บทที่ 80 ความรักเจ้าสิ่งลวงตา

ท่องภพสยบหล้า

ชีวิตของซ่งหรูอี้ มีวงโคจรที่ชัดเจน

ตอนอายุสิบหก นางเป็นแค่ลูกสาวคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่ง

เนื่องจากความอันตรายของป่าเขา คนเก็บสมุนไพรอันที่จริงก็มีรายรับอยู่มากพอประมาณ มีพวกคนเก็บสมุนไพรเก่าแก่บางส่วน สามารถตรวจสอบร่องรอยการเคลื่อนไหวสัตว์ป่าสัตว์ร้ายรวมไปถึงพวกสัตว์ปีศาจที่อยู่ในป่าได้ จนเหมือนเดินย่ำอยู่ในสวนผักบ้านตนเอง

แต่เรื่องไม่คาดคิดก็ยังเกิดขึ้น บิดานางเพื่อที่จะหลบหลีกสัตว์ป่าตัวหนึ่งที่ข้ามพรมแดนมากะทันหัน กลิ้งตกลงมาจากภูเขาจนขาขาดทั้งสองข้าง

ซ่งหรูอี้ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงไปร้านสมุนไพรที่บิดาตนเองนำของไปขายบ่อยๆ ร้านนั้น ยืมเงินจากเถ้าแก่บางส่วนเพื่อมารักษาตัวบิดา

เพราะบิดาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าร้านขายสมุนไพรตระกูลเจียงใจกว้างมาก นางเองก็กอดเอาความหวังริบหรี่เช่นนี้เข้าไปหา

แต่ไม่คิดว่าเถ้าแก่เจียงจะรับปากจริงๆ

เพื่อชดใช้หนี้ นางจึงไปทำงานอยู่ในร้านขายยาตระกูลเจียง

เจียงจ่างซานไม่เพียงแต่ไม่กดเงินค้าจ้างนาง แต่กลับยังคอยมอบสิ่งของไปฝากบิดาพิการของนางเป็นประจำเสียด้วยซ้ำ

ไปๆ มาๆ นางจึงได้เข้าใจถึงน้ำใจของเจียงจ่างซาน

สำหรับเจียงจ่างซาน นางเองก็ตื้นตันอยู่เต็มอก แต่ถ้าพูดถึงความรัก ยังห่างไกลจากคำว่าใช่เหลือเกิน

แต่อย่างไรก็ได้ นางเองก็ไม่รู้จักความรักอะไรนั่นอยู่แล้ว

นางตัดสินใจออกเรือนกับเจียงจ่างซาน

หรือจริงๆ ก็คือ การแต่งงานครั้งนี้เป็นการคบคนที่ฐานะดีกว่า

เจียงจ่างซานอยู่ในวัยฉกรรจ์ กิจการในชื่อก็มากมี เป็นบุคคลคนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมในตำบลเฟิ่งซี แม้จะมีลูกชายติดคนหนึ่งจากภรรยาที่ตายไปแล้ว แต่หญิงสาวที่อยากจะแต่งเข้าตระกูลเจียงก็ไม่อยู่ไม่น้อยเลย

ส่วนนางเป็นแค่ลูกสาวของคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่ง

เจียงจ่างซานดีใจมาก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแต่งงานได้ในทันที เพราะลูกชายของนางยังไม่เห็นด้วย

ไม่เคยได้ยินเรื่องที่บิดาแต่งงานใหม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากลูกชาย แต่ตระกูลเจียงนั้นเป็นข้อยกเว้น

ซ่งหรูอี้เข้าใจ เจียงจ่างซานเป็นชายที่รู้จักความเคารพคนอื่นอย่างมากคนหนึ่ง เขาเคารพความคิดของลูกชาย เหมือนกับที่เขาเคาระความคิดของตนเอง

ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันในสมัยนั้น เขาถึงแม้จะมีใจให้นาง แต่ก็ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้นาง

ซ่งหรูอี้เคยพบกับลูกชายเจียงจ่างซาน เด็กชายคนนั้นหน้าตาสง่างามและไหวพริบดี เพียงแค่นิสัยโผงผางไปหน่อย

ช่วงแรกๆ ยังคอยวิ่งไปวิ่งมาในร้านสมุนไพร ยังเคยพูดกับนางอยู่บ้าง ต่อมาหลังจากได้ยินเรื่องของพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้แวะเวียนมาอีก

งานแต่งงานถูกขัดขวาง ซ่งหรูอี้เองก็บอกไม่ถูฏว่าในใจคือความยินดีหรือหดหู่

หรืออาจจะมีอยู่ทั้งคู่ก็เป็นได้!

แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

วันหนึ่งตอนที่นางเดินผ่านแม่น้ำเล็กด้านนอกตำบลเฟิ่งซี ก็พบกับเด็กชายคนนั้นตกลงไปในน้ำ นางตกใจมาก รีบตะโกนเรียกคนที่ผ่านไปมาทางนั้น จัดการช่วยตัวเด็กน้อยขึ้นมา

นับจากนั้น เด็กชายก็ไม่คัดค้านอะไรพวกเขาอีก

นางกลายเป็นภรรยาของเจียงจ่างซาน กลายเป็นแม่เลี้ยงของเจียงวั่ง

งานแต่งงานนี้ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ เจียงจ่างซานดูแลนางดีมาก และดูแลบิดาของนางด้วยตนเองเป็นอย่างดี กระทั่งงานศพของบิดานางก็ล้วนเป็นเจียงจ่างซานเป็นคนจัดการ ไม่ทำให้นางต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย

เจียงวั่งแม้จะไม่ได้สนิทสนมกับนางนัก แต่ก็ไม่ได้มองเป็นศัตรู โดยเฉพาะต่อมาเขาก็ลุ่มหลงในการฝึกบำเพ็ญ ไม่ค่อยได้อยู่ในบ้านนักแล้ว

หลังจากคลอดอันอัน นางรู้สึกว่าชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ ดีต่อไปเช่นนี้

แต่ฟ้าก็คาดเดาอะไรไม่ได้ เจียงจ่างซานป่วยหนักขึ้นมา เขาขายสมุนไพรมาทั้งชีวิต แต่กลับมาเป็นโรคที่ยารักษาไม่ได้ ทำได้เพียงยืดเวลาออกไปทีละวันทีละวันเท่านั้น

นางก็ดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ราวกับว่ากำลังชดใช้ความคุ้มครองทั้งหมดที่ได้รับมาก่อนหน้านี้

ต่อมา เจียงจ่างซานไม่ยอมรักษาต่อแล้ว เงินในบ้านเหลืออยู่ไม่มาก ต้องเหลือไว้ให้นางกับเจียงอันอัน

ตอนนั้นซ่งหรูอี้ร้องไห้ถามเขา แล้วเจียงวั่งจะทำอย่างไร

เจียงจ่างซานตอบกลับอย่างภูมิใจ ลูกชายของเขามีความสามารถ ไม่จำเป็นต้องเหลืออะไรไว้ให้กับเขาแม้แต่น้อยเขาก็ยังมีชีวิตที่ดีได้

ต่อมาเจียงจ่างซานจึงตายไป

เจียงวั่งสอบเข้าสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินได้ แทบจะไม่เคยกลับมาเลย

นางเคยเข้าใจว่าชีวิตนางคงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดูแลร้านชายสมุนไพร ดูแลเจียงอันอัน รอจนนางเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่

จนกระทั่งนางได้พบกับหลินเจิ้งหลุน ชายหนุ่มที่ตัวตนดีมีท่วงท่าสง่างาม

เขาเป็นคนพูดเก่งและมีความสามารถสูง จัดการควบคุมดูแลลูกน้องให้เชื่อฟังได้เป็นอย่างดี

ซ่งหรูอี้ตกหลุมพรางเสียแล้ว

นางรักเขาอย่างไร้ข้อกังขา นางรู้สึกถึงความร้อนแรงแห่งรัก ความคลุ้มคลั่งเพราะรัก รักจนไม่สนอะไรทั้งสิ้นขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต

นางทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อไปกับเขา

ไม่เพียงแค่นี้

นางทอดทิ้งทุกสิ่งที่อาจจะ ‘รบกวน’ ความรักของนางไปทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงเจียงอันอัน

และนำสิ่งที่จะช่วยเหลือเรื่องความรักของพวกเขาไปทั้งหมด รวมไปถึงกิจการของตระกูลเจียงด้วย

นางออกเรือนไปยังเมืองวั่งเจียง

นางออกเรือนไปเมืองวั่งเจียงโดยไม่สนใจอะไร ทำเพื่อสถานการณ์เช่นวันนี้หรือ ทำเพื่อภาพแบบนี้หรือ

ในบ้านที่ว่างเปล่า บนพื้นที่เย็นเยียบแทงกระดูก ซ่งหรูอี้รู้สึกว่าดวงใจดวงนั้นของตนเองมันดับมอดลงไปเสียแล้ว

ระหว่างทางกลับเมืองเฟิงหลิน เจียงวั่งถึงได้รู้รายละเอียดการปฏิบัติการกวาดล้างยอดเขาสมดุลหยกทั้งหมด

“แล้วผู้แข็งแกร่งลึกลับบนยอดเขาสมดุลหยกคนนั้นเป็นใครกัน แล้วสัตว์ร้ายบนภูเขาเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จวงจริงไหม”

เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “คำตอบข้อแรกข้าไม่รู้ แต่ข้อหลังมันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“เอาล่ะ” หลีเจี้ยนชิวเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้เอาไว้แค่นี้พอ ไม่ต้องคุยกันต่อแล้ว”

ในฐานะศิษย์พี่ เขาจำเป็นต้องยั้งหัวข้อสนทนาไว้ จึงจะเป็นการรับผิดชอบต่อคนเหล่านี้

ถ้าหากหลังจากนี้มีคำพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป คงได้บอกลาอนาคตคนเหล่านี้เป็นแน่

เจียงวั่งรู้สึกรับไม่ค่อยได้

รัฐจวงเป็นรัฐแม่ของเขา ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นเจ้าแห่งรัฐจวงเกาเซี่ยนก็จะเป็นเป้าหมายในการถวายความจงรักภักดีของเขาในอนาคต แต่จะบอกว่าเขตเมืองซานซานไม่ใช่แผ่นดินของรัฐจวงหรือ เหล่าประชาชนเมืองซานซาน ไม่ใช่ประชาชนของรัฐจวงหรือ

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงทำให้เขตเมืองซานซานต้องเสียสละมานานหลายปี เจ้าเมืองสองรุ่น สามีตายภรรยาสานต่อ แทบจะทุ่มทุกอย่างเท่าที่มีลงไป แต่กลับถูกบีบให้ถอยกลับมาในตอนท้ายสุดเนี่ยนะ

ความลับใหญ่อะไรกันแน่ ที่ทำให้ผู้รับเคราะห์ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะรับรู้ ทำให้ผู้เสียสละเหล่านั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียสละไปเพื่ออะไร

เรื่องราววิพากษ์วิจารณ์ถึงจุดนี้ก็เงียบกันไป

เหล่าอัจฉริยะจากสำนักเต๋าเหล่านี้ ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความหนักหนาของความจริง

พอเข้าเมืองเฟิงหลิน กลุ่มคนต่างแยกย้ายกันไป

เจ้าหรู่เฉิงกำชับก่อนมาอีกครั้งหนึ่งก่อนแยกย้าย บอกเจียงวั่งให้เก็บตราอวิ๋นจงไว้ให้ดี

เพราะเยี่ยชิงอวี่นั้นมีตัวตนที่น่าตกตะลึงมาก

คนผู้นี้คือลูกสาวสุดที่รักของเยี่ยหลิงเซียวเจ้าแห่งหอหลิงเซียว เป็นตัวตนระดับไข่มุกแวววาว

และหอหลิงเซียว

ที่นั่นคือรากฐานแห่งการคงอยู่ของสถานที่ที่เรียกว่ารัฐอวิ๋น

หอหลิงเซียวเป็นสำนักที่ลึกลับอย่างมากแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในเมืองอวิ๋น

แรกสุดเป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดารวมตัวอยู่ด้วยกัน และมีการคุ้มครองจากหอหลิงเซียวจึงใช้ชีวิตกันต่อมาได้ จากวันคืนที่ผ่านไป ก็ค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นรัฐ

โดยมีเมืองอวิ๋นเป็นเมืองหลวง ผู้นำของขั้วอำนาจหลายแห่งร่วมกันสร้างระบบปกครองขึ้นมา ใช้ระบบลงมติร่วมโต๊ะ

บนสภาพการแย่งชิงของเจ้าผู้ครองรัฐ รัฐอวิ๋นรักษาสภาพความเป็นกลางมาโดยตลอด และก่อกำเนิดกิจกรรมทางธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก

ครั้งนั้นที่ฟางเจ๋อโฮ่วสามารถตั้งตระกูลฟางขึ้นมาได้ ก็เพราะเขาสร้างเส้นทางธุรกิจใหม่กับรัฐอวิ๋นขึ้นมาเส้นหนึ่งนั่นเอง

กลับมาที่หอหลิงเซียว

หอหลิงเซียวไม่ได้เข้าปกครองรัฐอวิ๋น และไม่ได้สนใจว่าประชาชนรัฐอวิ๋นจะนับถืออะไร ทำอะไร แต่สำนักที่แข็งแกร่งนี้ เป็นอำนาจพึ่งพาที่ทำให้รัฐอวิ๋นรักษาสภาพความเป็นกลางอยู่ได้

หากพูดจากความเป็นจริง หออวิ๋นเซียวสามารถเป็นตัวแทนของรัฐอวิ๋น เป็นตัวแทนของกำลังแห่งรัฐได้

และด้วยเหตุนี้ ความล้ำค่าของตราอวิ๋นจงชิ้นนี้จึงสามารถจินตนาการออกมาได้

แน่นอน จากปากของเจ้าหรู่เฉิง ส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของตราอวิ๋นจงชิ้นนี้ อยู่ที่มันถูกดึงออกมาจากอกของเยี่ยชิงอวี่

“เยี่ยชิงอวี่จากหอหลิงเซียว ว่ากันว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งเลยทีเดียว!”

……………………………………….