิดดูแล้วเยี่ยงนั้นโชคร้ายของตระกูลเฟ่ยก็มาจากแผ่นประกาศในคืนงานเทศกาลโคมไฟพวกนั้นรึ ? ”

“นั่นก็มิใช่ ตามที่กล่าวมา พวกเจ้าอย่าได้ไปเอ่ยพล่อย ๆ ที่ใดเล่า ข้าได้ยินมาจากปากน้องชายของท่านอาของข้า กล่าวได้ว่าราชครูอาวุโสเฟ่ยยืนผิดฝั่งเสียแล้ว ! ”

“เยี่ยงนั้นน้องชายของท่านอาเจ้าคือผู้ใดกัน ?”

“หึหึ สรุปแล้ว เขาสังหารห้าผู้ก่อกบฏ เกรงว่าจะได้เลื่อนขั้นแล้ว”

“……”

มีข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง วังหลวงมิได้มีรับสั่งตอบโต้ข่าวลือแต่อย่างใด ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวอย่างสนุกปากมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับรู้คำกล่าวเหล่านี้

สองวันนี้เขายุ่งเป็นอย่างมาก ยุ่งกับการช่วยเยี่ยนเป่ยซีจัดการเรื่องของราชสำนัก มิใช่เรื่องยิบย่อยของสิบสามกรมนั่น แต่เป็นเรื่องยุ่งยากภายในวังหลวง

ขุนนางจำนวนมากถูกจับเข้าคุก คนเหล่านี้ต่างเป็นคนที่ได้รับหน้าที่จากการยืมมือตระกูลเฟ่ย ตระกูลชือ หรือองค์ชายใหญ่

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้รับราชโองการลับจากฮ่องเต้และได้นำทหารปรี่เข้าไปหาพวกเขาเหล่านั้น คนเหล่านั้นเพิ่งจะได้ทราบว่าครานี้ได้พลิกคว่ำแล้วอย่างแท้จริง

มีคนร่ำร้องว่าถูกใส่ร้าย มีบางคนตะโกนว่าฟ้าไร้ตา แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น

เขาได้เป็นกระบี่ที่แหลมคมอย่างเต็มตัว !

และสำเร็จภารกิจเหล่านี้ด้วยความเย็นชา ผู้คนที่มีรายชื่อต่างถูกเขาจัดการไปในทันที และจวนของคนเหล่านี้ ก็ถูกทหารที่เขาพามาสั่งปิดด้วยเช่นกัน

จนถึงวันนี้ เดือนหนึ่งวันที่สามสิบ ในที่สุดเรื่องที่ยุ่งเหยิงนั่นก็ถูกจัดการเสียจนหมดแล้ว

ในขณะนี้เขานั่งอยู่ในศาลาเถาหรานของจวนฟู่ รอบข้างคือศิษย์ทั้งสามของสำนักเต๋า นอกจากนั้นยังมีต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลว

เมื่อครู่เขาได้บอกเล่าเรื่องราววันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่งกับพวกนางโดยละเอียด หลังจากที่ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอารามตกตะลึง เขาก็ยังได้กล่าวอีกว่าและเพราะเรื่องเหล่านี้จึงได้มีขุนนางหลายคนที่ได้กลายเป็นนักโทษ

สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ มองไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่เปล่งประกาย แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยเห็น จินหลิงต้นยูคาลิปตัสเสียงนกขมิ้นยามฟ้าสาง ดอกไม้ศาลาริมแม่น้ำฉินหวายบานอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ได้กันว่าจะจางหายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ได้เห็นพวกเขาสร้างตึกที่งดงาม ได้เห็นเขาเลี้ยงฉลองกับแขกเหรื่อ และได้เห็นพวกเขาพังทลายลง”

ต่งชูหลานและคนอื่นที่ได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจเสียยาวเหยียด ลอบคิด ความรุ่งโรจน์ของตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ช่างเหมือนดังกับที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะกล่าวมาอย่างแท้จริง

สร้างตึกที่งดงาม เลี้ยงฉลองแขกเหรื่อ เคยยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด แต่กลับพังทลายในชั่วข้ามคืน !

นี่คือความไม่เที่ยงของชีวิต ดังนั้นจึงควรหวงแหนชีวิตในตอนนี้เอาไว้

“แล้วเหตุใดจึงเป็นกรงนก ข้าคิดว่าฟ้าดินก็คือกรงนก ประเทศก็คือกรงนก จวนนี้ก็คือกรงนก หากใจมิเป็นอิสระ เยี่ยงนั้นทุกอย่างก็คือกรงนก”

ดวงตาเรียวของต่งชูหลานเลิกขึ้น “เจ้าจะหมายความว่าจวนหลังนี้คอยดักเจ้าไว้งั้นรึ ข้า เวิ่นหวินและเสี่ยวโหลวคอยดักเจ้าไว้เยี่ยงนั้นรึ ? ”

“อ่า…ข้ามิได้จะหมายความว่าเยี่ยงนั้น ! ”

“เยี่ยงนั้นเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“ความหมายที่ข้าจะสื่อคือ…หากไร้กรงในจิตใจ ดวงตาก็ย่อมไร้กรงเช่นกัน ! ”

ในขณะนั้นเอง ขันทีเจี่ยก็ได้เดินเข้ามาอย่างเลื่อนลอย เขามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างคับแค้นใจ แล้วกล่าวว่า “สงครามทางตะวันออกได้เริ่มขึ้นแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าวัง ! ”